รุ่งขึ้น นิรันดร์ยืนรอที่หน้าห้องบุตรสาว ทันทีที่ประตูเปิดออกมา แม่ตัวดีเจอหน้าพ่อแต่เช้าก็สะดุ้งโหยงตกใจ บ่นคนพ่องึมงำแก้เก้อเรื่องเมื่อคืน รู้ว่าต้องมาดักเพราะเรื่องนี้แน่
“คุณพ่อมายืนทำอะไรตรงนี้คะ ลูกตกใจหมดเลย” แล้วยิ้มแป้นแล้นทำทีเป็นยกมือลูบอกตัวเองเบา ๆ
คนเป็นพ่อพกความโกรธมาเต็มอก เอ่ยออกไปด้วยเสียงเคร่งขรึม “พ่อไว้ใจลูก แล้วทำไมลูกทำแบบนี้กับพ่อ”
“ลูกทำอะไรคะ”
“ลูกออกไปข้างนอกตอนกลางค่ำกลางคืนแบบนั้นได้ยังไง”
“ก็ลูกหิว” แล้วเลี่ยงออกไปยังอีกทาง ใจจริงอยากหลบหน้าบิดามากกว่า
“ของกินในบ้านเราก็มีเยอะแยะ ลูกหิวอะไร พ่อเห็นวัน ๆ ลูกแทบไม่กินอะไรเลย กลัวอ้วนจะตาย”
แม่ตัวดีลอบกลอกตา แล้วตอบกลับอย่างที่นอนคิดคำตอบมาแล้วทั้งคืน “...ของที่ลูกอยากกิน มันไม่มีในบ้านเรานี่คะ”
“ลูกไปกับคนของเราได้นี่ ไปกับพวกนั้นทำไม”
“คุณพ่อไม่มีเหตุผลเลย ลูกไปกับคุณน้า ไปกับภูแล้วยังไงคะ ปลอดภัยดีไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเสียหน่อย”
“เกิดสองแม่ลูกนั่นวางแผน พาลูกสาวของพ่อไปปล้ำ หรือแอบวางยาลูก ถ่ายคลิปทำเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมา ใครจะช่วยลูกของพ่อได้”
ปลายฝนเหลือกตาคิดตามคำของพ่อ เจ้าตัวนึกภาพไม่ออกเลยว่าภูผากับคุณแม่ของเขาจะทำแบบนั้นกับเธอไปทำไม ส่ายหน้า ค้านเสียงแข็งกลับคืน
“ภูไม่มีทางทำหรอกค่ะ ยิ่งคุณน้ายิ่งไม่มีทางทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นแน่”
“แต่ที่พ่อเห็นนั่น มันจับหัวลูกนะปลายฝน แล้วเดี๋ยวพอลับตาพ่อ ลับตาผู้ใหญ่ มันก็อาจจะจับ...”
ฮึ่ย! นิรันดร์พูดไปคิดภาพตามไปด้วย ก็ให้เดือดพล่านในใจในอกราวกับมีคนเอาภูเขาไฟรอปะทุไปฝังอยู่ข้างในนั้น
“ลูกกับภู เราบริสุทธิ์ใจค่ะคุณพ่อ ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นเด็ดขาด มีแต่คุณพ่อนั่นแหละที่คิดแต่เรื่องสกปรกลามกนั่น ไม่อย่างนั้นจะซื้อของแบบเมื่อคืนนี้หรือคะ” ว่าจบพวงแก้มนวลใสของเด็กสาวก็แดงแปร้ดทันที เมื่อภาพที่บิดาซื้อคอนดอมสว่างวาบขึ้นในหัว
นิรันดร์ได้ยินบุตรสาวยอกย้อนเรื่องเมื่อคืน อารมณ์ก็ปรี้ดบ้าง เค้นเสียงรอดไรฟันเรียกชื่อลูก
“ปลายฝน!”
นอกจากโกรธแล้ว คนเป็นพ่อยังอับอายแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัวอีกด้วย ภาพเมื่อคืนตอนที่เขาซื้อเครื่องป้องกันในร้านสะดวกซื้อผุดขึ้นในหัวทันที พยายามข่มกลั้นอารมณ์สารพัดของตนเอง แล้วหมุนตัวหันหลังเดินจากไป ระเบิดคำสั่งเผด็จการออกมา
“ถ้ายังไม่ถูกล่ามโซ่ อย่าให้พ่อเห็นว่าลูกออกไปไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก”
“คุณพ่อ...คุณพ่อทำแบบนี้กับลูกไม่ได้นะคะ นี่มันปีไหนแล้ว ปลายฝนไม่ใช่ลูกทาสนะคะ!”
เสียงใสแจ๋วของบุตรสาวดังก้องไปทั่วทั้งบ้าน
แต่คนเป็นพ่อไม่ฟัง ขู่บุตรสาวจนพอใจแล้ว สั่งกับลูกน้องที่ยืนกุมมือก้มหน้าซีดรอรับคำสั่งอยู่ใกล้ ๆ ตรงนั้นต่อ
“เฝ้าน้องให้ดี ถ้าคราวนี้ปลายฝนไปโผล่ที่ไหนโดยที่ฉันไม่รู้อีกล่ะก็ เตรียมหางานใหม่ยกทีมได้เลย”
นิรันดร์พาตัวเองตรงไปยังรถ ขับออกไปยัง Rehab and Nursing @ P.House ในทันที ไม่น่าจะเรียกว่าขับ ระยะทางไม่ได้ไกล ความเร็วที่ใช้ผสานแรงอารมณ์ฉุนเฉียวพานิรันดร์ไปถึงจุดหมายได้ในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น
“สวัสดีค่ะ”
เทียนหอมกล่าวทักทายคนที่เพิ่งเดินพ้นประตูคลินิกเข้ามา ก่อนจะหน้าเหวอเล็กน้อย เมื่อได้ยินทางนั้นถามกลับด้วยใบหน้าแววตาราวกับมาจับผู้ต้องหาคดีอุกฉกรรจ์อย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียว
“คุณขิมแข อยู่ไหน!”
สาวรุ่นน้องอึกอักหน่อยเดียว พอเห็นสายตาคาดคั้นของพ่อม่ายยังหนุ่มก็ตอบออกไปด้วยท่าทีอึกอักอีกครั้ง
“คุ...คุณขิมแขติดเคสอยู่ค่ะ รอสักครู่นะคะ”
เทียนหอมเห็นตารางนัดแล้วก็จำได้ ว่านิรันดร์ไม่ได้นัดขิมแขเวลานี้ ถ้ามาก่อนเวลาต้องรออีกนานเลยนะ
“คุณนิรันดร์นัดสิบโมงสามสิบนาทีนี่คะ”
“วันนี้ผมไม่ได้ทำกายภาพ ไปบอกเธอ ว่าผมมีธุระต้องการคุยด้วย และจะรอที่สวนข้างนอกนั่น”
“เอ่อ...”
เทียนหอมยังไม่ทันรับปาก นิรันดร์ก็เดินจากไปแล้ว พอคล้อยหลังไม่ถึงนาทีดี ขิมแขเดินพ้นออกมาจากด้านใน เพื่อรับคนไข้คิวต่อจากคนก่อนหน้าเข้าไปรักษาต่อ
เทียนหอมก็รีบเข้าไปขวาง เรียกเธอเสียงตื่น ๆ
“พี่ขิมคะ”
“มีอะไรหอม”
“คุณนิรันดร์ค่ะ คุณเขาบอกว่ามีธุระจะคุยกับพี่ขิมค่ะ ท่าทางเก้วกาดมากค่ะ” เทียนหอมพูดทำนองทีเล่นทีจริง สังเกตสีหน้าของเธอไปพลาง ขิมแขนิ่งคิดเล็กน้อย แล้วพอรู้ว่าเขาคงตั้งใจมาเล่นงานเธอเรื่องเมื่อคืนนี้เป็นแน่
“เดี๋ยวพี่ไป ฝากหอมออฟเคสคุณลุงโตมรด้วยนะ” แล้วเข้าไปพยุงแม่ชีพิกุล เข้าห้องรักษาด้านใน
เทียนหอมมองท่าทีไม่ทุกข์ไม่ร้อนของเธอแล้วก็รับคำ “ได้ค่ะพี่”
ขิมแขดูแลคนไข้จนเรียบร้อยในอีกห้าสิบนาทีต่อมา แล้วนั่งลงเขียนบันทึกรายงานอีกสิบห้านาที ค่อยเดินออกประตูหน้าคลินิก ตรงไปยังสวนที่ว่านั่น
การรอคอยนาน ๆ ไม่ได้ทำให้อารมณ์เดือดพล่านที่พกมาด้วยสงบลงได้เลย ตรงกันข้ามด้วยซ้ำไป เพราะดีกรีความโมโหของนิรันดร์เริ่มทวีสูงมากขึ้นเรื่อย ตามระยะเวลาที่ต้องรอคอย
เขารอคู่กรณีที่กลางสวนนั่นนานร่วมชั่วโมง กว่าที่อีกฝ่ายจะยอมปรากฏกายให้ได้เห็น
หางตาของเขาเห็นแล้วว่าผู้หญิงคนนั้นกำลังเดินตามทางเท้าตรงมาทางนี้ พอเธอหยุดยืนไม่ห่างจากที่เขารอ นิรันดร์ก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่ต้องอารัมภบทอะไรทั้งสิ้น
“ผมขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ห้ามลูกชายของคุณ รวมถึงตัวคุณด้วย เข้ามายุ่มย่ามยุ่งเกี่ยวกับลูกสาวของผมอีกต่อไป ถ้าผมยังเห็น...”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราด แววตาเรือง ๆ นั่น อาจทำขวัญใครต่อใครกระเจิงจนหดหาย แต่ขิมแขก็แค่มองนิ่งเฉย ไม่รู้สึกอะไรด้วย
เธอขัดขึ้นด้วยเสียงไม่ดังนัก
“ถ้าต้องการความร่วมมือคุณน่าจะลดระดับความฉุนเฉียวลงหน่อยนะ เราคุยกันดีดีได้นี่ ไม่เห็นต้องข่มขู่กันแบบนี้เลย”
คิ้วหนากระตุกหน่อยหนึ่ง ดวงตาพญาอินทรีย์หรี่ลง
ขิมแขยิ้มบาง ๆ ถอนใจด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย ติงอีกฝ่ายให้มีสติมากกว่านี้ “คุณน่าจะถามเรื่องราวทั้งหมดก่อน จะได้รู้ว่ามันเป็นมาเป็นไปยังไง ไม่ใช่เห็นอะไรก็คิดเองเออเองคนเดียว แล้วก็เอาแต่อารมณ์เป็นใหญ่ ไม่มีผลดีกับใครเลย แม้แต่ตัวคุณ มีแต่เสียกับเสีย”
“ถ้าคุณเป็นภรรยาของผม แล้วพูดแบบนี้ ผมอาจจะทำอย่างที่แนะนำก็ได้นะ”
ขิมแขไม่สนใจคำพูดยอกย้อน จงใจกวนประสาทของเขา เอ่ยต่อ “ฉันยืนยันคำเดิมนะ ว่าจะอบรมลูกชายของฉันให้ดีที่สุด ส่วนคุณเองก็ควรอบรมลูกสาวของตัวเองให้ดีเช่นกัน ไม่ใช่ออกไปเที่ยวไปดื่มค่ำ ๆ มืด ๆ ปล่อยลูกสาววัยนี้ไว้ตามลำพัง อ้อ และก่อนจะกล่าวหาคนอื่นแบบเลื่อนลอยว่าไปยุ่งกับครอบครัวตัวเอง ช่วยถามหาต้นตอของเรื่องก่อนนะคะ”
สายตาสองคู่มองราวกับจะเชือดและเฉือนกันและกันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ขิมแขถอนใจเบา ๆ อีกครั้ง เป็นเธอเองที่ละสายตาจากเขาก่อน ถามต่อด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแบบเดิม
“หมดธุระของคุณแล้วใช่ไหม”
ไม่มีคำตอบใดใดทั้งสิ้น มีเพียงสายตาดุดันที่จ้องมองเธอ
ขิมแขมองตอบ ไม่มีคำพูดหลุดออกจากของใครสักคน จึงหันหลังเตรียมเดินกลับไปทำงาน ก็พอดีสายตาเหลือบเห็นนายขาว คนรับใช้เก่าแก่คนสนิทของนายแพทย์พิริยะเข้าเสียก่อน ทางนั้นมองเธอกับนิรันดร์อย่างที่ดูรู้ว่ากำลังเก็บข้อมูล เลยเลิกให้ความสนใจกับทางนั้น กลับเข้าคลินิกเพื่อไปดูแลคนไข้ในนั้นต่อ
นิรันดร์พาร่างสูงใหญ่ของตัวเองกลับขึ้นรถ กระชากตัวออกจากที่นั่น พร้อมกับบอกตัวเองว่าจะไม่มีทางเข้ามาเหยียบที่นี่อีก พอดีกับที่มีสายเรียกเข้าจากเดชาพล เขายืนคุยสายอยู่อีกครู่ใหญ่แล้วถึงเดินเข้าบ้านไป
กล้วยอยู่ตรงนั้นพอดี เลยออกคำสั่งกับพี่เลี้ยงของบุตรสาว
“ไปเก็บของของน้องหน่อยกล้วย เราจะกลับกันวันนี้เลย”
“เอ่อ ...คุ...คุณรันดร์ขา คือ…คือว่า”
นิรันดร์ไม่ได้สนใจกล้วย จึงไม่ได้เห็นท่าทีอึกอักแบบนั้น หมุนคอมองหาบุตรสาว เมื่อไม่เห็นก็ถามขึ้นอีกประโยค
“แล้วนี่ปลายฝนไปไหน อยู่ในห้องใช่ไหม ไปพาน้องขึ้นรถก่อน ไป ส่วนเราก็ค่อยเก็บของแล้วตามไปที่รถทีหลัง ให้เวลาสามนาที”
สั่งจบ ก็คิดในหัวอย่างมีโมโห เขาจะไม่กลับมาที่นี่อีก ปลายฝนต้องไปให้ไกลจากสองแม่ลูกคู่นี้
กล้วยอยากร้องไห้ ได้แต่ยืนบีบมือตัวเองแน่น ไม่น่าเลย เธอไม่น่าหลงเชื่อคำพูดของคุณหนูเลย หน้ากลมมนของสาวใช้ซีดแล้วซีดอีก ยิ่งทำให้เหมือนก้อนขนมปังเข้าไปใหญ่
นิรันดร์หันมาก็เจอกล้วยยืนนิ่ง ไม่ขยับทำตามคำสั่งเขาเสียที หรี่ตามอง พร้อมกับถามเสียงขุ่นใส่
“เป็นอะไร”
กล้วยเห็นสายตาของนายที่มองคาดคั้นตนเองแล้ว ได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก บอกออกไปด้วยเสียงสั่น ๆ ราวกับถูกมือยักษ์เขย่าเส้นเสียง
“คึ คือว่า คุณรันดร์ขา...”
“มีอะไร”
กล้วยหน้าเบ้จะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว ยิ่งถูกนายมองก็ยิ่งสั่นหนักมากยิ่งขึ้น กลืนน้ำลายเอื๊อก ไม่รู้จะรายงานนายอย่างไรดี
“คือว่า คุณหนู…”
ยังไม่ทันรายงานอะไร ก็ต้องกระโดดหลบทางให้นายที่เดินไวไวหายไปยังห้องของปลายฝนแล้ว กล้วยได้แต่ร้องไห้ฮือตามหลังเพราะในนั้นไม่มีปลายฝนอยู่ให้พาขึ้นรถกลับบ้าน
ตอนสายก็มาแล้วรอบหนึ่งนี่นา มาแล้วก็ไม่ทำกายภาพบำบัด ออกคำสั่งอย่างนั้นอย่างนี้ให้ขิมแขไปคุยกันที่ข้างนอก
แล้วพอบ่ายก็กลับมาอีก พร้อมกับนึกอยู่ในใจว่าขิมแขนี่เสน่ห์แรงไม่เบา ทั้งหนุ่ม ทั้งไม่หนุ่ม โสดหรือม่าย ลองได้รู้จักกับขิมแขแล้ว รับประกันว่าตกหลุมรักแทบทุกรายไป
เช้าถึง เย็นถึงแบบนี้ กะจะทำคะแนนให้พุ่งพรวดเลยสิท่า สงสัยจะอายไม่กล้าจีบอีกฝ่ายในคลินิก เลยนัดไปจีบข้างนอกนั่น
เอ... แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมท่าทางเขา ดูไม่ค่อยเหมือนคนมาขายขนมจีบเลย เหมือนมาขู่ฆ่ามากกว่า หรือเราจะคิดมากไป ช่วงนี้ดูซีรี่ย์แนวทริลเลอร์บ่อยด้วยสิ พร้อมกับยืนยิ้มอยู่คนเดียว จะว่าไปคุณคนนี้ก็ดูเหมาะสมกับขิมแขไม่น้อยเลย และมันบาปมากไหม หากบนบานให้คุณนิรันดร์เข้ามาแทนที่นายแพทย์พิริยะ
คิดแล้วจั๊กกะจี้หัวใจแทน ยืนหัวเราะคิก ๆ อยู่คนเดียว
เทียนหอมหันไปถามผู้ช่วยคนหนึ่งที่เดินออกมาจากด้านในพอดี “เห็นพี่ขิมไหมคะ”
ผู้ช่วยนิ่งคิดครู่เดียวก็ว่า
“ไปที่ฝ่ายบริหารหรือเปล่าคะคุณหอม”
“อ้อ สงสัยคงคุยเรื่องที่จะไปอบรมแหงเลย”
“คงงั้นมั้งคะ”
สองสาวพยักหน้าให้กัน แล้วเมินมองออกไปด้านนอกเมื่อเห็นว่าคนที่กล่าวถึงกำลังเดินมาจากทางอาคารฝ่ายงานบริหารงานของรีสอร์ตพอดี
ขิมแขเดินฝ่าแดดจากอาคารที่เป็นที่ตั้งของฝ่ายบริหารงาน แล้วก็ถูกร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งดักเอาไว้เสียก่อนระหว่างทาง
ก็ให้หงุดหงิดเล็กน้อย ข้าวกลางวันเธอยังไม่ได้กินเพราะวันนี้คนไข้ค่อนข้างเยอะ เสร็จจากงานในคลินิกก็พอดีงานฝ่ายบริหารโทรศัพท์ตามเธอให้ไปดูเอกสารเบิกจ่ายเงินของพนักงานในคลินิก แล้วเลยอยู่คุยเรื่องขอสวัสดิการอบรมให้เทียนหอม พอคุยจบธุระ ตั้งใจจะพักเสียหน่อย ยังมาเจอคนยืนขวาง ท่าทางหาเรื่องแบบนี้อีก
แหงนหน้ามอง หยีตาเพราะแดดสะท้อนใส่ ก็พบว่าเป็นเจ้าเก่าเจ้าเดิม คราวนี้มีเรื่องอะไรมาโวยวายใส่เธอกับภูผาอีกล่ะ
นิรันดร์มองเธอด้วยแววตาเปี่ยมโทสะ
“คุณกับเจ้าลูกชายตัวดีวางแผนกันใช่ไหม ออกไปรับยายฝนตอนไหน แล้วตอนนี้ลูกสาวของผมอยู่ที่ไหน ไปพาแกมาเดี๋ยวนี้ และขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะ ว่าคราวนี้ผมจะเอาเรื่องพวกคุณให้ถึงที่สุด ไม่ใจดีอีกแน่”
เดี๋ยวนะ! เขานี่หรือใจดี
ขิมแขนึกไม่ออกเลยว่าคนอย่างเขาเคยมีโมเมนต์ไหนที่เรียกว่าใจดีได้บ้าง
ไม่อยากเสียเวลาคุย บอกเนือย ๆ เดินเลี่ยงไปอีกทาง “เลิกหาเรื่องกันเถอะคุณ ฉันไม่ได้ว่างพอจะมายืนเถียงกันแบบนี้หรอกนะ เสียเวลา เสียอารมณ์ที่สุด”
“ลูกสาวของผมหายไป”
เสียงเขาดังตามหลังมา
“ถ้าไม่เป็นการรบกวนเกินไปนัก ช่วยถามลูกชายของคุณทีว่าได้ติดต่อพูดคุยอะไรกับยายฝนบ้าง บางทีลูกคุณอาจรู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”
ขิมแขหยุดก้าวขาในทันที แล้วหันมาทั้งตัว จ้องตาเขาเขม็ง บอกอย่างมั่นใจ
“ภูผาไม่มีทางทำแบบนั้นแน่”
“ถ้าคุณมั่นใจว่าลูกชายตัวเองดีจริง ก็ไปถามให้หน่อยสิ”
ขิมแขมองสบตาอึดใจเดียวก็เปลี่ยนเส้นทาง เดินกลับไปยังบ้านพัก นิรันดร์ไม่ได้ตามไป เขายืนรอที่บริเวณจุดจอดรถ
เข้าบ้านมาได้ ก็ตรงไปยังห้องส่วนตัวของภูผา ยืนเรียกเป็นนานสองนาน ให้ภูผาออกมาคุยกันเรื่องปลายฝน แต่แล้วกลับไม่พบการตอบรับแต่อย่างใด จึงเลือกที่จะไขกุญแจเข้าไปเสียเองแล้วก็ไม่พบเด็กหนุ่มในห้องนั้น
ทำทีเป็นถามกับแม่บ้านก็ไม่มีใครเห็น เลยเดินไปทางห้องที่ใช้บันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดภายในที่พัก จึงพบว่าภูผาสะพายกระเป๋าเป้หายไปทางด้านหลังของรีสอร์ต ตั้งแต่ช่วงสิบโมงกว่า
เข้าไปค้นดูข้าวของในห้องของภูผาพบว่าของยังอยู่ครบถ้วนดี หายไปก็แต่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น จึงเปิดเครื่องเช็คข้อมูลการค้นหาล่าสุดเนื่องจากใช้แอคเคาน์เดียวกันกับเธอ ขึ้นสถานที่พักติดชายทะเลแห่งหนึ่ง ก็คิดไปว่านี่อาจเป็นจุดหมายของภูผาก็เป็นได้
ลองต่อสายหาก็ติดต่อไม่ได้
จึงส่งข้อความสั้น ๆ แค่ให้ติดต่อกลับเท่านั้น
แล้วคว้ากุญแจรถ เดินดุ่ม ๆ ไปยังโรงจอดในทันที
นิรันดร์เมียงมองรอท่าอยู่แล้ว
สงสัยว่าเหตุใดจึงนานนักก็ทำทีเป็นเดินไปยังแถว ๆ ที่ขิมแขหายเข้าไป ก่อนจะพบว่าเธอเดินพรวดพราดออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง
แล้วถึงสังเกตเห็นว่าคนนิ่ง ๆ แบบนั้น แววตาตื่นตระหนกได้อย่างไร แสดงว่ากำลังใจคอไม่ดี แล้วสาวเท้าไว ๆ เดินตามหลัง ถามหาภูผา
“ลูกชายคุณไปอยู่เสียที่ไหนแล้ว รบกวนเรียกออกมาพูดคุยซักถามกันหน่อยเป็นไรไป”
“ตาภูไม่อยู่” เอ่ยขึ้นสั้น ๆ ขายังคงก้าวเดินตรงไปยังโรงรถเบื้องหน้า โดยมีชายร่างสูงใหญ่ ตามหลังไปติด ๆ
นิรันดร์มุ่นคิ้วนิดเดียวถามกลับ “หมายความว่ายังไง ไม่อยู่”
ขิมแขไม่สนใจชายร่างสูงที่มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์อีกแล้ว เพราะเธอเองก็ร้อนใจเช่นกัน จึงเดินลิ่วไปที่รถยนต์ของตัวเอง พร้อมกับต่อสายหาภูผาไปพลาง แต่แล้วก็ติดต่อไม่ได้
ถึงรถ เปิดประตู ขึ้นนั่ง รัดเข็มขัดเรียบร้อย พบว่าประตูอีกฝั่งถูกเปิดออกเช่นกัน จึงเอ่ยถามเสียงเครียด สีหน้าแววตาก็เคร่งเครียดแบบเดียวกับน้ำเสียงที่เอ่ยออกไป
“ใครอนุญาตให้ขึ้นมาบนรถ”
นิรันดร์มองสำรวจครู่เดียว รับรู้ถึงอาการวิตกกังวลพวกนั้น คาดเดาในใจว่าเธอต้องรู้ระแคะระคาย หรือ อาจมีเบาะแสที่จะตามตัวบุตรสาวของเขาเป็นแน่
“คุณรู้” เสียงเข้มกล่าวนำด้วยท่าทีกดดัน “ว่าลูกสาวของผมหายไปไหน...ใช่ไหม”
ลอบสูดลมหายใจเบา ๆ มองตรงไปเบื้องหน้า ตอบปัด
“ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าลูกสาวของคุณไปไหน”
“แล้วถ้าให้ผมเดานะ แสดงว่าตอนนี้ไอ้เจ้าลูกชายของคุณก็คงหายตัวไปด้วยเหมือนกัน”
พ่อม่ายหนุ่มเห็นแววตาหลุกหลิกของอีกฝ่ายแล้วก็กระตุกยิ้มมุมปาก บอกรวบรัด
“ผมจะไปกับคุณด้วย”
ขิมแขไม่เคยหงุดหงิดและสับสนแบบนี้มาก่อน
ก่อนหน้าเขามาป่วนอารมณ์เธอแล้วรอบหนึ่ง พอกลับบ้านยังพบว่าบุตรชายหายตัวไป ก็ยิ่งทำให้เธอหวาดหวั่นและวิตก บวกกับการถูกข่มขู่ซ้ำ ๆ แบบนี้ ยิ่งทำให้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ไปใหญ่ หันไปสบตาเขา เค้นเสียงสั่งกลับไปบ้าง
“ออกไปจากรถของฉัน เดี๋ยวนี้!”
นิรันดร์ถูกใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อเห็นอีกฝ่ายสติแตก รู้ได้ในทันทีว่าตอนนี้ขิมแขควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ ยั่วยุต่อ “ถึงแม้คุณจะไล่ผมลงจากรถไป ผมก็จะขับรถตามคุณอยู่ดี ให้ผมนั่งไปด้วยดีกว่า ผมจะได้รู้ว่าคุณโทรนัดแนะอะไรกับเจ้าลูกชายตัวแสบของคุณบ้าง”
ขิมแขนิ่ง ไม่ใช่ว่าเพราะเธอตั้งสติได้ แต่เพราะว่าเธอกำลังโกรธสุดขีด เห็นอย่างนั้นแล้วนิรันดร์ก็ถือโอกาสยั่วยุต่อ
“ถ้าให้ผมขับรถตามคุณไป ก็ได้นะ แต่ผมจะไม่ไปคนเดียวหรอก เดี๋ยวจะโทรตามพรรคพวกกันไปด้วย ทั้งสารวัตรท้องที่ แล้วก็ว่าที่รองโฆษกของกรมตำรวจ อ้อ ๆ มีนักข่าวช่องดังช่องนั้นด้วย แอดมินเพจ...นั้นอีกคน คราวนี้ลูกชายคุณได้เป็นข่าวใหญ่แน่ นี่ พ่อเขารู้เรื่องหรือยัง ที่ลูกชายคนเดียวของเขาพาลูกสาวผมไปเสียผู้เสียคนน่ะ ท่าทางพ่อเขาเข้มงวดไม่น้อยนะผมว่า”
ได้ยินคำขู่พร้อมแววตาเป็นต่อที่เขามองมา ก็นึกชังคนตรงหน้าขึ้นจับใจ
ขิมแขเค้นเสียงบอก “ได้”
แล้วกระชากรถออกตัวทันที