บทที่ 2 คนช่างจำ
ตะวันวาดจึงวิ่งไปยังประตูเล็กเข้าไปในงานเลี้ยง ตรงไปยังจุดหมายที่เห็นร่างของอาคิระยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ แต่ด้วยความรีบร้อนรวมทั้งไม่ระมัดระวัง จึงชนเพชรรุ้งที่แต่งกายสวยงามในชุดกระโปรงสั้นสีขาวเข้าอย่างจัง ทำให้น้ำหวานสีแดงในโถแก้วที่เจ้าตัวถืออยู่เทหกรดตัวเอง และพลอยมาถูกร่างมอมๆ ของเด็กหญิงเข้าด้วย ทำให้เลอะเทอะยิ่งกว่าเก่า และผลจากแรงปะทะยังทำให้ร่างผอมบางเสียหลักล้มกลิ้ง หัวเข่ากระแทกพื้นอย่างแรงกระทั่งเลือดไหลออกมา
“ว้าย! เด็กบ้า เดินซุ่มซ่ามไม่รู้จักระวัง เสื้อผ้าฉันเปื้อนหมดแล้ว”
เพชรรุ้งพูดต่อว่าเด็กหญิงด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวพลางปัดเสื้อผ้าตัวเองไปมา
“ขอโทษค่ะ” คนชนค่อยๆ พยุงตัวลุงขึ้นจากพื้น เอ่ยขอโทษทั้งที่หัวเข่าเจ็บระบมไปหมด นึกขุ่นเคืองคนพูดและต่อว่าอยู่ในใจ ตัวเองก็เดินไม่ระวังเหมือนกัน แถมเปื้อนแค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่โวยวายประหนึ่งเปื้อนไปทั้งตัว
“มีอะไรกันหรือเพชร”
อาคิระเอ่ยถามเมื่อได้ยินเสียงเอะอะโวยวายของหญิงสาว ก่อนร่างสูงเพรียวในชุดกางเกงยีนส์สีเข้มเสื้อยืดสปอร์ตสีขาวราคาแพงจะก้าวมายืนเคียงข้างเพื่อนสาว ที่แม้เสื้อผ้าจะเปื้อนไปบ้างแต่ยังดูสวยงามอยู่
เด็กหญิงก้มมองสภาพมอมๆ ของตัวเองแล้วอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ในทันใด
“นายดูเด็กคนนี้สิคะ ไม่ระมัดระวังเอาเสียเลย จู่ๆ ก็เดินมาชนเพชรจนโถน้ำหวานหกเปื้อนเสื้อผ้าหมดเลยค่ะ”
เพชรรุ้งพูดฟ้องเพื่อนหนุ่มด้วยน้ำเสียงฉอเลาะ จนเด็กหญิงที่กำลังจ้องอยู่ถึงกับเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ในท่าทีที่เห็น ไม่ได้เปื้อนอะไรมากมายซะหน่อย เธอต่างหากที่เปื้อนไปทั้งตัว แถมตอนนี้หัวเข่ายังเจ็บระบมจนจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว
อาคิระเบือนหน้าไปมองตะวันวาดแล้วส่ายหน้าอย่างเอือมระอา ไม่ได้สนใจคำฟ้องของเพื่อนสาวเท่ากับเห็นสภาพมอมแมมของคนตรงหน้า บอกแล้วให้แต่งตัวสวยๆ แล้วดูสิ สภาพดูไม่จืดจริงๆ แต่ก็จำต้องดุเสียงดังออกไป
“น้องเนย ทำไมถึงซุ่มซ่ามแบบนี้นะ แล้วดูเนื้อตัวสิมอมแมมอย่างกับลูกหมาคลุกฝุ่น ถ้าจะมาร่วมงานเลี้ยงของพี่นายในสภาพแบบนี้ไม่ต้องมาเลยนะ”
คนถูกดุยืนนิ่งงัน ไม่ได้นึกกลัวเสียงดังๆ นั่นแต่อย่างใดเพราะฟังจนชินแล้ว ทว่าสิ่งที่กำลังรู้สึกคือความน้อยใจที่ปะปนกับอาการเสียใจจนน้ำตาไหลรินอาบแก้ม เมื่อเห็นคนพูดหยิบทิชชูมาเช็ดตามเนื้อตัวให้เพื่อนสาว โดยไม่ได้สนใจไยดีตัวเธอเลยว่ามีสภาพเป็นอย่างไร เจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า ทั้งที่น่าจะเห็นตั้งแต่ตอนล้มกลิ้งลงไปกับพื้นแล้ว
“ไอ้นาย แกจะว่าน้องเนยฝ่ายเดียวไม่ได้นะเว้ย เพชรเองก็เดินไม่ระวังเหมือนกัน แล้วแกไม่เห็นหรือไงว่าน้องเนยล้มจนหัวเข่าเลือดไหล” คีตภัทรตำหนิเพื่อนสนิทเสียงเข้ม เพราะเขาเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น แล้วจึงหันมาทางเด็กหญิงที่ยืนน้ำตาไหลโดยไร้เสียงสะอื้น “น้องเนยเจ็บมากหรือเปล่าจ๊ะ พี่ว่าไปทำแผลก่อนดีกว่า”
อาคิระครั้นได้ยินคำพูดของเพื่อน ทำให้นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่เห็นร่างของคนเป็นน้องล้มกลิ้งลงกับพื้น ทั้งเพิ่งสังเกตเห็นแผลที่หัวเข่า ทว่ายังไม่ทันจะเอ่ยอะไรออกมา มนัสนันท์ก็เดินตรงเข้ามาแล้วเอ่ยถามเสียงดังเสียก่อน
“เกิดอะไรขึ้น!”
ครั้นหันมาเห็นเด็กหญิงที่เธอรักเหมือนลูกสาวยืนน้ำตาไหล ทั้งอยู่ในสภาพเนื้อตัวมอมแมม มิหนำซ้ำยังมีเลือดไหลที่หัวเข่าก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตกอกตกใจ
“น้องเนย! ทำไมเนื้อตัวหนูเป็นแบบนี้ล่ะลูก แล้วหัวเข่าไปโดนอะไรมา” ก่อนจะหันขวับไปถามบุตรชายอย่างเอาเรื่อง “พี่นาย ทำไมปล่อยให้น้องยืนเลือดไหลแบบนี้หือ” ทั้งปรายตามองเด็กสาวที่ยืนเกาะแขนบุตรชายของเธออยู่อย่างไม่พอใจ เตรียมจะพูดอะไรออกมาอีกแต่ต้องชะงัก
“คุณป้าขา เนยเป็นคนผิดเองค่ะ ขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ” เด็กหญิงบอกเสียงแผ่วแล้วจึงเดินขากะเผลกหันหลังจากมาทั้งน้ำตาไหลรินอาบแก้ม เจ็บตัวไม่เท่าไร แต่เจ็บในใจนี่สิ!
วันรุ่งขึ้นอาคิระเดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศ โดยไม่มีแม้แต่เงาของเด็กหญิงตะวันวาดตามไปส่งที่สนามบินดั่งที่เคยสัญญากันเอาไว้
“น้องเนย คุณป้าเรียกหนูไปพบที่บ้านแน่ะลูก”
เสียงเรียกพร้อมกับร่างบอบบางของมารดาเดินมาทรุดนั่งลงข้างๆ ทำให้คนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิดรีบเรียกสติกลับคืนมาโดยเร็ว แล้วหันไปกอดแขนคนเป็นแม่พลางซบหน้าลงกับไหล่อย่างออดอ้อน
“แม่ทราบไหมคะว่าคุณป้าเรียกเนยไปพบเรื่องอะไร” เพราะวันนี้ตอนเข้าไปหาที่ห้องก็ไม่เห็นอีกฝ่ายพูดอะไรกับเธอนี่นา หรือเธอทำงานอะไรผิดพลาด!
“แม่ไม่รู้เหมือนกัน น้องเนยรีบไปเถอะจ้ะ” ผู้เป็นแม่กล่าวย้ำอีกครั้ง ก้มลงหอมแก้มเนียนของบุตรสาวอย่างแสนรัก พลางนึกถึงบุคคลที่เรียกบุตรสาวไปพบ
มนัสนันท์กับเธอเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยม กระทั่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็ยังสอบเข้าเรียนคณะเดียวกันได้ หนำซ้ำเมื่อแต่งงานสามีของทั้งคู่ยังเป็นเพื่อนสนิทกันอีก ดังนั้นความสัมพันธ์ของเธอกับครอบครัวของผู้เป็นเพื่อนจึงสนิทสนมแน่นแฟ้นประดุจญาติสนิท
เมื่อสามีของเธอเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ ซึ่งตอนนั้นบุตรสาวยังเล็กอยู่ แม้จะไม่ได้ลำบากยากเข็ญเท่าไรนัก เพราะมีเงินสะสมก้อนใหญ่ที่ได้รับจากบริษัทประกันชีวิตของสามี แต่ครั้นบุตรสาวคนเดียวสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ ค่าใช้จ่ายทั้งหลายทั้งปวงก็เกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว
ผู้เป็นเพื่อนและสามีจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวของเธออย่างมีน้ำใจ โดยเฉพาะตัวนนทวัช ที่มักจะโทษตัวเองอยู่เสมอว่าเป็นคนขับรถพาเพื่อนรักไปตาย จึงอยากชดใช้ให้โดยขออาสาออกค่าเล่าเรียนทั้งหมดของตะวันวาดให้จนกว่าจะเรียนจบมหาวิทยาลัย หรือถ้าจะเรียนต่อปริญญาโทจนถึงปริญญาเอกก็ยินดีจะส่งเสียให้ ไม่ว่าจะเรียนในเมืองไทยหรือต่างประเทศก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่าถ้าเรียนจบแล้วต้องมาทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้างของทั้งสองเท่านั้น สร้างความสำนึกในบุญคุณให้กับตัวเธอและบุตรสาวอย่างมากมาย