นิรันดร์มองดูบุตรสาวที่เปิดกระจกรถรับลมตลอดทางด้วยความอิ่มเอมในใจ ละกลับมาที่ถนนเบื้องหน้าอย่างเดิมค่อยเอ่ยปากถาม
“เป็นยังไงบ้างวันนี้”
ปลายฝนหันมายิ้มให้บิดา แล้วว่า “สนุกมาก ๆ เลยค่ะคุณพ่อ”
วันนี้เขาพาลูกเที่ยวเสียทั่ว ตั้งแต่เขื่อน น้ำตก ฟาร์ม ร้านกาแฟ พาแวะถ่ายรูปตามที่เจ้าตัวชวนให้เขาพาไป แล้วก็นึกใจชื้นขึ้นที่เหมือนได้ลูกสาวคนเก่าของพ่อกลับคืนมาแล้ว
“พ่อชอบทุ่งบัวกับซุ้มไผ่ ลูกชอบที่ไหน”
“ลูกก็ชอบเหมือนคุณพ่อค่ะ”
สองพ่อลูกถามตอบ เล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุยกันเจื้อยแจ้วตลอดทาง จนถึงบ้าน ปลายฝนก็เปิดประตูรถลงไปยืนเหมือนจะหมดแรง
กล้วยรีบเข้ามาพะเน้าพะนอ เอาใจ
“เป็นยังไงคะ ไปไหนมาบ้าง สนุกไหมเล่าให้พี่กล้วยฟังหน่อย”
“สนุกมากค่ะพี่กล้วย แล้วก็เหนื่อยมาก ๆ ด้วย”
ปลายฝนบอกเสียงเอื่อย เกาะแขนพี่เลี้ยง ซบแล้วก็เล่าไปเรื่อยว่าไปไหนมาบ้าง นิรันดร์ยืนยิ้มกอดอกมองบุตรสาว ก่อนปลีกตัวรับสายที่เรียกเข้ามาในตอนนั้นพอดี
วางสายแล้วเดินเข้าบ้าน เปลี่ยนอิริยาบถจนค่ำ เหลือบมองดูเวลาเห็นว่าทุ่มกว่าแล้ว เลยเดินตามหาบุตรสาว เห็นกำลังนั่งเขียนอะไรยุกยิกลงสมุดอยู่ที่ระเบียงด้านหลัง เรียกเจ้าตัวพร้อมกับเดินเข้าไปหา
“ฝนครับ”
เด็กสาวรีบปิดสมุดลงโดยไว ขานรับบิดา “คะคุณพ่อ”
ขยับลงนั่งใกล้ๆ ชวนคุย “เดี๋ยวพ่อจะออกไปหาลุงเดหน่อย ลูกอยากไปกับพ่อไหมครับ”
ปลายฝนนิ่งคิดนิดเดียวก็ส่ายหน้าเบา ๆ “ไม่ไปดีกว่าค่ะ คุณพ่อไปเถอะ”
“อยู่คนเดียวได้ด้วยหรือ”
“ได้สิคะ ลูกสาวของคุณพ่อเก่งออกจะตาย”
นิรันดร์ลูบศีรษะบุตรสาวเบาๆ อย่างมันเขี้ยว มองไปที่คนสนิท เห็นอยู่รายล้อมรอบบ้านก็ค่อยคลายกังวลใจ
ดีที่มีพี่เลี้ยงมาด้วย แล้วยังมีคนของเขาเฝ้าอยู่แบบนี้ จึงไม่นึกห่วงมากมาย โอบร่างบุตรสาวกอดเบา ๆ บอก
“พ่อไปเดี๋ยวเดียว จะรีบกลับนะครับ”
“ไปนาน ๆ ก็ได้ค่ะ ฝนรู้ว่าจะออกไปดื่มตามประสาผู้ชายกับลุงเดใช่ไหมคะ”
ยิ้ม เขย่าศีรษะบุตรสาวเบา ๆ “รู้มากน่ะเรา”
“คุณพ่อไปเถอะค่ะ ไม่ต้องห่วงลูกหรอก อีกเดี๋ยวลูกก็จะเข้านอนแล้วล่ะค่ะ”
“ฝันดีครับ ทูนหัวของพ่อ งั้นพ่อกลับดึกหน่อยนะ”
“ได้เลยค่ะ เที่ยวให้สนุกนะคะ บอกลุงเดว่าวันหลัง ลูกจะขอตามไปด้วย แต่วันนี้ลูกไม่ไหวแล้วค่ะ ง่วงมาก ๆ”
ปลายฝนเดินออกไปส่งบิดาที่หน้าบ้าน โบกมือโบกไม้ให้ท่านพอไฟท้ายรถหายลับตาไป ก็ยิ้มกว้างอย่างซุกซน หยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงต่อสายในทันที
ร้านอาหารที่มีพรรคพวกของเดชาพลเป็นเจ้าของอยู่ในตัวเมืองห่างจากบ้านพักตากอากาศอยู่พอสมควร ทันทีที่นิรันดร์ขับเข้ามาจอด ก็พบว่าธรณ์น้องชายของเขารออยู่ที่นั่นด้วย
“มาไม่บอก” นิรันดร์ทักน้องสั้น ๆ แค่นั้น
“บอกก็ไม่สะไพ้สิครับ” ธรณ์ตอบยิ้ม ๆ
“นั่งก่อนรันดร์” เดชาพลกวักมือเรียก พร้อมส่งสัญญาณให้พนักงานเข้ามาดูแลนิรันดร์ในนาทีต่อมา
เดชาพลมองชายรุ่นน้องด้วยสายตาเลื่อมใสปนทึ่งอยู่ไม่น้อย เพราะกลิ่นไอทรงอำนาจยังตามติดตัวนิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุลไม่จางหายไปไหน
รูปร่าง ท่วงท่ายังสง่างาม ยิ่งอายุย่างเข้าเลขสี่ก็ยิ่งทำให้ชายหนุ่มดูดีมากยิ่งขึ้น เพื่อนผู้หญิงของเขา รวมถึงน้องสาวของเขาเองที่เคยเจอนิรันดร์มาก่อนหน้า ยังคงถามถึง และคลั่งไคล้ชายคนนี้อยู่ไม่เปลี่ยน
ยังจำได้ดีว่าสมัยที่นิรันดร์ยังรับราชการ เขาองอาจ มาดเข้ม ดุดันกว่านี้เล็กน้อย แววตามุ่งมั่น จริงจัง ตอนนั้นนิรันดร์ขึ้นชื่อมาก ว่าเป็นนายตำรวจน้ำดีที่อนาคตยาวไกลในหน้าที่การงานคนหนึ่ง ผ่านคดีดัง ๆ มามาก เชี่ยวชาญงานสืบสวนมากว่าสิบปี
ชายรุ่นน้องลุยกับทุกคดีอย่างไม่เกรงใจใครหน้าไหนทั้งนั้น มีปัญหากับผู้ใหญ่หลายท่าน ไม่ลงรอยกันเป็นประจำ และมักขัดคำสั่งผู้บังคับบัญชาเสมอเรื่องคดีใหญ่ ๆ
จนทำให้พวกมีอิทธิพลหมายหัวนิรันดร์เอาไว้หลายราย
แล้วนายตำรวจอย่างนิรันดร์ก็ถูกลอบทำร้ายในวันหนึ่ง ตอนได้ยินข่าวครั้งแรก ทุกคนตกใจมาก เพราะนิรันดร์เขี้ยวเล็บก็มีไม่น้อย แต่แล้วก็ได้รับบาดเจ็บปางตายแทบเอาชีวิตไม่รอดเข้าจนได้ กระดูกสันหลังของเขาหัก กระดูกขาทั้งสองข้างก็หัก จนแพทย์เองยังส่ายหน้า ใช้เวลาผ่าตัดอยู่เป็นนานหลายชั่วโมง แม้จะปลอดภัยดีแต่อาจกลับมาใช้งานได้ไม่เหมือนเดิม
นิรันดร์จึงต้องรักษา ฟื้นฟูร่างกายอยู่เป็นปี และเมื่อกลับไปทำงานแบบเดิมไม่ได้อีก ก็ตัดใจยื่นใบลาออกในเวลาต่อมา เพื่อน ๆ พี่ ๆ รวมถึงผู้ใหญ่หลายคนรั้งเขาไว้ แต่ก็รั้งไม่อยู่ หากคนอย่างนิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุลยืนยันว่าจะไป ก็ไม่มีใครทัดทานเขาได้ ช่วงที่รักษาตัวนั่นเอง คือช่วงเวลาที่ชายรุ่นน้องตกหลุมรักกับภรรยาของเขา
ปิยมาภรณ์ คือนักกายภาพบำบัดที่รับดูแลนิรันดร์แต่แรก หญิงสาวคนนั้นทุ่มเท คอยดูแล ช่วยฟื้นฟูร่างกายของชายหนุ่มให้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างเดิม
ปิยมาภรณ์เคยถูกนิรันดร์อาละวาด ตวาด เบ่ง ข่มขู่ใส่มาแล้ว แต่ด้วยปณิธานของเธอ ที่มีความตั้งใจกับการดูแลคนไข้ทุกราย หญิงสาวบอกตัวเองว่าจะไม่ทิ้งเคสนี้ ฮึดสู้ ปลุกนิรันดร์ให้ลุกขึ้น ร่วมมือกับทีมแพทย์ ฝ่าฟันอุปสรรค จับมือกันจนผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ และความใกล้ชิดผูกพันนานแรมปีก็ค่อย ๆ ก่อเกิดความผูกพันขึ้น
เธอจริงจังจริงใจ มีความมุ่งมั่นกับสิ่งที่ทำ และที่เธอช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ก็เพราะเห็นเขาเป็นคนไข้คนหนึ่ง
นิรันดร์สารภาพรักกับเธอ และขอให้เธอมองเขาแบบผู้ชายคนหนึ่งได้หรือไม่ และเมื่อได้เริ่มคบหากันจริงจัง ชายหนุ่มผู้ทระนงก็พบว่าปิยมาภรณ์คือรักแท้ของเขา เขาถึงได้ยอมทิ้งชีวิตโสดของตัวเอง คุกเข่าขอเธอแต่งงานหลังคบหากันไม่นาน สร้างครอบครัวด้วยกัน แล้วก็พบกับความสูญเสียอีกครั้ง เมื่อภรรยาของเขาประสบอุบัติเหตุ ขับรถตกเขาจนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุของค่ำคืนคืนหนึ่ง
เดชาพลอดคิดไม่ได้ ว่าอาจจะยังมีคนลอบคิดร้าย หมายปองชีวิตนิรันดร์และคนใกล้ชิดของชายรุ่นน้องอยู่
พลันเสียงนิรันดร์ถามขัดความคิดของเดชาพลขึ้นเสียก่อน
“ที่นั่นมีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือครับพี่เด”
เดชาพลนิ่งไป ทบทวนคำถามแล้วถึงตอบ
“สายรายงานว่ามีรถตู้หลายคันขับเข้าไปในนั้น คาดว่าห้องที่เราต้องการหาน่าจะไม่ได้อยู่ภายในรีสอร์ต แต่อาจอยู่ถัดเข้าไปทางด้านหลังอีกที และเขาเข้มงวดเรื่องคนเข้าออกมากนะรันดร์ ว่าแต่รันดร์เข้าไป ไม่มีใครถามอะไรหรอกหรือ”
“ไม่มีครับ ผมอาศัยว่าเข้าไปใช้บริการที่คลินิกกายภาพของเขา”
เดชาพลพยักหน้า ยกแก้วเครื่องดื่มในมือจิบก่อนถามกลับยิ้ม ๆ “อย่างนั้นก็ได้เจอสาว ๆ ทีมกายภาพของที่นั่นแล้วน่ะสิ”
นิรันดร์นิ่งไปครู่ พยักหน้าตอบ รับคำคล้ายไม่ได้สนใจ “ครับ”
“สาว ๆ ที่นั่น ยกเว้นแม่คนชื่ออะไรหอม ๆ นั่นน่ะน่ารักหมดทุกคน โดยเฉพาะคุณขิมยิ่งน่ารัก เสียดายมีเจ้าของแล้ว ขนาดว่ามีเจ้าของแล้วนะ ก็ยังเห็นมีคนตาม พยายามจีบเธออยู่เลย หวังว่าน้องของพี่ คงไม่ได้หลงเสน่ห์คุณขิมเข้าอีกคนหรอกนะ”
ไม่มีเสียงตอบรับอะไรจากนิรันดร์
ธรณ์ที่นั่งฟังเงียบ ๆ สะดุดหูชื่อ ‘คุณขิม’ ขึ้นทันที แล้วก็พบความผิดปกติที่ฉายผ่านแววตาของพี่ชายคนโตเมื่อครู่แวบหนึ่ง ได้ยินเสียงนิรันดร์เอ่ยขึ้นเบา ๆ
“ผมจะหลงใครง่าย ๆ ได้ยังไงล่ะครับ ยังมีปิ่นอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกอยู่เลยพี่เด”
ธรณ์ขยับตัวอย่างอึดอัด เมื่อจบคำของพี่ชาย แย้งกลับ อย่างไม่รู้จะปลอบอย่างไรดี
“ผมบอกแล้ว ว่าไม่ให้มาที่นี่ก็ไม่เชื่อ”
สายตาเด็ดเดี่ยวที่ฉายแววอ้างว้างในเสี้ยววินาที ทำเอาคนเป็นน้องต้องหยุดดื่ม หันไปสบตากับเดชาพลแทน
สามปีแรก นิรันดร์ก็แววตาเศร้าหลบในแบบนี้ จากนั้นก็ดูเหมือนว่าพอจะทำใจได้ แต่แล้วนี่กลับมามีอาการอีกแล้วหรือ
ต้องเป็นเพราะอยู่ในสถานที่ที่ภรรยาเสียชีวิตเป็นแน่
แล้วก็จริงอย่างที่คาด เมื่อได้ยินนิรันดร์เอ่ยปากขึ้นมาอีกประโยค “ผมลืมปิ่นไม่ได้หรอกครับ คำมั่นสัญญาที่บอกเธอไว้ว่าจะดูแลเธอให้ดีที่สุด ผมก็ทำไม่ได้”
เดชาพลเอื้อมมือมาตบไหล่เบา ๆ อย่างต้องการปลอบใจ
“รันดร์ทำดีที่สุดแล้ว อย่าเอาความคิดติดลบแบบนั้นมาทำลร้ายตัวเองอีกเลย”
ได้ยินคำปลอบก็พยักหน้าตอบรับให้ แล้วจัดแจงเหล้าในแก้วตรงหน้าจนหมด วางลงเบา ๆ เอ่ยกับเดชาพลด้วยทีท่าคล้ายคิดอะไรได้
“พี่เดครับ พี่ว่ามีความเป็นไปได้ไหม”
“อะไร” เดชาพลรีบถามกลับเมื่อเห็นแววตาของชายรุ่นน้องฉายแววแห่งความหวังขึ้นมา
นิรันดร์ขยับนั่งหลังตรง เกิดคำถามในหัวเขามากมาย พร้อมกับอยากพิสูจน์ เพื่อไขข้อข้องใจในเรื่องเรื่องหนึ่ง บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จะเป็นไปได้ไหมครับ ว่าศพในวันนั้นจะไม่ใช่ศพของปิ่น”
สิ้นคำของนิรันดร์ ธรณ์ที่ยื่นหน้าเข้ามาฟังใกล้ ๆ ขยับตัวออกไปพิงพนักอย่างเดิม
นี่เองคือสิ่งที่ตอกย้ำความอ่อนแอของพี่ชาย
พี่ของเขายังคงรักมั่นคงต่อปิยมาภรณ์ไม่เคยเปลี่ยน
แล้วก็มีแต่ความเงียบบนโต๊ะตัวนั้นแทนคำตอบ ขนาดเดชาพล เพื่อนรุ่นพี่ของนิรันดร์เองยังนิ่ง อิดออด พูดอะไรไม่ออก คิดไม่ถึงว่า นิรันดร์ อัศวหาญญ์วรกุล จะมีความคิดเช่นนี้ในหัว
เหตุการณ์ผ่านมาสิบสามปีแล้ว ศพถูกยืนยันแล้วว่าคือปิยมาภรณ์ จะไม่ใช่ได้อย่างไร
ธรณ์เลยเอ่ยปากขึ้น เพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆ ในวินาทีนั้น “ผมบอกเฮียแล้วว่ามาวนมาเวียนแถวนี้ก็จะยิ่งคิดถึงเจ้ปิ่นไปกันใหญ่ แบบนี้เมื่อไหร่จะทำใจได้เล่าครับ”
แล้วหันไปทางเดชาพล ถามกึ่งทีเล่นทีจริง “ว่าแต่ว่า ที่นี่มีตัวท็อปแบบเจ๋ง ๆ บ้างไหมครับพี่เด ขอแบบที่ทำให้พี่ผมลืมรักแท้สักคืนไปเลย รบกวนพามาเอ็นเตอร์เทนสักสองสามคนจะได้ไหมครับ”
“มาถามอะไรพี่แบบนี้วะ”
เดชาพลถามกลับเสียงสูงปนขำ คุยเล่นกันอีกพักใหญ่ ค่อยต่อสายหาคนที่พอจะจัดการเรื่องนี้ได้ดีกว่าตนเอง ไม่นานทั้งหมดก็พากันย้ายจากร้านอาหารที่นั่งสนทนากัน ไปยังคลับหรูในโรงแรมเครือญาติของเดชาพลหลังจากนั้น
ขิมแขอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังจะเข้านอน
นึกขึ้นได้ว่าปิดประตูด้านหลังแล้วหรือยัง เนื่องจากอยู่บ้านสองคนกับภูผา แม่บ้านที่ช่วยดูแลงานบ้าน ใช้แม่บ้านเดียวกับรีสอร์ต จึงไม่มีใครอยู่ประจำที่นี่
ก่อนหน้านี้ตอนทำอาหารเธอก็เหม่อ ปล่อยให้กระทะไหม้ไปรอบหนึ่งแล้ว แถมมีดยังบาดมือเข้าไปอีก ต้นเหตุน่าจะมาจากความคิดวนเวียนถึงผู้ชายจอมวางท่าคนนั้น รีบปัดความรู้สึกวาบหวามตอนที่ถูกเขากอดรัดทิ้งไป นึกรังเกียจตัวเองที่รู้สึกแบบนั้น นี่เธอมีครอบครัว มีลูก มีสามีแล้วนะ สมควรหรือที่คิดนอกลู่กับชายอื่นที่ไม่ใช่สามีของตัวเอง
แล้วเดินออกมาที่ด้านนอก ตรวจรอบบ้านให้เรียบร้อย พอดีกับที่เห็นหลังไวไวของภูผาลับ ๆ ล่อ ๆ ออกจากประตูหลังบ้าน ขมวดคิ้ว แปลกใจกับท่าทีของลูก จึงคว้ากุญแจพวงใหญ่ที่มีทั้งกุญแจรถ กุญแจบ้านเดินตามไปด้วย มองไปรอบ ๆ บริเวณ รีบเรียกอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจะหายไปกับความมืดเบื้องหน้า
“ภูผา”
เด็กหนุ่มชะงักกึก ค่อย ๆ หันมาสบตากับเธอ เสียงอ่อย “คุณแม่”
“ลูกจะไปไหน นี่สามทุ่มแล้วนะ”
ภูผามองเธอด้วยสายตาละห้อยน่าสงสาร ยอมบอกในที่สุดว่ากำลังจะไปไหนตอนค่ำมืดแบบนี้ ขิมแขเข้ามาจับมือลูกแล้วพาขึ้นรถ ขับออกมา จนพ้นเขต Rehab and Nursing @ P.House จึงได้เห็นปลายฝนยืนตบยุงอยู่ไม่ไกลจากประตูทางเข้าออกเท่าไรนัก
รถยังไม่ทันจอดสนิทดี ภูผาผวาเปิดประตูลงไปแล้ว ขิมแขร้องตกใจเบา ๆ จอดรถให้เรียบร้อย ก่อนจะเดินตามไป
“มีอะไรกันหรือเด็ก ๆ” เธอถามไล่หลัง แล้วเป็นภูผาที่หันมาตอบคำถามของเธอ
“บ้านฝนไฟดับครับคุณแม่ แถมฝนยังอยู่บ้านคนเดียวอีก”
“อ้าว แล้วคุณพ่อของหนูล่ะ” ขิมแขถามพร้อมกับมองตาเด็กสาวตรงหน้าด้วยความสงสัย
“คุณพ่อออกไปธุระข้างนอกค่ะ ไฟก็มาดับอีก ฝนยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวมาก ๆ ฝนกลัว โทรหาคุณพ่อก็โทรไม่ติด ฝนเลยโทรหาภูค่ะคุณน้า”
ขิมแขนิ่งไปเป็นครู่ กำลังชั่งใจว่าจะพาเด็กสาวหน้าตาน่ารัก แววตาใสซื่อเข้าไปหาอะไรกินที่บ้านของตัวเองดีไหม พาไปโดยไม่บอกทางผู้ปกครองเขาก่อน เกิดกลับมาไม่เจอลูกตัว ก็จะหาว่าเธอไปล้ำเส้นเขาอีก แม่ตัวดีคงเห็นท่าทีลังเลของเธอ เอ่ยด้วยน้ำเสียงหงอย ๆ
“คืนก่อนคุณพ่อก็ไปค่ะ กลับมาเกือบเช้า เห็นว่าไปคุยธุระกับคุณลุง” บอกจบเด็กสาวลูบท้องเบา ๆ บอก “ของที่บ้านก็ไม่มีอะไรกินเลย คุณพ่อไปคืนนี้อีก ก็คงกลับมาเกือบเช้าเหมือนเดิม ถ้ายังไงแล้ว คุณน้าพาหนูออกไปหาซื้ออะไรที่ร้านสะดวกซื้อได้ไหมคะ”
“ไกลเลยนะ” ขิมแขบอกขึ้นเมื่อนึกถึงระยะทางจากตรงนี้เข้าไปในตัวเมือง
ปลายฝนหน้าหงอบอกเสียงอ่อย “ขอโทษด้วยนะคะที่รบกวน งั้นฝนกลับไปกินน้ำเปล่าที่บ้านก็ได้ค่ะ ภูได้เอาเทียนกับไฟแช็คมาด้วยไหม...”
ภูผาถอนใจ มองเธอด้วยแววตาขอร้อง
“ไม่ได้เอามาหรือ งั้นฝนใช้ไฟฉายไปก่อนก็แล้วกัน ไม่รู้จะสว่างถึงเช้าหรือเปล่า ฝนกลับบ้านก่อนนะคะคุณน้า ไปนะภู”
ท้ายประโยคหันไปบอกกับภูผา แล้วหมุนตัวกลับ ก้าวไปแค่ก้าวเดียว เธอกับภูผาก็เอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ฝน / ไปขึ้นรถเถอะลูก”
แม่ตัวดียิ้มเจ้าเล่ห์ทันที นึกแล้วว่าลูกไม้นี้ต้องได้ผล แล้วกลับไปปั้นหน้าเศร้า หันกลับมาหาคนที่เรียกตนไว้ทั้งแม่ทั้งลูก
“ขอบคุณนะคะ ฝนเกรงใจจังเลยค่ะ”
ขิมแขตากระตุกยิบเลยทีเดียว รู้สึกไม่ดีนัก ที่ต้องพาลูกสาวของคนบ้าอำนาจแบบนั้นออกไปไหนมาไหนตอนค่ำ ๆ มืด ๆ โดยที่คนพ่อไม่รู้แบบนี้
แล้วเดินตามกันไปที่รถในนาทีต่อมา
“ซื้อพวกบะหมี่ นม กับขนมปังก็พอค่ะ กินง่ายดี เผื่อวันหลังคุณพ่อไม่อยู่ ฝนจะได้ไม่โทรไปรบกวนภูอีก” ปลายฝนว่าเสียงแจ๋วตอนที่นั่งอยู่ในรถแล้ว
“อย่าลืมเทียนกับไฟแช็คด้วยล่ะ”
ขิมแขเตือนเบา ๆ ปลายฝนอมยิ้มแล้วหันไปซุบซิบคุยอะไรกับภูผา ปล่อยให้เธอขับรถไปเงียบ ๆ
ผู้ชายคนนั้นทำตัวเป็นคุณพ่อที่แสนห่วงหวงลูกเบอร์ไหนกัน ถึงได้ปล่อยลูกสาววัยนี้ให้อยู่บ้านคนเดียว ถึงแม้ที่นี่จะไม่เคยมีข่าวอาชญากรรมร้ายแรงอะไร แต่กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ไขในภายหลังเป็นแน่
ถอนใจเฮือก แล้วถึงได้พากันออกไปที่ตัวจังหวัด เพื่อหาซื้อของกินแบบง่าย ๆ และข้าวของเครื่องใช้ที่ปลายฝนอ้างว่าเธอต้องการในตอนนั้นเอง
นิรันดร์ไม่ใคร่อยากใช้บริการผู้หญิงที่ญาติของเดชาพลจัดหาให้ในเวลานี้เท่าไรนัก แต่พอถูกธรณ์กับเดชาพลเซ้าซี้หนักเข้า เลยตอบรับไปอย่างนั้นเอง สามหนุ่มใช้รถคนละคัน เดชาพลกับธรณ์ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่เขาขอแวะร้านสะดวกซื้อสักครู่ เมื่อพบว่าไม่มีอุปกรณ์ป้องกันติดตัวมาเลย ควรต้องพกไว้น่าจะดีกว่าไม่มีเลยแบบนี้
จอดรถแล้ว ค่อยเดินเข้าไปหยิบกล่องเครื่องป้องกันเตรียมเผื่อ ๆ เอาไว้ กำลังยื่นให้พนักงานในร้านสะดวกซื้อคิดเงิน พลันเสียงคุยเสียงหัวเราะก็ทำเอาพ่อม่ายยังหนุ่มต้องขมวดคิ้วมุ่น แล้วค่อยหันไปมองทางต้นตอของเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่
ก่อนจะครางเรียกชื่อบุตรสาวด้วยหัวใจที่เต้นแรงโลดขึ้น ราวกับใครเอาไม้ซุงไปฟาดเข้ากับกลองยักษ์
“ปลายฝน!”
เด็กสาวกำลังหยอกล้ออยู่กับภูผาชะงักกึก เมื่อเดินออกจากช่องวางสินค้า มาเจอกับบิดาตรงหน้าเคาน์เตอร์พอดี มองเห็นของที่บิดาถือก็หน้าแดงแปร้ด เสไปมองทางอื่นพร้อมขยับไปหลบที่ด้านหลังของภูผา
“นี่...” คนเป็นพ่อพูดออกมาได้คำเดียวก็หน้าเขียวหน้าแดง ถามปนโกรธ “นี่ลูกออกมาที่นี่ได้ยังไง ออกมาทำอะไร มันดึกมากแล้วนะปลายฝน”
ปลายฝนไม่ยอมตอบ แม่ตัวดีทำตัวให้พ่อวางใจ แล้วยังหลอกกล้วยพี่เลี้ยงตัวเอง หลอกคนของบิดา จนสามารถแว่บออกจากบ้านมาได้โดยไม่มีใครรู้เลยสักคน เพื่อมารอภูผาที่หน้ารีสอร์ตของเขา
ยิ่งเงียบก็ยิ่งก่อโทสะให้นิรันดร์ เค้นเสียงกับบุตรสาว มองภูผาแววตาเหี้ยมเกรียม “ลูกสาวพ่อไม่มีทางออกมาเองแน่ ถ้าไม่มีคนล่อให้ออกมา”
พลันนั้นเองที่ขิมแขเดินไวไวมายังต้นตอของเสียง เธอสำรวจบิดาของปลายฝน เห็นของที่เขาถืออยู่ในมือ แล้วยังกลิ่นเหล้าที่โชยเข้าจมูกมานั่นอีก ถ้าขับรถแบบสติไม่ครบก็อันตรายอยู่เหมือนกัน แล้วหากโชคร้ายประสบเหตุ ก็อย่าได้พ่วงเอาบุตรสาวของเขาไปด้วยเลย แล้วรีบบอกเขา
“ฉันเป็นคนพาปลายฝนออกมาเองค่ะ เดี๋ยวจะพากลับบ้านตอนนี้เลย”
“ใครอนุญาตให้เข้ามายุ่มย่ามเรื่องในครอบครัวคนอื่น” พ่อม่ายหนุ่มกล่าวตำหนิเสียงเฉียบ แล้วหันไปมองบุตรสาวด้วยสีหน้าดำคล้ำกว่าเดิม
“ไปขึ้นรถ ปลายฝน”
“ลูกมาพร้อมคุณน้า ให้ลูกกลับกับคุณน้าดีกว่าค่ะ”
ขิมแขเห็นสถานการณ์ท่าจะไม่ดี ก็รีบเอาของกินแบบง่าย ๆ ในตะกร้าของเด็กสาวส่งให้พนักงานช่วยคิดเงิน ดีที่ตอนนั้นในร้านไม่มีใครนอกจากกลุ่มของพวกเธอ จนเรียบร้อยแล้ว ค่อยเดินนำภูผาและปลายฝนกลับไปที่รถในทันที ออกรถ ขับไปส่งยังบ้านพักของเด็กสาวก่อนเป็นลำดับแรก
“คุณน้าคะ หนูขอโทษแทนคุณพ่อด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกลูก”
ปากบอกไปแบบนั้น แต่ก็นึกหนักใจอยู่ไม่น้อย ขับรถด้วยอาการหวั่นหวาดระแวง ไม่ได้ใช้ความเร็วมาก เพราะรู้สึกกดดันจนเริ่มหายใจไม่ออก สุดท้ายก็พาปลายฝนมาส่งถึงบ้านในที่สุด
ทันทีที่จอดรถ ก็มีคนรายล้อมรอบรถของเธอ หญิงคนหนึ่งปรี่จากในบ้าน มาที่ปลายฝนแทบทันที พอเห็นปลายฝนเท่านั้นก็ยกมือลูบอกด้วยความโล่งใจ ถามด้วยเสียงวิตกกังวล
“คุณหนูหายไปไหนมาคะ พี่กล้วยหาจนทั่วบ้าน นี่พี่กล้วยตกใจแทบแย่ ดีนะคะ ที่คุณพ่อยังไม่กลับ...”
สาวใช้ยังว่าไม่ทันจบ รถของนิรันดร์ก็พุ่งเข้ามาจอดข้าง ๆ รถของเธอ กล้วยแทบเป็นลมล้มพับเมื่อเห็นนายเป็นประตูลงจากรถมา แถมยังมองที่บุตรสาวของตนเองนิ่ง
ขิมแขไม่ได้สนใจมองเขา แต่กำลังมองที่เด็กสาวตัวแสบอยู่
นึกถึงที่เจ้าตัวบอกกับเธอเมื่อชั่วโมงก่อนหน้า
ไหนว่าไฟดับ
ไหนว่าอยู่บ้านคนเดียว
นี่ทั้งการ์ด ทั้งคนรับใช้อยู่กันเต็มไปหมด และสภาพแบบนี้ ก็ห่างไกล คำว่าไม่มีของกินติดบ้านลิบลับ
พร้อมกับถอนใจเบา ๆ เธอเสียท่าให้เด็กสาวคนนี้แล้วใช่ไหม สมควรล่ะที่บิดาของทางนั้น จะว่าเธอว่าเข้ามายุ่มย่ามเรื่องในบ้านเขา
เอ่ยลา รีบพาภูผากลับขึ้นรถ นิรันดร์ที่เหมือนพายุลูกใหญ่พร้อมจะถล่มทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากองได้ทุกเมื่อ มองตามหลังอย่างต้องการเอาเรื่องทั้งแม่ทั้งลูกชายตัวดีนั่น แต่แล้วก็นิ่ง มองสองคนที่จากไปด้วยสายตาวับวาวเอาเรื่อง
ผู้หญิงคนนั้นแอบพาลูกของเขาออกไปข้างนอก โดยที่คนของเขาไม่รู้เลยได้อย่างไร คิดแล้วเจ็บใจนัก มองเข้าไปในบ้านก็เห็นแผ่นหลังปลายฝนไวไว ลับหายเข้าห้องแล้ว ด้วยฝีมือของพี่เลี้ยงลูกคู่ของเจ้าหล่อน เลยคร้านจะเข้าไปเค้นในตอนนี้