“เดินระวังๆ นะยัยแคระ ล้มไปแล้วจะยุ่ง เดี๋ยวคุณแม่ก็จะมาโทษ ว่าฉันดูแลไม่ดีอีก”
“ค่ะ”
ยัยแคระอยากจะเถียงกลับบ้าง แต่ติดตรงมีคนอื่นอยู่ด้วย เลยจำต้องสงบปากสงบคำไว้ ส่วนขานั้นก็พยายามก้าวหนีเขา แต่ตามแนวเขตแดนก็รกเหลือเกิน เดินๆ ไป ก็ต้องเตะนั่น สะดุดนี่อยู่เรื่อย
“นั่นๆ บอกให้เดินระวังๆ ไงยัยแคระ มานี่เลย เดินตามฉัน เข้าใจมั้ย”
“ค่ะ”
อีกแล้วที่ยัยแคระต้องพยายามทนกับเสียงดังๆ หน้าดุๆ มือหนาก็กำมือเล็กไว้มั่น และนั่นก็ทำให้ทนายกับสถาปนิกต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าทำไมอาชาชอบดุกับชอบสั่งนัก
“ขึ้นไปรอในรถเลยยัยแคระ ฉันขับเอง”
รวมทั้งตอนดูพื้นที่เสร็จ และกำลังจะกลับ อาชาก็ยังไม่วายทำแบบนี้อยู่ดี คนถูกสั่งไม่อยากทำตามนัก แต่หน้าดุๆ กับเสียงแข็งนิดๆ ของเขา ทำเอาไม่อยากขัดใจ เลยต้องยอมไปขึ้นรถเงียบๆ และด้านหลังมีสายบัวนอนขดอยู่ในกะละมัง
“ไว้คุยกันต่อที่บ้านก็แล้วกันนะครับคุณปั่น”
“บ้านใครครับ”
“ก็บ้านคุณท่านแหละครับ”
“เพื่อ”
“ก็...ท่านนัดให้ไปคุยรายละเอียดที่นั่น หลังจากพวกเรามาสำรวจที่แล้วครับ คนอื่นๆ ก็จะไปเจอกันที่นั่นเลยครับ”
“คนอื่นๆ”
“ก็คุณก้อย แล้วใครอีกไม่รู้ครับ ผมไม่ได้ถาม”
“อ้อ”
อาชากระตุกยิ้มตรงมุมปาก เพิ่งจะเก็ตก็ตอนนี้แหละ ว่าแม่ไม่อยากมาลุยแดด แต่ยังอยากวางแผนจับคู่ให้เขาอยู่ดี แล้วหันไปหาทนายกับสถาปนิก
"แล้วเจอกันนะครับ”
“ครับ”
สองหนุ่มได้แต่มองตามรถยุโรปป้ายแดง แล่นนำหน้าออกไปก่อนแล้ว
“งั้นเราก็กลับไปกินแกงกะทิสายบัวกันครับคุณแท็ค”
“ครับ”
ทั้งสองแยกย้ายไปหารถตัวเอง เนื่องจากมาก็คนละคัน คนละทาง จัดเจอกันหน้างาน แต่กลับนั้นมีจุดหมายแรกเดียวกัน นั่นคือคฤหาสน์ราชรักษ์ เพราะต้องคุยรายละเอียดจากเจ้าของงานตัวจริงก่อน
“หน้างอเชียวนะยัยแคระ ทีเมื่อกี้ยังยิ้มจนหน้าบานอยู่เลย”
ทายาทราชรักษ์ครึ่งหนึ่ง กับอัศรากรณ์อีกครึ่ง หันไปหาคนข้างๆ ขณะขับรถด้วยความเร็วเมื่ออยู่บนทางด่วน
“ไม่ได้งอนี่คะ”
“ไม่งอแล้วทำไมไม่ยิ้มบ้างล่ะ”
“ไม่ได้บ้านี่คะ จะได้ยิ้มตลอดเวลา” ทนมานานละ ต้องเล่นกลับบ้าง
“แต่ก็ควรจะมียิ้มสลับบ้าง เวลาอยู่กับฉัน ทำตัวให้เหมือนอยู่กับนายสองคนนั่นหน่อยสิ หรือชอบแบบชายสองหญิงหนึ่งล่ะ”
“ปากเหรอคะนั่น”
“กล้าประชดฉันเหรอยัยแคระ”
“เลิกเรียกฉันแบบนั้นสักทีได้มั้ยคะ ฉันสูงร้อยเจ็ดสิบนะ”
“เหรอ แต่ทำไมฉันยังเห็นว่าเธอแคระๆ แกร็นๆ เหมือนเด็กอยู่เลยล่ะ”
“เด็กที่ไหน อายุยี่สิบห้าแล้ว ฉันโตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ เหมือนเมื่อก่อน ที่คุณจะได้แกล้งเอาแกล้งเอาแล้วนะคะ”
“เอ่อจริงด้วยแหละ โตละ จริงๆ”
อาชาแกล้งหันไปมองตรงจุดนั้น ที่คนข้างๆ อวดอ้างว่าโตอีกละ
“มองอะไรคะ”
คนถูกมองรีบยกกระเป๋าถือใบใหญ่ ขึ้นมาบังอกเพื่อไว้ รู้แหละว่าเขาไม่ได้เป็นพวกชีกอใดๆ แค่แกล้งให้เธอหัวเสียเล่นๆ เท่านั้นแหละ แต่ก็ไม่ได้ปลื้มกับการแกล้งของเขาเอาซะเลย
“ก็มองว่าเธอโตอย่างที่บอกฉันหรือเปล่าน่ะสิ แต่ก็จริงด้วยแหละ ใหญ่โตเอาเรื่องอยู่”
“บ๊า...อย่ามาคิดลามกๆ ทะลึ่งๆ กับฉันนะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณท่าน”
ไหงออกลายชีกอใส่เชียวนะอีคุมปั่น เดี๋ยวจะทำให้ต้องคาบไม้บรรทัดเหมือนเมื่อก่อนเลย
“ปากดีกับขี้ฟ้องไม่เปลี่ยนซะด้วย เดี๋ยวจับจูบจริงๆ เลยดีมั้ย”
“ก็ลองดูสิ คิดเหรอว่าฉันจะย....” รักศิกาญจน์หันไปหาคนขับ เมื่ออยู่ๆ รถก็หักออกข้างทางแล้วจอดกึกทันที
“คุณจะทำอะไร”
“ก็จะจูบไง” อาชาโน้มกายไปหาคนข้างๆ ด้วยท่าทีจริงจัง
“จะบ้าเหรอ อย่าเข้ามานะ” ตัวเล็กๆ เอนออกไปจนแขนชนประตู
“เมื่อกี้ยังท้าฉันอยู่เลยนี่นา แล้วทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ มานี่” มือใหญ่คว้ามือเล็กไว้ แล้วรั้งเข้าหาตัว
“อย่านะ ช่วยด้วยยยยยย” เมื่อหน้าหล่อๆ จ่ออยู่ใกล้ๆ คนหน้าหวานเลยร้องเสียงหลง
“เก่งไม่ใช่เหรอ จะร้องทำไม”
“ก็คุณจะรังแกฉันนี่”
“ก็อยากท้าทำไมล่ะ ปากดีขี้ฟ้องมันต้องจูบจะได้จำ”
“อย่าน๊ะ”
หน้าหวานๆ ก้มงุดลงไปหาแผงอกกว้างของคนจะจูบ
“ถ้าไม่อยากให้รังแก ก็ขอร้องดีๆ สิ”
“ขอร้องดีๆ” เจ้าของหน้าหวานพ่นคำนี้ออกมาด้วยความไม่เต็มใจ
“พูดแบบนี้สงสัยอยากจะถูกจูบจริงๆ ล่ะมั้ง เล่นซะดีมั้ยวะ”
“ไม่ดีค่ะ” เมื่อหน้าหล่อๆ ก้มมาใกล้ๆ หน้าสวยเลยร้องลั่นรถอีกรอบ
“ถ้างั้นก็อ้อนฉันสิ แล้วจะไม่จูบ”
“อย่าทำฉันเลยนะคะ ขอร้องล่ะค่ะ”
“ยังดีไม่พอ เอาใหม่”
“คุณคะ อย่าทำฉันเลยนะคะ ขอร้องล่ะค่ะ”
“ก็...ยังดีได้กว่านี้ เอาใหม่”
“จะให้พูดยังไงถึงจะดีพอล่ะคะ”
“พูดแบบเมื่อก่อนสิ น่ารักจะตาย พูด”
“คุณปั่นคะ อย่ารังแกน้องรักเลยนะคะ น้องรักกลัวแล้วค่ะ”
“กลัวอะไร”
“กลัวคุณปั่นจูบค่ะ”
“ถ้าไม่อยากให้จูบ ต่อไปห้ามท้าทายอีก เข้าใจมั้ย ยัยแคระ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“ก็แค่นี้แหละ”
ยักษ์ขี้แกงยิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อน้องหงอเป็นลูกแมว แล้วขดตัวอยู่กับเบาะ เลยออกรถ กับเปิดเพลงดังลั่น พร้อมกับผิวปากตามจังหวะ
“ฝากไว้ก่อนเถอะ ฉันตัวเท่านายเมื่อไหร่ จะเอาคืนให้ลืมซอยกลับบ้านเลย หึ”
คนถูกแกงได้แต่อาฆาตไว้ในใจ แล้วนั่งนิ่งๆ ไม่ยอมเปิดปากพูดอะไรอีก ด้วยกลัวภัยร้ายจะถึงตัว ในหัวก็คิดไปด้วย ว่านายนี่ตามไปได้ยังไง ก็เห็นเงียบๆ นึกว่าจะไม่ไปซะแล้ว นั่นล่ะคือเหตุผลที่คุณท่านกับคุณก้อยไม่ไป แต่นัดเจอกันที่บ้านแทน
อาภัสสรานั่งอยู่ในเรือนริมบึง เพื่อรับลมยามเย็น มีบัวหลวงออกดอกสลอนเต็มไปหมด มีบริวารนั่งพับเพียบเรียบร้อย แกะสลักผลไม้อยู่ระเบียงด้านนอก
“มากันแล้วล่ะมั้งนั่น”
มองตามรถยุโรปป้ายแดงแล่นเข้ามาแล้วยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นลูกชายออกจากหน้ารถมา เห็นเลขาส่วนตัวออกจากอีกด้าน ก็ยิ้มกว้างขึ้น
“เสร็จกันแล้วเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ”
รักศิกาญจน์รีบเดินมาหา แล้วนั่งลงบนพื้นไม้ขัดมันวาว ไม่ห่างจากสามสาววัยไนท์ตี้ ที่นั่งแกะสลักอยู่นัก มีปานชีวันนั่งเด็ดผักอยู่ห่างๆ ส่วนลูกของเจ้านายนั้นไหว้แม่แล้วก็นั่งตรงข้าม