10

4385 คำ
          เลื่อนบานประตูเปิดออก ก็พบว่าคนด้านในนอนคว่ำรอบนเตียงที่ทำการรักษาแล้ว ขิมแขมองเขาอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยเอ่ยถาม           “อาการเป็นยังไงบ้างคะวันนี้ ดีขึ้นจากเดิมบ้างไหม”           “ยังเหมือนเดิม” น้ำเสียงหนักแน่นและหยิ่งยโสตอบกลับ โดยที่เจ้าตัวยังนอนคว่ำหน้าอยู่ เธอมองที่แผ่นหลังของเขา กล่าวต่อ           “ขอตรวจร่างกายเพิ่มหน่อยนะคะ”           เธอบอกจบ ขยับไปใกล้เตียงกว่าเดิม เอ่ยอีกประโยค “ขออนุญาตเปิดเสื้อนะคะ” แว่วเสียงอือทำนองว่าอนุญาต จึงเปิดชายเสื้อของเขาขึ้น พบรอยแผลผ่าตัดเป็นทางไม่ยาวมากตรงบริเวณหลังส่วนล่าง จึงแตะลงบนรอยผ่าตัด ด้วยว่าต้องการสำรวจผิวและความตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณนั้น อย่างที่เคยทำการตรวจคนไข้รายอื่น           คนที่คว่ำหน้าอยู่รู้สึกจุกขึ้นในหัวใจทันทีที่ถูกสัมผัสด้วยปลายนิ้วเย็นเฉียบ ผวาเฮือกหนึ่ง พร้อมกับความคิดคำนึงในหัว           สัมผัสแบบนี้ มัน...           นิรันดร์พลิกตัวผละออก ลุกขึ้นนั่งในจังหวะต่อมา พอเห็นว่าไม่ใช่นักกายภาพบำบัดคนเมื่อวานที่ทำการรักษาให้เขา พลันนิ่งไปครู่ เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ระบุอารมณ์ใด ๆ “คนเมื่อวานไม่เห็นเขาจะต้องมาเปิดเสื้อผมแบบนี้เลย ไปตามคนที่รักษาผมคนเมื่อวานนี้มาที” “การตรวจประเมินคนไข้อาจแตกต่างกันได้ค่ะ และฉันไม่ได้มีเจตนาจะล่วงละเมิดทางเพศคุณแน่นอน” พอพูดออกไปแล้ว ก็นึกได้ว่าครั้งแรก เขากล่าวหาภูผาแบบนี้ แต่แล้วก็สายไปที่จะแก้ไขคำพูดตนเอง และเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะพูดเหน็บเขาเสียหน่อย พอเห็นสายตาเยือกเย็นที่เขามองมา ขิมแขก็ลอบถอนหายใจเบา ๆ นี่คงเป็นพฤติกรรมอย่างหนึ่งของเขาที่รับมือยากละมัง จนเทียนหอมต้องออกปากให้เธอช่วย “น้องคนเมื่อวาน ติดดูแลคนไข้อีกเคสอยู่น่ะค่ะ” “จำได้ว่าผมรีมาร์คไว้ใบบันทึกประวัติแล้วนะ ว่าต้องการรักษากับคนเดิม ถ้าเขาไม่ว่างก็ไม่น่าจะนัดให้ผมมา” บอกด้วยน้ำเสียง สีหน้า แววตาตำหนิติอยู่ในที “ขอโทษแทนน้องด้วยค่ะ แต่ที่นี่มาตรฐานการให้บริการของเราเหมือนกันหมด คนไข้รักษากับใคร จะต้องได้ผลการรักษาแบบเดียวกัน ไม่ต้องกังวลในจุดนี้นะคะ”  ได้ยินคำกล่าวแบบนั้นของเธอแล้ว นิรันดร์อดรู้สึกไม่ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจเขา แย้งกลับอย่างนึกสนุก เมื่อพอเห็นช่องทางปั่นหัวอีกฝ่ายกลับได้บ้าง “แปลกนะ ตรวจคนไข้บอกว่าอาจแตกต่างกันได้ แล้วผลการรักษาของพวกคุณจะออกมาเป็นมาตรฐานเดียวกันได้อย่างไร ย้อนแย้งน่าดู”  ขิมแขเลือกที่จะไม่พูดอะไรโต้ตอบกลับ นิรันดร์เองก็เหมือนพอใจแล้วในการโต้คารมรอบนี้ ขยับตัวลงนอนคว่ำอย่างเดิม บอก “เอาเถอะ ผมไม่ใช่คนเรื่องมากอะไร ถ้าคุณรับทำเคสผมแล้ว รอบหน้าก็ให้มันต่อเนื่องหน่อยแล้วกัน อย่าได้สลับใครมาอีก” โถ...พ่อคนไม่เรื่องมาก ขิมแขอดค่อนในใจไม่ได้ พยายามไม่ต่อปากต่อคำให้ยืดเยื้อ ลักษณะแบบนี้คือเขากำลังตีรวน เงียบไว้ดีกว่า ไม่อย่างนั้นก็คงไม่จบ อีกอย่างเธอเป็นผู้ให้บริการควรรักษาอารมณ์ให้นิ่งกว่าเขา มองว่าเขาคือคนเจ็บป่วยคนหนึ่ง ก็เป็นธรรมดาที่จะมีอารมณ์ หรือท่าทีแบบนี้ เขาเป็นคนไข้ ท่องเอาไว้ขิมแข           แล้วขยับไปใกล้ๆ เปิดเสื้อของเขาขึ้นอีกครั้ง ลงมือตรวจร่างกายเพิ่มเติมในส่วนที่ยังขาดไปในใบบันทึกประวัติการรักษา แล้วประมวลผล ประเมินอาการในทันที เธอแตะมือลงบริเวณกล้ามเนื้อที่เทียนหอมระบุในใบบันทึกการรักษาว่าพบปัญหา พร้อมกับทดสอบด้วยการตรวจร่างกายเฉพาะด้วยวิธีทางกายภาพบำบัดที่ใช้อยู่ประจำสำหรับอาการปวดหลัง จนเรียบร้อยแล้ว ลงมือทำการรักษาด้วยการคลายกล้ามเนื้อเบา ๆ วางอบด้วยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดยี่สิบห้านาทีแล้วจึงกลับมาดูอาการของเขาอีกครั้ง           “คุณจบกายภาพบำบัดมาหรือ”           จู่ ๆ เสียงถามจากเขาก็ดังขึ้น ขิมแขนิ่งไปอึดใจ แล้วถึงตอบ           “เปล่าค่ะ”           “แล้วใช้เครื่องมือพวกนี้ได้อย่างไร ไม่ผิดพรบ.ของทางวิชาชีพเขาหรือ อ้อ คงเห็นว่าไม่มีคนมาตรวจสอบก็กะจะมั่ว ๆ เอาใช่ไหม คุณพยาบาลขิมแข”           นิรันดร์รู้ประวัติของเธอแล้ว เมื่อลูกน้องนำข้อมูลมาให้ครั้งที่เขาสั่งการให้ตามสืบเรื่องของเธอกับภูผา พบว่าขิมแขจบพยาบาลมาและช่วยสามีดูแลสถานพักฟื้นคนป่วยและคนสูงอายุแห่งหนึ่ง           แล้วก็นึกเจ็บใจตัวเอง ทำไมตอนที่ซื้อที่ตรงนี้ ถึงไม่มีใครเตือนเขาเลยว่ามันใกล้กับที่ของสองแม่ลูกคู่กรณี           ขิมแขได้ยินคำกล่าวสบประมาทนั่นแล้ว ก็นึกไม่พอใจขึ้นในวินาทีนั้น ใบหน้าค่อย ๆ ร้อนวูบอย่างมีโมโห แล้วออกแรงลงน้ำหนักมือกดที่หลังของเขา คนถูกกดรับรู้แรงนั้นแล้ว เขาไม่ได้เจ็บเท่าไรนักหรอก แต่ก็แสร้งร้องเสียงดังขึ้น           “โอ๊ย!”           แล้วดันตัวลุกขึ้นนั่ง ขิมแขหมุนตัวจะออกจากห้อง แต่แล้วกลับถูกเขาดึงแขนเอาไว้ แล้วลากเธอมากักไว้กับเตียง เขาทาบแขนตัวเองกับแขนของเธอ สองมือของเขารวบจับข้อมือของเธอเอาไว้เสียแน่น ถามเอาเรื่อง           “นี่ตั้งใจ หรือ เพราะไม่ได้จบเฉพาะทางมา ก็เลยพลาดทำให้คนไข้บาดเจ็บ”           คล้ายกับถูกตีครั้งแรกไปแล้ว ก็ถูกเขาหวดซ้ำลงมาอีก ผู้ชายคนนี้ทำไมจับจุดถูก ว่าเธอมีปมเรื่องนี้ การที่เธอเป็นพยาบาลแล้วเข้ามารักษา เข้ามาใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด รักษาคนไข้ในคลินิกนี้เป็นสิ่งผิด เป็นสิ่งที่ติดค้างอยู่ในใจของเธอมาตลอด ใช่เธอไม่ได้จบเฉพาะทางมา แล้วที่มาช่วยงานในคลินิกกายภาพบำบัดนี้ ก็รู้ดีว่าทำผิดหลายอย่าง แต่เจตนาของเธอดี และเธอก็มั่นใจว่ารู้จักเครื่องมือพวกนี้ดีไม่น้อย จึงกล้าทำการรักษาคนไข้ ดิ้น พร้อมกับดัน บิดข้อมือตัวเองออกให้หลุด เสียงแข็งใส่เขา “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไม่อย่างนั้นคุณจะถูกข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว” แว่วเสียงเขาหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ราวกับถูกเด็กเล็ก ๆ ขู่ฟ่ออย่างไรอย่างนั้น พ่อม่ายยังหนุ่มยังแน่น ถามเพื่อต้อนเธอ “ผมปล่อยคุณแน่ แต่ยอมรับมาก่อนว่าเมื่อกี๊คุณตั้งใจกดหลังผมแรง ๆ” คราวนี้ขิมแขไม่พูดอะไร ใช่เธอตั้งใจ เธอจงใจกดมือแรง ๆ ที่หลังของเขา แต่เรื่องอะไรเธอจะยอมรับ แล้วบิดข้อมือตัวเองออก แต่ยิ่งออกแรง ก็เหมือนกับเขาจะยิ่งแกล้งยื้อ เธอออกแรงมากขึ้นเพื่อจะดึงมือให้หลุดออกจากเขา นิรันดร์ยิ้มแล้วยอมโอนอ่อนคล้ายยอม พอสบจังหวะ เขาก็หมุนเธอให้หันมาเผชิญหน้ากัน           นิรันดร์จ้องมองดวงตาฉลาด ดื้อรั้นบนใบหน้าสวยจัดที่ไม่เคยนึกชอบใจมาก่อนนิ่งครู่เดียว แล้วยั่วเธอกลับอย่างไม่เคยคิดจะทำแบบนี้กับใครมาก่อน           “คิดว่าผมไม่รู้หรือ จะบอกให้นะว่าภรรยาผมน่ะ เธอก็เป็นนักกายภาพบำบัดเหมือนกัน ผมรู้ทั้งนั้นแหละว่าเครื่องมือในนี้ชื่ออะไรบ้าง”           ขิมแขนึกชังนำหน้าเขาขึ้นมาทันที แย้งกลับอย่างควบคุมตัวเองได้ลดน้อยถอยลงทุกที ๆ           “แล้วทำไมไม่รักษาตัวคุณเองล่ะ”           นิรันดร์ยังไม่หยุดกล่าวยั่ว “ก็กะจะรักษาเหมือนกัน แต่อยากดูว่าที่นี่จะมีอะไรดีบ้างไหม นอกจากเอาผู้หญิงหุ่นอวบอัดมานวดคนไข้แบบนี้ แล้วก็เรียกตัวเองเสียสวยหรูว่านักกายภาพ”           “นี่คุณ! คุณแค่มีภรรยาเป็นนักกายภาพบำบัด แต่คุณไม่ได้มีใบประกอบวิชาชีพ ระวังจะผิด พรบ.เหมือนกันนะ”           พอเธอย้อนเขาจบ นิรันดร์ก็แกล้งรัดแขนของเขาแน่นจนร่างกายส่วนหน้าของเขาและเธอเบียดชิดกัน ขิมแขใจสั่น กลั้นหายใจกับความใกล้ชิดแบบนี้           แล้วฮึดก้มลงกัดที่ไหล่ของเขาสุดแรง           ไม่มีเสียงร้องสักนิด จนเธอต้องยอมปล่อยเขา เมื่อเห็นว่าเนื้อของเขาจมเขี้ยวเธอไปแล้ว           วินาทีนั้นที่เธอถูกเขาปล่อยจากอ้อมแขนรัดแน่นราวกับงู           ขิมแขมองเข้าไปในตาของเขาก็รู้สึกตื้อเหมือนกับจะหายใจไม่ออก นึกชังแววตาเย่อหยิ่งทะนงตัวแฝงความมั่นใจร้ายกาจแบบเต็มเปี่ยมนั่นจริง ๆ แล้วก็นึกรังเกียจตัวเองที่ใจเต้นแปลก ๆ แบบนี้ด้วย ส่วนนิรันดร์เองก็รู้สึกว่าหัวใจที่ตายด้านมานานสิบกว่าปีโลดแรงขึ้น แทบจับจังหวะไม่ถูก เมื่อได้ชิดใกล้กับหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ อีกทั้งเธอยังเป็นแม่ของไอ้เด็กหนุ่มที่ยังตามเกาะแกะบุตรสาวสุดรักสุดหวงของเขาอีกด้วย เขาไม่ควรรู้สึกแบบที่กำลังรู้สึกนี่เลย ให้ตายเถอะ!           ขิมแขควบคุมสติได้ก่อน รีบผลักเขาออกให้พ้นจากตัว พลันนั้นเองที่ประตูห้องรักษาถูกเคาะเบา ๆ พร้อมกับเสียงของคนด้านนอก           “แผ่นร้อน หนูวางไว้ให้ที่หน้าห้องแล้วนะคะพี่ขิม”           “ขอบใจมาก เดี๋ยวพี่ฝากวางให้คุณนิรันดร์ด้วยนะ” ขิมแขอึกอักเล็กน้อย และผิดจากเดิมที่มักสั่งงานละเอียด คนยืนคอยมองแล้วก็ถามเธอต่อจากนั้น           “ให้วางตรงไหนบ้างคะ”           “Lumbar ที่เดียวจ้ะ พี่จะไปดูเคสคุณตวงพรต่อนะ”           “ค่ะ”             ขิมแขเดินออกจากห้องรักษาไปแทบทันที โดยมีแววตาของคนด้านในมองตามหลังไปจนลับ เธอดูแลคนไข้รายอื่นต่อจากนั้น จนเรียบร้อยแล้วก็พบว่านิรันดร์ยังไม่ไปไหน ทั้ง ๆ ที่เสร็จสิ้นการรักษาของวันนี้แล้ว เวลานัดหมายของเขา เธอใส่รายละเอียดเป็นบันทึกเล็ก ๆ ให้เจ้าหน้าที่ของคลินิกเป็นผู้นัดให้ ส่วนเขาจะมาหรือไม่มานั้น ก็ให้เป็นความสมัครใจ เป็นสิทธิของเขาก็แล้วกัน           นิรันดร์รับบัตรมาแล้วแต่ยังไม่ยอมกลับ เขานั่งรอที่เก้าอี้ต้อนรับของคลินิก พอเห็นขิมแขเดินออกมาจากห้องรักษาทางด้านใน ก็ลุกขึ้นแล้วเดินตรงเข้าไปหาเธอ “พรุ่งนี้ผมจะมาเวลาเดิม และขอคนรักษาเป็นคุณแบบเดิม” ขิมแขถูกกดจากแววตาและคำพูดวางอำนาจของเขา ก็เริ่มไม่พอใจอีกฝ่ายมากขึ้นทุกขณะ คิดอยากโต้กลับ ดีที่ยั้งตัวเองเอาไว้ทัน ไม่พูดอะไรมาก รับคำสั้น ๆ ด้วยการทิ้งหางเสียงระบุอารมณ์ของตัวเอง “ค่ะ”           เป็นคำว่า ‘ค่ะ’ ที่นิรันดร์ได้ยินแล้วขวางหูชะมัด           ห้วน ถือดี หยิ่ง จองหอง หน้านิ่งแต่ปั่นอารมณ์เขาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว           ขิมแขหมุนตัวไปคุยกับเจ้าหน้าที่ของคลินิกเรื่องคนไข้รายหนึ่งที่ต้องการซื้อคอร์สรักษาแบบเป็นแพ็คเก็ต จนเรียบร้อยแล้ว ก้าวขากำลังจะเดินเข้าไปรับคนไข้อีกราย ก็พบว่านิรันดร์ยังไม่ไปไหน เขามองเธอเหมือนคิดอะไรอยู่ แล้วถึงเหลือบมองที่แหวนประดับมุกเม็ดเล็กจิ๋วตรงนิ้วกลางของเธอ ออกปากทัก           “แหวนคุณสวยดีนี่ ซื้อมาจากที่ไหน”           ยิ้มมุมปากหน่อยหนึ่ง แบบที่นิรันดร์เห็นแล้วต้องเบือนหน้าหนีไปอีกทาง เธอเอ่ยถามกลับแทนที่จะตอบคำของเขา “คุณรอเพื่อจะถามฉันเรื่องแหวนเท่านี้หรือคะ นึกว่ามีธุระด่วนอะไร”           แล้วก้มลงมองแหวนที่นิ้ว มืออีกข้างยกหมุนมันไปมารอบ ๆ โคนนิ้ว ตอบกลับแบบไม่ตรงคำถามของเขานัก “ใส่ติดตัวมาตั้งนานแล้วค่ะ พยายามจะถอดออกแต่ติดตรงข้อนี้” ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้อีกข้างแตะตรงข้อนิ้วตรงกลางให้เขาดู           นิรันดร์ไม่ได้พูดอะไรอีก พยักหน้าเบา ๆ แล้วออกจากคลินิกไป           บทจะไปก็ไปง่ายเสียจริง           ขิมแขพยายามไม่มองตามแผ่นหลังของเขา นึกชิงชังในความยโส โอหัง วางท่ากร่างนั่นเหลือเกิน ตั้งแต่จำความได้ เธอไม่เคยเจอใครกวนประสาทเท่านี้มาก่อน พยายามระงับอารมณ์โมโหสุดขีดของตัวเองให้ลดลงโดยเร็ว เพื่อเข้าไปดูแลคนไข้รายอื่นต่อ จนเรียบร้อยดี ก็ค่อยเข้าไปที่ห้องพักด้านหลังคลินิก           แว่วเสียงคุยของเทียนหอมดังแทรกเข้ามา           “พี่ขิมคะ”           เสียงทักจากด้านหลัง ทำเอาขิมแขสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองก็พบว่าเป็นสาวรุ่นน้องกับสาวใหญ่เจ้าของร้านอาหารใกล้ ๆ นั่นเอง           “ว่าไงหอม พี่มิตรหอบอะไรมาคะนั่น”           “กินอะไรกันก่อนค่ะพี่ขิม น้องเลี้ยงเองมื้อนี้ ตอบแทนที่รับเคสหินให้น้อง”           มิตรมองสองสาวก็ยิ้ม ถามแหย่           “มื้อไหนคะน้องหอม”           “มื้อว่างค่ะพี่มิตร”           เทียนหอมตอบกลับอย่างมึน ๆ แล้วหันมาคุยกับเธอ           “คนไข้หมดแล้วค่ะ เดี๋ยวมีมาอีกน้องหอมจะทำเอง พี่ขิมพักกินอะไรกันก่อนเถอะค่ะ แล้วนั่น! ทำไมหน้าแดงแบบนั้นล่ะคะพี่ขิม ไม่สบายหรือเปล่า”           ขิมแขพ่นลมหายใจออกเบา ๆ เอาหลังมือแตะแก้มของตัวเอง เอียงคอหลบสายตาซอกแซกของเทียนหอม  บอกบ่ายเบี่ยง “เมื่อวันก่อนนู้นพี่ก็เป็นลม”           “ตายแล้ว งั้นกินอะไรก่อนค่ะ จะได้กินยา พี่ขิมกินแล้วกลับไปพักเลยนะคะ วันนี้คงไม่มีอะไรแล้ว เดี๋ยวหอมจัดการเคสที่เหลือให้เองค่ะ”           พยักหน้าคล้อยตามอีกฝ่าย แล้วบอกว่ายังไม่ค่อยหิว ก่อนจะลุกเดินจากไป โดยมีสายตาของเทียนหอมกับมิตรมองตามด้วยความเป็นห่วง           เธอกลับเข้าบ้านไวกว่าทุกวัน ก็พบว่าภูผานั่งอ่านหนังสือกับเพื่อนที่แวะมาหาถึงบ้าน ‘ปุริม’ เพื่อนภูผายกมือไหว้เธอพร้อมกล่าวทักทายอย่างสุภาพ           “สวัสดีครับ”           “มาติวกับตาภูหรือปุริม”           “ครับแม่”           ยิ้ม แล้วยืนคุยกับเด็ก ๆ ครู่เดียว ค่อยเข้าบ้านไป สวนกับแม่บ้านที่ยกของว่างออกมาให้ จนเย็นย่ำออกมาด้านนอกอีกที ก็พบว่าปุริมยังนั่งที่ม้าหินตัวเดิม ในมือมีหนังสืออ่านนอกเวลาเปิดค้างอยู่ เลยเข้าไปนั่งคุยกับสองหนุ่ม ชวนคุยไปพลาง           “กลับเย็นเลย ใครมารับล่ะวันนี้”           ภูผามองหน้าเพื่อนที่นั่งยิ้มน้อย ๆ แล้วหันมาบอกกับเธอ           “คุณแม่ไปส่งปุริมได้ไหมครับ คือ...แม่ของปุริมยังไม่เสร็จธุระเลยครับ แล้วกว่าจะขับรถมาถึงบ้านเราก็คงดึก”           ยิ้มรับ “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้ แล้วที่บ้านมีใครอยู่บ้างไหมปุริม”           “มีแม่บ้านอยู่ครับ แต่ไม่รบกวนคุณแม่ดีกว่า เดี๋ยวผมออกไปขึ้นรถข้างหน้าเข้าตลาดเองก็ได้ครับ”           ปุริมบอกไปแบบนั้น เพราะที่ถนนหน้า Rehab and Nursing @ P.House มักมีรถสองแถวผ่านเข้าตัวจังหวัดอยู่บ่อย ๆ           “เย็นขนาดนี้แล้วไม่มีรถหรอกปุริม” บอกเด็กหนุ่มเพื่อนลูกไปอย่างนั้นแล้วก็ว่า “ไปลูกไป เดี๋ยวแม่ไปส่งปุริมที่บ้านดีกว่า แม่จะออกไปซื้อของด้วย ภูไปด้วยกันไหม”           “ไม่ไปนะปุริม อยากดูโจทย์ข้อนี้ต่ออีกหน่อย”           ปุริมพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วเก็บหนังสือในมือเข้ากระเป๋า           เธอเลยเดินกลับเข้าบ้านคว้ากุญแจรถ ขับไปส่งปุริมที่บ้าน ที่อยู่ในตัวจังหวัด แล้วแวะเลือกซื้อของใช้ให้ตัวเองไปด้วยในตัวจากนั้นอีกครู่           วรพงศ์เขม้นมองร่างเล็กแต่อวบอัดที่กำลังหอบหิ้วถุงข้าวของจากห้างแห่งเดียวในตัวจังหวัดเก็บเข้าตอนหลังของรถยนต์ด้วยสายตาหมายมาด เขาไม่ค่อยเห็นว่าเธอจะออกไปไหนมาไหนเย็นย่ำแบบนี้ แล้วเดินอาด ๆ เข้าไปหา ยืนซ้อนที่ด้านหลัง สูดกลิ่นกายที่ผิดแผกแปลกแตกต่างจากที่เคยได้สูดดม ก้มลงกระซิบทักทาย           “ดีใจจังเลยฮะ ได้พบกันที่ข้างนอก P.House บ้างแล้ว”           ขิมแขสะดุ้งหน่อยหนึ่งเพราะกำลังวางของที่พื้นตรงเบาะด้านหลัง แล้วเบี่ยงตัวออก ยิ้มเจื่อน ทักกลับตามมารยาท           “ค่ะ คุณพงศ์มาซื้อของเหมือนกันหรือคะ”           วรพงศ์มองเธอด้วยสายตาแปลก ไม่ตอบคำถามของเธอ แล้วถามเธอต่อด้วยถ้อยคำราวกับคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี “เริ่มเบื่อจะเป็นภรรยาแสนดีแล้วใช่ไหมฮะ คิดถึงผมบ้างแล้วใช่ไหม”           ขิมแขมองไปรอบ ๆ ลานจอดแล้วเอ่ยขึ้น           “กลับก่อนนะคะ พอดีออกมานานแล้ว”           ชายร่างท้วมดึงแขนเธอไว้ด้วยเรี่ยวแรงที่ค่อนข้างมาก กล่าวรั้งอยู่ในที “เดี๋ยวสิฮะ”           ก้มมองมือเขาที่วิสาสะจับแขนของเธอ แล้วดึงออกจากการกอบกุมอย่างที่ให้รู้กันไปว่าเขากำลังล้ำเส้นเธออยู่ นาทีนั้นเองที่มีอีกเสียงเอ่ยทักมาจากอีกทาง “จะหาที่ให้มิดชิดกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ นี่รับนวดข้างนอกด้วยหรือคุณ”           ขิมแขมองทางคนพูดที่นอกจากน้ำเสียงจะยียวนแล้วคำพูดยังจงใจป่วนเธออีก           “ฉันไม่เคยรับนวด”           “อ้าว แล้วที่ทำให้ผมเมื่อวันนั้นบนเตียง คลึง ๆ บด ๆ ไม่เรียกว่านวดหรอกหรือ”           นี่มันบ้าอะไรกัน อีกคนทำท่าลวนลามเธอ อีกคนพูดจาไม่ให้เกียรติเธอเลย ขิมแขไม่อยู่คุยอะไรอีกต่อไป           “ขอตัวนะคะ ฉันเสียเวลากับตรงนี้นานเกินไปแล้ว”           พ่อม่ายยังหนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก บอกสวนกลับไป “โอ้โหย...เจ็บปวดจัง เธอคงหมายความว่าเราไม่มีค่าพอกับเวลาของเธอน่ะคุณ”           ขิมแขพาตัวเองกลับขึ้นรถ ปิดประตูแล้วขับออกไปในทันที วรพงศ์ที่เหมือนส่วนเกิน มองตามหลังรถของเธอไปด้วยสายตาเสียดมเสียดาย อุตส่าห์มีโอกาสทั้งทีก็ดันมีคานมาเสียบขวางเอาไว้อีก แล้วตวัดตามองทางนิรันดร์อย่างเอาเรื่อง           คนถูกมองเพยิดหน้า ถามกลับ           “มองอะไรตี๋”           ท่าทางอย่างกับจะชวนทะเลาะ ทำเอาสติของวรพงศ์บินกลับเข้ามาหาดังเดิม ยังไม่ทันได้เอ่ยโต้ตอบอะไรออกไป ก็แว่วเสียงจากนิรันดร์ตามมาอีกประโยค “เมื่อกี๊นี่เข้าข่ายอนาจารนะเราน่ะ” ลูกชายอาม่ามองแล้วก็ได้แต่ก้าวถอยหลังจากมา เพราะขนาดตัวที่ใหญ่กว่า อีกทั้งยังกร่างกว่าตน ดวงตาสีดำก็เอาเรื่องน้อยที่ไหน นิรันดร์เลิกสนใจวรพงศ์ที่จากไปแต่โดยดี หันไปมองตามไฟท้ายรถของหญิงสาวที่หายลับไป ค่อยขึ้นรถของตนเองบ้าง ขับตามไปห่าง ๆ จนเธอเลี้ยวกลับเข้ารีสอร์ตแล้ว ค่อยหักหัวรถกลับบ้านพักของตัวเองในเวลาต่อมา             จอดรถเรียบร้อยแล้วก็พบว่าไม่ไกลจากช่องจอดรถของเธอ มีรถอีกคันจอดอยู่ก่อนหน้า ขิมแขเดินไปดูใกล้ ๆ พบว่าห้องเครื่องยังร้อน ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงเพิ่งมาถึง ได้ยินเสียงถามดังมาจากในบ้านตอนนั้นเอง           “ออกไปไหนมาหรือ”           ปั้นยิ้มจาง ๆ หันไปตอบ “ไปส่งปุริมค่ะ เพื่อนของเจ้าภูเขาน่ะค่ะ”           “คุณต้องออกไปเองเลยหรือ ทำไมไม่ให้คนรถของเราไปส่ง”           “ขี้เกียจไปตามให้วุ่นวายก็เลยออกไปเองดีกว่า”           นายแพทย์พิริยะพยักหน้าเบา ๆ คล้ายว่าเข้าใจ แต่ความจริงไม่อยากไล่บี้แล้วต่างหาก “นี่คุณจะไปชุดนี้หรือ”           “ไปไหนคะ”              “ออกไปกินข้าวกันไง วันนี้วันเกิดคุณ ผมเลื่อนเคสออกไปวันมะรืนหมดเลยนะ เห็นว่าช่วงนี้เราห่างเหินกันจนเกินไป แล้วก็...อยากให้พวกหนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่แถวนี้ได้เห็นด้วย ว่าเรายังเป็นครอบครัวที่อบอุ่นดีอยู่ จะได้ไม่เพ้อฝันมาตามจีบคุณน่ะ มันเสียเวลา”           ขิมแขยิ้มเจื่อน หลังจบคำพูดของนายแพทย์พิริยะ ไม่นานภูผาก็ตามออกมาสมทบแล้วพากันขึ้นรถแวนของนายแพทย์พิริยะ มุ่งหน้ายังร้านอาหารมีชื่อในตัวจังหวัด           “กินให้เยอะหน่อย ลูกผอมไปหรือเปล่าขิม” นายแพทย์พิริยะถามขณะอาหารตักอาหารสุดโปรดใส่จานของบุตรชาย           ยิ้มแล้วว่า “ไม่หรอกค่ะ น้ำหนักยังเท่าเดิม อาจสูงขึ้นมั้งคะ เลยทำให้ดูผอม”           “ถ้าสูงขึ้นแต่น้ำหนักยังเท่าเดิม อย่างนั้นก็ผอมไปแล้วน่ะสิ” บอกอย่างตำหนิเธอแล้ว ก็หันไปคุยกับภูผาต่อ “พ่อติดต่อติวเตอร์คนใหม่เอาไว้ให้แล้ว เดี๋ยวเทอมหน้าภูเตรียมตัวเรียนกับคนนี้เลยนะ”           “แล้วที่ลูกเรียนอยู่ล่ะคะ”           “ของอาจารย์หมวยใช่ไหม ไม่ต้องพาลูกไปแล้วขิม”           นายแพทย์พิริยะบ่นเรื่องผลงานของอาจารย์หมวยว่ามีนักเรียนสอบติดน้อยลง และไม่อยากให้เธอต้องขับรถไปส่งไปรับภูผาด้วยตัวเองในบางครั้ง เวลาที่คนรถไม่ว่าง           “ช่วงนี้ได้ข่าวว่าคุณออกข้างนอกบ่อยด้วยนี่”           มองเขาที่เอาแต่บ่น และสลับตักอาหารให้แต่ภูผาอยู่ตลอดก็ยิ้มจืดจาง พิริยะไม่เคยใส่ใจเธอ และเธอก็ไม่ได้คิดน้อยอกน้อยใจแต่ประการใด เพราะอย่างน้อย ๆ เขาก็ยังดีต่อภูผา           เด็กหนุ่มลอบมองทางบิดาของตัวเอง พอเห็นท่านวางช้อนไม่ตักอาหารให้เธอบ้างเลย ก็ขยับตัวยื่นมือออกไปตักให้           “แม่ขิมครับ กินนี่ดูสิครับ”           เป็นภูผาเสียอีกที่ดูแล เอาใจใส่เธอ ยิ้มด้วยความปลื้มปริ่มบอก “ขอบใจจ๊ะ”           หลังรับประทานอาหารด้วยกันจนเรียบร้อย ค่อยพากันกลับโดยมีชาติชายทำหน้าที่ขับรถแบบเดียวกับเมื่อตอนขาไป เธอส่งภูผาเข้าห้องแล้วก็กลับไปยังห้องของตัวเอง อาบน้ำเรียบร้อยเตรียมเข้านอน ถึงได้ยินเสียงเคาะประตูเบา ๆ เดินไปเปิดประตูก็พบว่านายแพทย์พิริยะยืนกอดอกมองเธออยู่           เขาเดินเบียดแทรกตัวเข้ามาแล้วถึงถาม           “ยังไม่นอนอีกหรือ”           ส่งยิ้มให้เขา แล้วถึงตอบ “กำลังจะนอนแล้วค่ะ”              พิริยะมองหน้าเธอตรง ๆ แล้วถามด้วยคำถามแปลก ๆ ออกมา           “คุณอยู่ได้ยังไง ไม่เหงาหรือขิม”           ขมวดคิ้วจนแทบผูกกันโบว์ ถามเขากลับ “อะไรนะคะ”           เห็นเขาเดินเข้าหาเธอจนยืนอยู่ประจันหน้ากัน แล้วถาม “ผมไม่อยู่แล้วคุณช่วยเหลือตัวเองบ้างไหมขิม ทำแบบไหนบ้าง”           นึกฉุนขึ้นทันที ออกแรงผลักเขาออกให้ห่าง           แต่ก็ห่างได้ไม่มาก ขิมแขรวบสาบชุดนอนทบเข้าหากันจนสนิทแน่น คิดในหัวว่าเธอจะทำอย่างไรกับเขาดี “ตาคู่นี้เอง ที่ทำให้ผมใจร้ายกับคุณไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว” ขิมแขมองเขานิ่ง เมื่อเขาพูดจาแปลก ๆ ออกมาอีก เดินหลบฉากจะไปด้านนอก แต่แล้วกลับถูกนายแพทย์พิริยะดึงรั้งเอาไว้ “อย่าให้เข้าหูผมอีกนะ เรื่องผู้ชายที่คุณกำลังคั่ว กำลังมั่วอยู่น่ะ ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เกรงใจผมเท่าไรนัก แต่อย่างน้อยก็น่าจะนึกถึงลูกบ้าง ตาภูจะรู้สึกแบบไหนถ้าคนเขาเอาไปพูดทั่วทั้งจังหวัดว่าคุณมันสำส่อนไม่เลิก!” “อะไรกันคะ ฉันไม่เคย...” ขิมแขสะบัดมือออก แต่แล้วกลับถูกนายแพทย์พิริยะผลักจนล้มหัวไปกระแทกกับมุมห้องจนขึ้นปูดเล็กน้อย “ถ้ามีข่าวเข้าหูผมอีก รอบนี้ผมไม่ไว้หน้าใครแน่ คุณเองก็ระวังตัวให้ดี อย่าริอ่านทำตัวให้มันร่านจนเกินไปนัก” ขิมแขมองตามหลังเขาที่เดินออกจากห้องไป เห็นตรงไปยังประตูหน้าบ้าน ผลักแล้วจากไป ไม่นานแว่วเสียงเครื่องยนต์ขับจนพ้นบริเวณที่จอด ค่อยถอนใจเบา ๆ บ่นงึมงำอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก เธอนี่หรือร่าน มั่ว คั่วผู้ชายไปทั่ว   นายแพทย์พิริยะพิงเบาะรถพร้อมถอนใจเฮือกแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะแว่วเสียงถามดังมาจากคนขับรถของเขา           “ผมนึกว่าคืนนี้หมอจะนอนที่บ้านเสียอีก”           พิริยะมองออกไปข้างทางที่มืดมิด ทิ้งช่วงเป็นนานสองนาน กว่าจะตอบกลับมาได้           “ไม่มีอารมณ์อยากนอนบ้าน อยากกลับไปที่คอนโดมากกว่า” แล้วมองแผ่นหลังของคนที่ออกปากถามตน ถามเขากลับ “คืนนี้เรามีนัดที่ไหนหรือเปล่าชาติ”           “ผมจะไปมีนัดที่ไหนได้เล่าครับหมอ”           ชาติชายตอบพร้อมส่งสายตามีความหมายผ่านกระจกมองหลังให้นายแพทย์พิริยะ มือเลื่อนเลือกเปิดเพลงบรรเลงเครื่องสายที่นายโปรด เอาใจพิริยะ ได้ยินเพลงอย่างที่ชอบก็ถอนใจยาวปิดตาลง จนถึงที่หมาย ก็ค่อยเดินลงจากรถ นำหน้าลูกน้องชายคนสนิทไปยังห้องชุด ใช้ค่ำคืนนั้นอย่างคุ้มค่า จวบจนรุ่งสางของอีกวัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม