นับว่าครั้งนี้ ความกังวลใจที่จู่ ๆ ภูผามาหายตัวไป ทำเธอสติแตก อกใจของเธอร้อนรนไปหมด ไม่รู้ว่าภูผาหายไปพร้อมกับปลายฝนหรือไม่ แล้วถ้าไปด้วยกันจริง ๆ จะใช่ปลายทางที่เธอกำลังขับรถมุ่งหน้าอยู่หรือเปล่า
คราวก่อนก็มีเรื่องมีราวกลับมารอบหนึ่งแล้ว หากคราวนี้เกิดไปสะดุดเล็บขบ เหยียบตาปลาใครเข้าอีก จะทำอย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด
“คุณรู้ใช่ไหมว่าเจ้าลูกชายของคุณลักพาตัวลูกสาวของผมไปที่ไหน”
แว่วเสียงถามดังมาจากคนด้านข้าง ก็ยิ่งกวนตะกอนให้ขุ่นข้นกว่าเดิม ขิมแขที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ เลยรวนไปถึงการขับขี่รถยนต์ พานให้เสียสมาธิ เสียมารยาทในการใช้ถนนหลายต่อหลายครั้ง ทั้งหมดนี่ก็เพราะเขาโดยแท้
เสียงที่โต้กลับไป จึงค่อนข้างชัดเจน ว่าเธอเองก็อารมณ์กำลังขึ้นเช่นเดียวกัน “ภูผาไม่ได้ลักพาตัวใครทั้งนั้น ฉันว่านะ ลูกสาวคุณนั่นแหละที่ล่อลวงลูกชายของฉันไป”
“ปากคุณนี่ก็ไม่ธรรมดาเหมือนกันนะ แล้วทำมาแอ๊บเป็นคุณแม่แสนดีอยู่ได้ตั้งนาน”
“ที่เห็นนั่นไม่ได้แอ๊บ ฉันดีจริง ๆ แต่ก็จะดีกับคนที่ดีกับฉันเท่านั้น”
“จะบอกว่าผมไม่ดีกับคุณ?”
“ยังต้องถามอีกหรือไง”
ย้อนเขากลับ กระทืบเท้าลงบนคันเร่ง แซงรถตรงหน้าอย่างต้องการระบายอารมณ์ที่คลั่งอยู่ในใจ
“นี่ ๆ ขับรถให้มันช้ากว่านี้หน่อย”
นิรันดร์แกล้งว่าทำท่าขยับหลังพิงติดเบาะแบบกลัว ๆ แต่เธอกลับไม่ได้สนใจเขายังคงประคองรถมุ่งหน้าพร้อมกับความคิดวุ่นวายในหัว
ผ่านไปเป็นครู่ใหญ่ นิรันดร์เห็นว่าอาการกระวนกระวายใจของเธอยังไม่ลดระดับลง เขาเบือนหน้าไปที่ถนน เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ไม่ได้ยั่วยุเธอแบบเมื่อตอนแรก
“ถ้าไม่ไหวก็จอดเถอะ ผมขับเอง”
ขิมแขไม่ตอบเขา ไม่คุยด้วยอีก จนนึกอะไรได้ ก็ค่อยหักรถแทบจะเป็นดริฟต์เข้าไปในสถานีบริการน้ำมันที่อยู่ตรงหน้านั่น
นิรันดร์ถามเสียงงุนงง “ลูกคุณพาลูกผมมาที่นี่หรือ”
“ฉันจะเข้าห้องน้ำ” บอกจบ จอดรถเข้าช่องว่างหน้าห้องน้ำพอดิบพอดี แล้วปลดเข็มขัดนิรภัยออก
“นี่แหละ ข้อเสียของผู้หญิง ฉี่ข้างทางไม่ได้”
ขิมแขถามเขาเสียงห้วน “คุณจะลงไหม”
“ไม่ดีกว่า”
ได้คำตอบจากเขาแล้ว เปิดประตูลงไปทันที แล้วเดินเลี้ยวเข้าประตูห้องน้ำมา จนพ้นสายตาของเขา ค่อยล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมากดต่อสายหาเทียนหอม แต่ทางนั้นก็ไม่ยอมรับสายของเธอ สุดท้ายเลยส่งข้อความ บอกว่าจะพาภูผาไปพักผ่อนสักสองสามวัน แล้วค่อยอธิบายในส่วนที่เหลือเมื่อติดต่อกันได้แล้ว
นิรันดร์มองตามแผ่นหลังของเธอที่ลับหายเข้าห้องน้ำผู้หญิงไป ค่อยกระตุกยิ้มหน่อยหนึ่ง ก่อนยกโทรศัพท์ขึ้นต่อสาย คุยโต้ตอบกับทางนั้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เมื่อปลายสายรายงานกลับมาว่าตอนนี้พบเบาะแสของปลายฝนแล้ว จึงสั่งการกลับไป
“ยังไม่ต้องทำอะไร แค่อย่าให้คลายสายตาก็พอ”
พอดีเห็นคนที่บอกจะเข้าห้องน้ำกลับมาที่รถ จึงตัดสายจากคนของตนเอง ขิมแขนิ่งกว่าตอนขาลงไปห้องน้ำ พอปิดประตูรถได้ ก็เห็นเขาแบมือออก มองมือเขา ตวัดตามอง ถามเสียงแข็ง
“อะไร”
“เอากุญแจรถมา ผมขับเอง”
“ไม่ต้อง รถฉัน ฉันขับเอง”
“อย่าทำอวดเก่งหน่อยเลย ขืนคุณขับรถในสภาพนี้ตลอดทางนะ คงไม่ถึงจุดหมายแน่ ๆ”
“ฉันไม่ได้เอามีดจี้คอให้คุณมาด้วยนี่ ถ้ากลัวไปไม่ถึงก็ลงไปขับรถของคุณเองสิ กระโดดตามฉันมาทำไม”
“เรื่องอะไรจะลง ผมไม่ปล่อยให้คุณโทรนัดแนะไอ้เจ้าลูกชายตัวดีของคุณเด็ดขาด”
จะนัดแนะอะไรกันได้
แค่โทรหายังโทรไม่ติดเลย ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน
เลิกโต้เถียงกับเขา ในใจกำลังคิดว่าจะกำจัดผู้ชายกวนประสาท เผด็จการและบ้าอำนาจอย่างไรดี
ส่วนเธอจะออกตามหาเด็กสองคนนั่นเอง แต่พอเหลือบตามอง เห็นเขากอดอก จ้องเธอนิ่ง ก็รู้ว่าแบบนี้คงสลัดทิ้งลำบาก ถอดใจ เข้าเกียร์ ถอยออกจากช่อง พารถกลับเข้าสู่ถนนอีกครั้ง
ออกมาจากปั๊มน้ำมันโดยที่ต่างคนก็ต่างจมอยู่ในความคิดด้วยกันทั้งคู่ ราวชั่วโมงเศษเห็นจะได้ ฟ้าที่ดูมัวหม่น ก่อตัวกลั่นเป็นสายฝนเทลงมาอย่างหนัก
ขิมแขที่กำลังคิดอะไรเหม่อลอยอยู่ตกใจจนกระแทกเท้ากับคันเร่ง ส่งผลให้รถกระชากตัวพุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างเร็ว ดีที่ถนนวินาทีนั้นค่อนข้างโล่ง จึงไม่เป็นอันตรายอะไร
ตั้งสติได้ เธอถอนเท้าจากคันเร่ง แล้วพารถย้ายเลนมาที่ฝั่งซ้ายสุด กลั้นใจฝืนขับรถต่อ แต่ยิ่งฝนลงเม็ดหนัก เหงื่อเย็นก็ยิ่งซึมออกจากไรผม จนผุดพรายรอบกรอบใบหน้าของเธอ ไม่แพ้เม็ดฝนด้านนอกเลยสักนิด
หญิงสาวรับรู้ได้ถึงอาการอึดอัดอีกครั้ง
มือสองข้างเย็นจัด ชื้นจนเปียกชุ่ม เธอเริ่มหายใจไม่ออกและเหมือนสติจะดับวูบไป จึงฝืนใจหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปจอดข้างทางเมื่อเห็นมีเวิ้งเล็ก ๆ ที่ตรงหน้า
นิรันดร์เองก็สังเกตเห็นความผิดปกติของอีกฝ่าย หลังจากที่เธอหยุดความเร็วของรถแล้ว เขาเปิดปากกำลังจะถาม แต่มีเสียงเคาะกระจกจากคนด้านนอกขัดเข้ามาเสียก่อน หันไปมองฝ่าเม็ดฝนเห็นเป็นชายรูปร่างผอมสูงในชุดกันฝน เป็นคนยืนเคาะกระจก
ทางนั้นโบก บอกเป็นสัญญาณจากด้านนอกว่าให้ขับเลยเข้าไปด้านในหน่อย เพราะตอนนี้เธอจอดขวางทางเข้าออกอยู่
ขิมแขสูดลมหายใจจนลึกเสียดปอด ขยำกำมือตัวเองแน่นๆแล้วคลายออกทำซ้ำ ๆ อยู่เกือบสิบที คิดว่าพอตั้งสติตัวเองได้แล้ว ก็เข้าเกียร์ พารถย่องเข้าไปตามที่มีคนโบกนำเรื่อย ๆ จนจอดในช่องจอดเรียบร้อย คนเดิมที่กางร่มรอด้านใน เข้ามาเคาะกระจกเรียกอีกทีหนึ่ง แต่เป็นทางฝั่งของนิรันดร์
เขาลดกระจกลงหน่อยหนึ่งให้พอได้ยิน สนทนาโต้ตอบกันได้ คนด้านนอกตะโกนถามแทรกเสียงฝนเข้ามา
“เปิดห้องนะครับคุณพี่ กี่ชั่วโมงดีครับ”
นิรันดร์หลุดยิ้มในทันที ส่วนเธอ ได้ยินคำถามแบบนั้นก็ออกร้อนวาบไปทั้งใบหน้า หันไปมองที่ทางเข้ามา ก็เห็นไม่ชัดนักว่าป้ายเขียนเอาไว้ว่าอะไรกันแน่ แต่ก็พอจะเดาได้ล่ะ ว่าเป็นในโรงแรมข้างทาง
นิรันดร์ไม่ได้คุยอะไรกับเธอ เขาเปิดประตูลงไปเจรจากับพนักงานของโรงแรมแห่งนั้น แว่วเสียงหัวเราะของใครไม่ทราบจากด้านนอก พนักงานมองเข้ามาในรถยิ้ม ๆ พร้อมกับย้ำเวลาที่เปิดห้องพัก
“สามชั่วโมงนะครับคุณพี่”
นิรันดร์ควักกระเป๋าออกมาเปิดออก ส่งธนบัตรให้ แล้วโบกมือไล่ พอทางนั้นไปแล้ว เขาค่อมตัวลงมองรอดเข้ามาในรถ เห็นเธอยังนั่งนิ่งอยู่ เลยเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ บอกด้วยเสียงที่หากฟังให้ดีก็จะพบว่าไม่ได้ดุดัน แข็งกร้าวเท่าไร เกือบ ๆ จะนุ่มนวลเสียด้วยซ้ำ
“ลงมาล้างหน้าก่อนคุณ”
ขิมแขได้ยินเขาแล้ว แต่ที่ยังไม่ยอมขยับตัว เพราะรู้สึกเหมือนถูกแช่แข็ง ตอนนี้มันเย็นราวกับว่าเลือดในร่างกายไม่ยอมไหลเวียนอย่างไรอย่างนั้น
สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ออกยาว ๆ เริ่มขยับที่ปลายนิ้วก่อน จึงค่อย ๆ เคลื่อนไปยังข้อต่อส่วนที่ถัดเข้ามา แล้วออกแรงยกขาเหวี่ยงออกจากตัวรถ เกาะขอบประตูดันตัวยืดให้ตรง โดยมีชายร่างสูงใหญ่กว่าเป็นเท่าตัวเข้ามาช่วยจับแขน กึ่งประคองพาเข้าไปด้านใน
แปลกที่เธอไม่ได้รู้สึกรังเกียจสัมผัสจากเขา
เรี่ยวแรงที่นำพานั่นมั่นคงไม่จาบจ้วงแม้แต่น้อย ทำให้ขาของเธอที่สั่นเทาเบา ๆ เหมือนกับจะล้มพับลงได้ทุกเมื่อ ค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับ
ขิมแขถูกเขาพาเข้าห้องมาแล้ว ก็เลือกลงนั่งที่เก้าอี้บุนวมตัวที่ใกล้ประตูที่สุด นิ่งประเดี๋ยวเดียว ไม่ทันได้มองว่าเขาทำอะไร ก็ถึงได้เห็นว่ามีแก้วน้ำยื่นมาให้ตรงหน้า พร้อมผ้าเย็นอีกหนึ่งผืน
“นั่งพักก่อนคุณ จิบน้ำ แล้วก็เช็ดหน้าเสียหน่อย จะได้ดีขึ้น”
เธอรับแก้วจากเขา และผ้าเย็นตามลำดับ
แล้วควบคุมลมหายใจของตัวเอง จนเห็นว่าคลายอาการแปลก ๆ ลงมากแล้ว ค่อยจัดแจงคลี่ผ้าออกเช็ดทั่วทั้งใบหน้า จนรู้สึกว่าค่อยยังชั่วขึ้นมาได้อีกหน่อย เสียงฝนตกหนักกระทบหลังคาดังพร้อมเสียงคำรามของฟ้า ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเปรี้ยงกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ ทำเธอนิ่งไปอีกครั้ง
นิรันดร์มองท่าทีเหมือนกับกลัวจนช็อคแบบนั้นแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ว่าเธอเป็นอะไรนักหนากับแค่ฝนตกฟ้าร้องเท่านั้น พ่อม่ายยังหนุ่มขยับเข้าไปนั่งไม่ใกล้ไม่ไกลจากเธอ แล้วเอ่ยปากถามอย่างต้องการชวนเธอคุย หวังผลให้เลิกจดจ่อกับฟ้าฝนเสียที
“เด็ก ๆ เคยมีใครเล่านิทานให้ฟังบ้างไหมคุณ”
พอเห็นสายตาของเธอที่มองค้อนกลับมา นิรันดร์กระตุกยิ้มมุมปากหน่อยหนึ่ง ถามต่อ
“เคยได้ยินตำนานฟ้าร้องไหม”
เธอได้ยินคำถามของเขาแล้ว แต่เพราะยังหวั่นหวาดกับเสียงฟ้าเสียงฝน เลยไม่ได้หันไปมอง ได้ยินเขาเอ่ยขึ้นมาอีกประโยค
“จริง ๆ แล้ว มันเป็นการถ่ายเทประจุไฟฟ้าบนก้อนเมฆเท่านั้นเอง คุณรู้ใช่ไหม จบสายพยาบาลมานี่ มีความรู้ทางวิทย์บ้างล่ะน่า…”
เมินหน้าหนี รู้ว่าเขาจงใจถามยั่วแหย่ตนเองอยู่
พอเสียงฟ้าคำรามดังขึ้นอีกครั้ง ก็อดสะดุ้งตกใจไม่ได้
พลันนั้นเองที่เสียงเข้มของเขาคำรามกลบเสียงฟ้า ทุ้ม ละมุน และอุ่นในหัวใจอยู่ลึก ๆ
“อสุราเห็นแก้วแววไว
ซึ่งนางเมขลาโยนเล่น”
จบท่อนนั้นแล้ว อดเหลือบตามองที่เขาไม่ได้ นิรันดร์กล่าวบทประพันธ์นั้นอย่างคล่องปากอยู่ไม่น้อย ยิ้มหน่อยหนึ่งให้กับความคิดที่แวบผ่านเข้ามาในหัว คนอย่างเขาไม่น่ามีมุมแบบนี้เลย
“ยิ่งเห็นยิ่งชอบอัชฌาสัย
ยิ่งพิศยิ่งติดต้องใจ
จะใคร่ได้ดวงจินดา”
ท่อนนั้น ‘ยิ่งพิศยิ่งติดต้องใจ’ เธอเผลอสบตากับเขาเข้าพอดีก็ให้สะท้านขึ้นจนต้องเบือนสายตาไปทางมุมอื่นของห้องแทน พอเห็นว่าตรงนั้นเป็นเตียงนอนทรงกลม ก็ยิ่งรู้สึกว่าบรรยากาศแย่ลง
เม้มปากเบา ๆ นิ่งฟังเขาร่ายบทต่อจากนั้น
“หมายเขม้นเข่นเขี้ยวจะราญรอน
กรกุมขวานเพชรเงื้อง่า
เผ่นโผนโจนไปในเมฆา
ไล่นางเมขลาด้วยฤทธีฯ
เมื่อนั้น นวลนางเมขลามารศรี
เลี้ยวล่อรามสูรอสุรี กรโยนมณีจินดา
ทำทีประหนึ่งจะให้แก้ว กลอกแสงพราวแพรวบนหัตถา”
ถึงท่อนนี้แล้ว จู่ ๆ คนไม่น่าเป็นกวีได้ ก็เงียบเสียงไป ไม่ยอมเอื้อนเอ่ยท่อนที่เหลือออกมาให้จบ
ขิมแขที่มองทางอื่น อมยิ้มน้อย ๆ มือของเธอเขี่ยผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กในมืออย่างไม่รู้จะทำอะไร ว่าต่อเสียเองจนจบ
“ครั้นรามสูรไล่เลี้ยวมา กัลยารำล่ออสุรี
นางแกล้งเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน เวียนไปตามจักราศี
มือหนึ่งชูแก้วมณี ทำทีเยาะเย้ยอสุราฯ”
(จากบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายลงมากทีเดียว หลังต่อบทพระราชนิพนธ์เรื่องเมขลากับรามสูรจนจบบทแล้ว
“ทำไมไม่ต่อให้จบล่ะคุณ หรือว่าอ่านลายมือตัวเองไม่ออก”
เมื่อไม่ได้ยินคำตอบใด ๆ เลยเงยหน้าขึ้นมองเขา พบว่าดวงตาทรงอำนาจไม่ต่างจากพญาอินทรีย์จ้องเธอนิ่ง สายตาคมกริบของเขาคล้ายกับครุ่นคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่ในหัว
ขิมแขยิ้มเก้อ แล้วมองไปทางอื่นแทน
นึกอยู่ในใจ ว่าเป็นอะไรขึ้นมาอีกหนอตาคนนี้ ปกติแววตาของเขาก็ดูแปลกอยู่แล้วเวลามองเธอ แต่ตอนนี้สิดูแปลกไปใหญ่ และมันก็ทำให้เธออึดอัด ประหม่ามากยิ่งขึ้น จนอาการที่เกิดเมื่อก่อนหน้า แทบไม่มีผลอะไรกับเธอแล้วในนาทีนี้
จู่ ๆ เขาก็ทำลายความเงียบขึ้น
“ภรรยาของผม เธอกลัวเสียงฟ้าร้องเหมือนกัน แต่ไม่หนักเท่าคุณ” นิรันดร์บอกจบ สายตาจับจ้องที่เธอนิ่งไม่ไปไหน แล้วบอกต่อ “พอผมท่องบทประพันธ์บทนี้ให้เธอฟังทีไร เธอก็จะ…”
นิรันดร์เล่ามาถึงตรงนี้ก็หยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้แค่นั้น นึกถึงประโยคที่เธอเอ่ยกับเขาเมื่อครู่ เพราะความหมายมันคล้ายกับที่ปิยมาภรณ์เคยเอ่ยกับเขา
‘คุณอ่านลายมือตัวเองไม่ออกอีกแล้วใช่ไหมคะ’
ปิยมาภรณ์มักล้อเลียนเขาเรื่องลายมือเสมอ
เดิมทีเขาไม่ใช่พวกกวี หรือประเภทต้องพูดคำคม หรือท่องกลอนจีบสาว แต่พอรู้ว่าเธอชอบ ก็เลยต้องแอบจดใส่กระดาษเอาไว้อ่านท่องให้เธอฟัง แรก ๆ เขาก็ติด ๆ ขัด ๆ เพราะอ่านลายมือตัวเองไม่ออก พอเธอรู้เรื่องนี้เข้าก็เอามาแซวเขาอยู่เรื่อย
นิรันดร์ละสายตาจากเธอในที่สุด บอกตัวเองว่า อาจเป็นได้ที่ความคิดความอ่านของคนจะคล้ายคลึงกัน พยายามไม่เอาใจไปคิดฝักใฝ่วกวนกับเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีก
“หรือคะ”
ขิมแขถามเขาสั้น ๆ กระดากขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็รู้สึกว่าบรรยากาศในห้องชักแปลกไปทุกทีแล้ว เลยขยับตัวลุกขึ้นยืน เอ่ยชวน
“ฉันจะเข้าห้องน้ำหน่อย ข้างนอกฝนคงหยุดตกแล้ว เราจะได้เดินทางกันต่อ”
แล้วผลุนผลัน หลบเข้าไปยังห้องน้ำ ปิดประตูล็อค ยืนพิงผนังด้านในนั้นนิ่ง หายใจเข้าลึก ออกยาว ๆ เพื่อไล่อาการผิดปกติ และรักษาระดับการเต้นของหัวใจที่ระรัวเร็วให้กลับมาเป็นปกติแบบเดิม
ไม่ดีเลยกับแววตาแบบนั้นของเขา
ไม่ดีเลยที่ได้ยินคำพูดคำจาราวกับอยากปลอบโยนเธอแบบนั้น เพราะมันทำให้หัวใจของเธออุ่นซ่านขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็น
ขิมแขเปิดก๊อกน้ำจนสุด ปล่อยน้ำไหลผ่าน ราวกับจะใช้มันขับไล่อาการแปลกประหลาดของตนเองให้ลงท่อน้ำทิ้งไป
เงยหน้ามองตัวเองที่สะท้อนกระจกเงาออกมา สำรวจดูว่ามีความน่าสมเพชในนั้นมากนักหรือไง ทำไมคนอย่างนิรันดร์ถึงมาทำท่าสงสารเห็นใจเธอ เขาเป็นอย่างเก่าที่เคยเป็นไม่ได้หรือ แบบนี้มันทำให้หัวใจของเธอทำงานหนักจนควบคุมแทบจะไม่ได้อยู่แล้ว พยายามดึงความสงบเยือกเย็นที่เคยมี กลับเข้าหาตัวดังเดิม
นิรันดร์มองประตูห้องน้ำที่ปิดลง ยืนมองนิ่งเป็นนาที ค่อยขยับตัวลุกขึ้น เดินออกไปด้านนอก บอกตัวเองว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องค้นหาเพิ่มในตัวผู้หญิงคนนั้น
ผ่อนลมหายใจให้เป็นปกติ เปิดประตูออกไปแล้วก็พบว่าฝนซาเม็ดลงกว่าเดิม นิ่งคิดอะไรพักเดียว ไม่เห็นขิมแขออกมาเสียทีก็ว่าจะเข้าไปตามเสียหน่อย แตะลูกบิดประตูเปิดออก ก็พบร่างเล็กเย้ายวนเต็มตึงไปทุกสัดส่วนผวาตามแรงกระชากของประตู ตกเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขาเสียแล้ว
นิรันดร์โอบเธอไว้ไม่แน่นนัก แต่กระชับมากพอที่จะไม่ให้เธอหลุดร่วงลงไปกองอยู่ที่พื้นได้
ไฟเหลืองนวล บรรยากาศชุ่มชื้นเย็นสบายทางด้านนอก รวมไปถึงความรู้สึกดึงดูดระหว่างกัน ทำให้พ่อม่ายหัวใจตายด้านสั่นสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็น
เธอเองก็ใจเต้นแรงขึ้นกว่าเมื่อครู่ ท้องไส้ปั่นป่วน บิดมวนไปมาเหมือนมีคลื่นยักษ์ก่อตัวข้างในนั้น ยิ่งจ้องตาเขานานเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสะกดเอาไว้นานเท่านั้น เลือดในตัวราวกับถูกแช่แข็ง และก่อนที่ทุกอย่างจะเกินเลยจนคุมไม่อยู่ ก็เป็นเธอเองที่ผลักอกของเขาให้พ้นจากตัวออกไปเบา ๆ
“ผมขอโทษ”
นิรันดร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง พร้อมกับปล่อยร่างของเธอด้วยความเสียดายอยู่ในใจลึก ๆ อาการเขินอายที่ถูกข่มกดเอาไว้ภายใต้ดวงตาคู่สวย ทำนิรันดร์ใจสั่นระรัว ร่ำ ๆ อยากดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้ มากกว่าจะยอมปล่อยเธอไป
“เรา ออกเดินทางต่อดีกว่าค่ะ”
ได้ยินแบบนั้นแล้ว จึงเดินตามกันไปที่รถ ขิมแขยังไม่ได้เปิดประตูขึ้นไปนั่ง เธอยืนรอเขาอยู่ตรงทางฝั่งคนขับ พอนิรันดร์ตามมา ก็ยื่นกุญแจรถส่งให้
“รบกวนคุณ ขับรถต่อทีได้ไหม”
ไม่ได้ยินเขาเอ่ยว่าอะไรตอบกลับมา แต่อากัปกิริยาดูอ่อนลง ไม่แข็งกร้าว ยั่วยวนกวนประสาทแบบเดิม
นิรันดร์ยื่นมือออกไปรับกุญแจจากเธอ แล้วเดินอ้อมไปส่งให้ขึ้นนั่งก่อนที่อีกฝั่ง ค่อยวกกลับมาทางฝั่งของเขา สตาร์ทรถพาออกจากโรงแรมแห่งนั้น มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ในหัวใจด้วยกันทั้งคู่