ความตั้งใจที่เกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึกมีอันต้องล้มเลิก กล่องปฐมพยาบาลขนาดพกพาในมือถูกลดลงข้างลำตัว ว่าที่สถาปนิกหนุ่มหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าบ้าน พร้อมๆ กับหยุดความห่วงใยซึ่งซ่อนเร้นอยู่ในส่วนลึกเพียงเท่านั้น แล้วเฝ้าลอบมองความเป็นไปของคนสองคนซึ่งจับมือกอบกุมกันเกินพอดีภายในบ้านหลังเล็ก เห็นคนสองคนนั่งชิดเอาหัวเข่าติดกัน ในสายตาคนอคตไม่ยอมคิดเป็นอื่น นอกจากความห่วงใยที่ไม่สมควร
กับอีแค่แผลเศษแก้วบาด จำเป็นต้องออเซาะกันถึงขนาดนั้นเชียวหรือคนเจ็บไม่ดูแลตัวเอง คงเพราะจงใจให้ใครอีกคนเป็นห่วงงั้นสิ? ซ้ำยังเป็นที่รโหฐานแบบนี้ด้วยแล้ว คงทำอะไรได้สะดวกมากขึ้น จะออดจะอ้อนอย่างไรก็ทำได้เต็มที่ ทีกับเขาล่ะเก็บซ่อนสีหน้าไว้ดีนัก ถูลู่ถูกังกันตั้งนาน ไม่ยักกะทำสำออยใส่แบบนี้ คงเพราะอยากเอามาทำกับพี่ภพมากกว่า
...ร้ายนัก
“ถูกแก้วบาดตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมไม่รีบรักษา ดูซิ แผลเปิดลึกสกปรกไปหมดแล้ว” เจ้าของโรงแรมบ่นพลางก้มมองสำรวจบาดแผลเหวอะหวะที่แรกเริ่มไม่ได้เปิดกว้างขนาดนี้ “เป็นหมอจริงป่ะเนี่ย ทำไมปล่อยให้เป็นถึงขนาดนี้”
ธนภพตำหนิให้คนฟังได้สำนึก ภาคภูมิทำปากยื่น กระตุกมือชักออกเป็นบางครั้ง หลังถูกอีกฝ่ายเริ่มทำความสะอาดแผลให้
“พอดีผมทำกรอบรูปพี่ของขวัญตกแตก ตอนเก็บกวาดเลยถูกเศษแก้วบาดเข้าให้ ผม...ขอโทษนะครับ ที่ทำของสำคัญของพี่เสียหาย”
ธนภพส่ายหน้า พรูลมหายใจ
“พี่ไม่โกรธเลย ก็แค่สิ่งของ แต่จะโกรธมากกว่าถ้าหมอไม่ดูแลตัวเองให้ดีจนเป็นอะไรขึ้นมา ที่นี่ไม่มีโรงพยาบาล มีแต่สถานีอนามัยที่อยู่ไกลมาก การบริหารก็ไม่ได้ครบครันเต็มร้อย ถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉินร้ายแรงขึ้นมาจริงๆ เราต้องลงเรือไปหาหมอที่ฝั่งนู่น”
“ผมขอโทษครับ” หมอหนุ่มตัวลีบสลดลงไปเยอะ ไม่คิดว่าแผลแก้วบาด แค่นี้ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ย้อนนึกทบทวนมันก็จริงอย่างที่รุ่นพี่พูด ที่นี่คือเกาะ จะหาความเจริญสมบูรณ์คงไม่ได้ เกิดอะไรขึ้นมา บางทีอาจสายเกินแก้...
ธนภพหลุดขำเมื่อเหลือบเห็นหน้าเจื่อนๆ ของภาคภูมิ ที่พูดไม่ใช่ดุด่า แต่เพราะต้องการให้ตระหนักแค่นั้น เขาจับมืออีกฝ่ายบนตักตัวเองไว้เบาๆ ก่อนจะค่อยๆ ใช้สำลีชุบน้ำเกลือเช็ดบริเวณรอบบาดแผล ทำตามขั้นตอนรักษาให้อย่างชำนาญคล่องแคล่วอยู่เงียบๆ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าตลอดช่วงเวลานั้น ความตั้งใจจะตรึงสายตาและดึงความสนใจจากอีกฝ่ายไปจนหมด
ภาคภูมิพินิจมองธนภพด้วยความรู้สึกที่แปลกใหม่...
ซึ้งใจ? ประทับใจ? ถูกใจ?
“เจอทานตะวันครั้งแรกเป็นไงบ้าง?”
ความเงียบถูกทำลายลงในที่สุด เป็นเหตุให้คนลอบมองเลือนสายตาไปทางอื่น ความคิดที่ไม่ค่อยเข้าท่าถูกจบตัดลงเดี๋ยวนั้น
“แกแทบจะเป็นปกติครับ จะมีก็แค่เขายังคิดถึงแม่ตลอดเวลา จนบางทีก็ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก จัดการความคิดตัวเองไม่ได้”
“ของขวัญเลี้ยงทานตะวันมากับมือ ตัวติดกันตลอด แทบจะทุกเวลาเลยด้วยซ้ำ ของขวัญเป็นผู้หญิงที่ปรับตัวให้เข้ากับอะไรได้ง่าย เป็นผู้หญิงสบายๆ ลุยๆ เลยมัดใจลูกชายคนเดียวของเราได้ดีที่สุด แตกต่างจากพี่ที่ทำแต่งาน ถามว่าเลี้ยงลูกเป็นไหมก็ตอบได้เลยว่าไม่” พูดมาถึงตรงนี้ ธนภพก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับหยิบพลาสเตอร์มาแกะออกจากซอง เขาเป็นผู้ชายที่เรียกว่าผู้ชายทั้งแท่ง ไม่มีอ่อน มีแต่แข็ง กว่าจะปรับตัวให้เป็นหัวหน้าครอบครัวได้ ก็เล่นเอากินเวลาไปหลายปี เรื่องลูก ก็มีของขวัญนี่แหละที่มาช่วยเติมเต็มและซัพพอร์ตให้ ลำพังเขาคนเดียว เห็นทีทานตะวันคงได้เติบโตมาผิดแปลกจากวิถีเด็กธรรมดาทั่วไปแน่ๆ
“ไม่มีใครเลี้ยงลูกเป็นตั้งแต่เกิดหรอกครับ ผมเข้าใจ เขาเป็นลูกคนแรกของพี่ จะเลี้ยงไม่เป็นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พี่ภพโชคดีนะที่มีพี่ขวัญช่วยอีกแรง เลยทำให้ทานตะวันเติบโตมาเป็นคนอ่อนโยนได้ขนาดนี้ เพราะถูกเลี้ยงมากับมือแม่ ทานตะวันก็ต้องซึมซับและรักใคร่เธอเป็นธรรมดา พอสูญเสียเธอไป เขาคงกลัว ไขว้เขวและสับสน” คนเป็นหมอเห็นใจจนแสดงออกผ่านท่าทาง เผลอไผลเอื้อมมือไปทาบทับหลังมืออีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน “จากนี้ต่อไป พี่ภพควรเป็นเสาหลักยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับทานตะวันนะครับ ค่อยๆ ปรับตัว เปลี่ยนแปลง หาจุดลงตัว”
“กลัวจัง” นักธุรกิจหนุ่มสารภาพออกมา “กลัวว่าจะเลี้ยงเขาได้ไม่ดีเท่าขวัญ แล้วก็กลัวทุกครั้งที่คิดถึงขวัญ มันกะทันหันจนเกินไป ทุกอย่างเพิ่งลงตัวแท้ๆ”
ได้ยินน้ำเสียงที่ระบายออกมาพร้อมกับแววตาสะท้อนความมัวหมอง ภาคภูมิจึงกระชับมือเพื่อให้กำลังใจ
“อย่าเสียใจกับการจากไปของเธอเลยครับ เธอไม่ได้หายไปไหนหรอก ยังอยู่ในใจของพี่เสมอ ผมเชื่อนะ ว่าพี่ขวัญจะยังคงเฝ้ามองพี่กับลูกจากที่ไหนสักแห่ง แล้วก็กำลังเอาใจช่วยให้พี่ภพผ่านจุดนี้ไปได้อย่างราบรื่นแน่นอน”
“......”
“เราย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องในอดีตไม่ได้หรอกใช่ไหมครับ แทนที่เราจะ คร่ำครวญ หวาดกลัวอยู่กับมัน เราควรเอาเวลาที่มีอยู่ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีไหมครับ ทานตะวันชอบพี่ภพในฐานะพ่อที่ดูเข้มแข็งแต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนโยนกับเขานะครับ จากที่ได้คุย ดูเธอจะรักพี่มาก ผมว่า...พี่ภพที่เป็นอยู่ตอนนี้ ดีที่สุดแล้ว”
คำปลอบโยนมาพร้อมกับกำลังใจ ทำให้คนฟังอย่างธนภพรู้สึกดีขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าด้วยแววตาสะท้อนความซาบซึ้ง ความอบอุ่นจากฝ่ามืออีกฝ่ายแผ่ซ่านเต็มหลังมือ วินาทีต่อมาเป็นชายหนุ่มที่เผลอไผลตวัดหงายมือกลับ รองรับและกอบกุมทาบทับเสียเอง
“หลายเดือนที่ผ่านมา พี่ได้แต่ทนเก็บความเจ็บเอาไว้คนเดียว ไม่มีใครให้ระบาย ไม่มีใครพูดให้กำลังใจพี่แบบนี้เลย ภูมิเป็นคนแรกนะรู้ไหม”
“ถ้ามีอะไรหนักใจอยากจะระบาย พี่ภพคุยกับผมได้เลยนะครับ ผมยินดีรับฟังทุกเรื่อง ส่วนเรื่องเลี้ยงทานตะวัน ระหว่างนี้พี่ไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลเขาให้เอง”
“ขอบคุณนะภูมิ” ธนภพถอนหายใจเฮือกใหญ่ ราวกับว่าความอัดอั้นตันใจที่ผ่านมาได้ถูกปลดปล่อยลงในตอนนี้ ชีวิตหลังเสียภรรยาไป เขาอยู่เพียงลำพัง คิดเอง ทำเองมาโดยตลอด แต่พอมีภาคภูมิเข้ามาช่วย มันเหมือนหัวใจของเขาถูกปลอบประโลม ถูกแบ่งเบาความรู้สึกไปมากมาย
ในขณะที่คนในบ้านให้กำลังใจกันและกันอยู่นั้น คนลอบมองด้านนอกก็ได้แต่ยืนจ้องเขม็ง ไม่รู้ว่าทั้งสองพูดคุยอะไรกันบ้าง รู้แต่เพียงว่าภาพตรงหน้าสร้างความหงุดหงิดให้เขาเป็นอย่างมาก
“คุณชะมายืนทำอะไรตรงนี้ครับ?”
จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นยังด้านหลัง เป็นเหตุให้คนทำตัวเยี่ยงพวกถ้ำมองสะดุ้ง ชยางกูรตวัดกายหันไปก็พบว่าคนทักคือชลธี คนมาใหม่เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ส่วนคนถูกถามแสร้งขรึมทำตัวไร้พิรุธ
“มาหาทานตะวัน แต่เพิ่งนึกได้ว่าลืมของที่ไซต์งาน กูไปก่อนนะ”
ชลธีค้อมหัวให้เล็กน้อย แล้วชยางกูรก็เดินจากไปทันที เมื่อเห็นคนเป็นนายเดินไวจนลับสายตาแล้ว ชลธีจึงก้าวเข้าไปเคาะประตู
รอไม่นานประตูก็ถูกเปิดออกโดยธนภพ เมื่อเห็นว่าเป็นลูกน้อง จึงเดินนำไปยังห้องนั่งเล่น ก่อนหย่อนกายนั่งลงตรงโซฟา ชลธีเดินตามแล้วหยุดยืนอยู่ใกล้ๆ
“เมื่อครู่ผมได้รับโทรศัพท์จากคุณสายรุ้ง ว่าเครื่องประดับที่คุณของขวัญเป็นคนออกแบบทำเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ รวมถึงชิ้นอื่นๆ ที่คุณภพออกแบบด้วย”
“เธอจะส่งมาเมื่อไหร่”
“เธอขอเปลี่ยนแปลงวิธีการส่งครับ เพราะอัญมณีล็อตนี้มีมูลค่าสูงมาก เธอกลัวจะเกิดการสูญหายระหว่างทาง เลยอยากให้คุณภพเดินทางไปรับมอบด้วยตัวเอง ตอนนี้คุณสายรุ้งกำลังเดินทางมากรุงเทพ เพื่อร่วมงานแฟชั่นโชว์เครื่องประดับที่บริษัทผลิต เธอจึงขอเชิญคุณไปเป็นแขกร่วมงานในครั้งนี้ด้วย แล้วก็จะได้ส่งมอบของกันที่นั่นเลย”
ธนภพพยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ฝ่ายนั้นเสนอ เครื่องประดับที่ของขวัญออกแบบก่อนจากไปแต่เดิมไม่ได้เลือกอัญมณีราคาสูงมากมาย เพราะแค่ต้องการเอามาสวมใส่เป็นเครื่องประดับกายใส่เล่นพ่อแม่ลูกก็เท่านั้น แต่พอเกิดเรื่องขึ้น ธนภพเห็นค่าของมันเพราะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ภรรยาทิ้งเอาไว้ให้ จึงติดต่อไปทางสายรุ้ง ซึ่งเป็นสาวใหญ่มีสามีชาวออสเตรเลีย ทำธุรกิจผลิตเครื่องประดับตามออเดอร์ ให้เปลี่ยนชนิดอัญมณีเป็นอัญมณีที่หายากอันดับต้นๆ ของโลก มูลค่าของมันจึงพุ่งสูงจนอาจประเมินค่าไม่ได้
ธนภพยิ้มเศร้าเมื่อนึกถึงภรรยาผู้ล่วงลับ แม้เธอจะจากไปหลายเดือนแล้ว แต่ความรู้สึกของเขายังเหมือนกับว่าเพิ่งบอกลาเธอเมื่อเช้าอยู่เลย
“แล้วชิ้นอื่นๆ ก็มาพร้อมกันด้วยใช่ไหม?”
“ใช่ครับ ล็อตนี้คุณสายรุ้งนำมาด้วยตัวเองทั้งหมด”
“อืม ถ้าอย่างนั้นรอบนี้ก็ควรค่าแก่การไป ถึงผมจะไม่ชอบออกงานสังคมก็เถอะ” เขาหัวเราะเนือยๆ ก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นยืน กระชับสูท ติดกระดุมให้เข้าที่
ธุรกิจใหม่อย่างการขายเครื่องประดับอัญมณีที่ออกแบบเอง โดยมีเพื่อนที่ดีอย่างสายรุ้งเป็นทั้งที่ปรึกษาและรับผลิตให้กำลังไปได้ด้วยดี นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย ชาวต่างชาติต่างให้ความสนใจและซื้อกลับไปกันอย่างล้นหลาม มันคือผลตอบรับที่ดีเยี่ยม แม้เขาจะยังไม่ได้เปิดตัวธุรกิจนี้อย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ก่อนหน้านี้เขาวาดฝันที่จะเอาเครื่องประดับเซทที่ของขวัญเป็นคนออกแบบมาเปิดตัว พร้อมกับให้คนรักนำเสนอในงานเลี้ยงอันชื่นมื่นท่ามกลางนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่มาพักผ่อนบนเกาะแห่งนี้ เสียดาย...ที่ความคิดนี้ไม่มีวันได้เกิดขึ้นจริง ทว่าในเมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป เขาก็จะยังนำเอาของล้ำค่าเหล่านั้นมาตั้งโชว์และจัดงานเลี้ยงเปิดตัวธุรกิจนี้อยู่ดี
จังหวะเดียวกันนั้น ภาคภูมิเดินออกมาจากครัวพร้อมกับแก้วน้ำส้ม
“จะกลับไปทำงานแล้วเหรอครับ?”
“พี่ต้องไปทำธุระที่กรุงเทพ สามสี่วันถึงจะกลับ ระหว่างนี้พี่ฝากภูมิย้ายมาอยู่ที่นี่ ดูแลทานตะวันแทนพี่ได้ไหม?”
“ได้สิครับ! ไม่มีปัญหาเลย” ภาคภูมิรีบรับคำอย่างไม่รีรอ ใบหน้าเรียวเล็กอมยิ้ม นัยน์ตาเจือประกายแห่งความสบายใจ ได้อยู่ที่นี่ มันดีกว่าอยู่กับ...ไอ้หมาบ้านั่นเป็นไหนๆ
ในขณะที่ผู้ใหญ่พูดคุยกันอยู่นั้น เจ้าของบ้านตัวจริงก็เดินงัวเงียออกมาจากห้องนอน มือเล็กขยี้ตาไปมา
“พ่อภพจะไปไหน?” เด็กน้อยได้ยินแว่วๆ ถึงได้ลุกมาหา ธนภพยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปหาลูกชายซึ่งยืนอยู่ตรงกรอบประตูห้องนอน เขานั่งยองแล้วเอามือลูบเรือนผมเจ้าตัวเล็กเบาๆ
“พ่อต้องไปเอาของสำคัญที่แม่ขวัญออกแบบไว้ที่กรุงเทพ ทานตะวันจำได้ไหม ที่แม่ขวัญวาดรูปทั้งวันทั้งคืน”
“จำได้ครับ แล้วพ่อภพจะกลับมาเมื่อไหร่”
“อีกสามสี่วันครับ ระหว่างนี้พ่อภพฝากเราไว้กับอาภูมิ อาภูมิจะมาอยู่ที่นี่กับทานตะวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลย ไหวไหมครับอาภูมิ” ธนภพหันไปมองภาคภูมิ คนถูกตั้งคำถามรีบเอาถาดแก้วน้ำส้มวางไว้บนโต๊ะรับแขก ก่อนจะปรี่เข้าไปนั่งยองเคียงคนถาม
“ผมมาที่นี่ก็เพื่อมาอยู่กับทานตะวัน พี่ภพไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะดูแลทานตะวันทุกวินาทีเลย เราสองคนมีสัญญาใจต่อกัน เนอะทานตะวัน” ทานตะวันพยักหน้า แล้วมานั่งตักภาคภูมิ
“ทานตะวันอนุญาตให้อาภูมินอนด้วยครับ อาภูมิ คืนนี้เราดูหนังกันไหม?” เด็กชายเอ่ยถามอย่างไร้เดียงสา ภาคภูมิดีใจจนระบายยิ้มกว้างหลังถูกเด็กชายให้ความไว้วางใจถึงขั้นโผมานั่งที่ตัก
“อื้อ! เอาสิ ทานตะวันอยากดูเรื่องอะไรครับ?”
“เราดูหลายๆ เรื่องเลยได้ไหม?”
“ได้อยู่แล้ววว”
เห็นทั้งสองคุยกันอย่างเข้าขาแล้วธนภพก็เริ่มวางใจและสบายใจ
“งั้นพ่อไปก่อนนะเจ้าตัวเล็ก ไว้จะซื้อขนมมาฝาก” ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้น ภาคภูมิรีบลุกตาม ส่วนชลธีที่เห็นเจ้านายเตรียมท่าก็รีบออกไปสตาร์ทรถยนต์ไว้รอ
“พี่รู้สึกอุ่นใจนะที่ภูมิเอ็นดูทานตะวัน เขาเหมือนชอบเรามาก”
“ถ้าเขาชอบผมก็ดีสิครับ อะไรๆ มันจะได้ง่ายขึ้น ไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วงทางนี้ ผมจะดูแลเขาให้ดีที่สุด”
“อย่าห่วงแต่ดูแลคนอื่น ดูแลตัวเองด้วยนะคุณหมอ” ธนภพบุ้ยปากไปทางมือภาคภูมิ คนตัวขาวยิ้มเผล่ เกาศีรษะแกรกๆ “ทุ่มเทกับงานขนาดนี้เลยเหรอ บางเรื่องถ้าทำให้ลำบากใจ หรือไม่เกี่ยวกับเนื้องานก็ไม่ต้องฝืนก็ได้นะ พักบ้าง ถือซะว่ามาพักร้อน”
“นี่แหละครับเป็นการพักร้อนที่ดีที่สุดสำหรับผม” มือบางยีเรือนผมเด็กชายทานตะวันจนยุ่งเหยิง เรียกเสียงหัวเราะจากคนเป็นพ่อได้ไม่น้อย
“ขอบคุณนะ ภูมิเป็นคนดี สักวันต้องเจอคนที่ดีเหมือนกัน”
“จะมีใครมาสนใจคนเพี้ยนๆ อย่างผมครับ ขนาดตะวันที่ว่าใจดีๆ อดทนเก่ง ยังไม่ทนเลย ไม่มีใครอยากอยู่กินกับคนอย่างผมหรอก”
“ก็ถ้าไม่มีใคร จะอยู่ที่นี่ต่อไปเรื่อยๆ พี่ก็ไม่ว่า” สิ้นเสียง เสี้ยวหนึ่งคนสองคนมองหน้ากัน เกิดเป็นบรรยากาศประหลาดขึ้นชั่วครู่ เป็นคนพูดที่อึกอักกระแอมไอออกมาเสียก่อน “ถ้างั้นพี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน”
“ค...ครับ” ภาคภูมิพยักหน้าอย่างประดักประเดิด
หลังออกมาจากบ้านทานตะวัน ธนภพเตรียมจะก้าวขึ้นรถ หากแต่กลับต้องหยุดชะงัก เมื่อพบเข้ากับชยางกูรที่กำลังยืนมองแบบแปลนอยู่ไกลๆ
“ชะ พี่จะไปกรุงเทพสามสี่วัน ฝากดูทางนี้ด้วยนะ”
“ไปทำไม?”
“ไปรับเครื่องประดับล็อตที่ของขวัญออกแบบเป็นชิ้นสุดท้าย พี่จะเอามาจัดงานแสดงโชว์เปิดตัวธุรกิจด้วย”
“เครื่องประดับรูปดอกทานตะวันนั่นน่ะเหรอ?” เขาจำได้ว่าช่วงหนึ่งพี่ขวัญโทรมาปรึกษาเรื่องแบบเครื่องประดับ เขาเลยขอให้ลูกพี่ลูกน้องส่งแบบที่วาดคร่าวๆ ไปให้ทางอีเมล์ ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีส่วนประกอบของดอกทานตะวันทั้งสิ้น
“สวยไหม คอลเลคชั่นนี้พี่ตั้งใจทำมากเลยนะ ภพบอกว่าถ้าทำออกมาแล้วสวย เขาจะเอาล็อตแรกไว้โชว์ที่โรงแรม แล้วก็จะทำล็อตต่อๆ มาไว้ขาย”
“ก็สวยดีนะ เหมาะกับผู้หญิง เออ ว่าจะถามตั้งนานละ ทำไมถึงต้องเป็นทานตะวัน ขนาดชื่อลูกยังเป็นชื่อนี้เลย?”
“มันก็...มาจากหลายๆ ความหมายน่ะ พี่เจอภพครั้งแรกที่ทุ่งทานตะวัน แล้วเขาก็ชอบเอามันมาให้พี่ทุกๆ เทศกาล เขาบอกไม่อยากให้ดอกกุหลาบเหมือนคนอื่น เขาบอกว่าดอกทานตะวันมันเท่ดี เวลาหันหน้าเข้าหาพระอาทิตย์ มันดู...ซื่อสัตย์ดี กับดวงจันทร์ก็ไม่หันนะ หันไปหาแต่กับพระอาทิตย์” เธอหัวเราะร่วน
“......”
“เหมือนภพ...ที่มีรักซื่อสัตย์ต่อพี่”
“จะอ้วกว่ะ”
“ปากแบบนี้ระวังหาเมียไม่ได้นะ”
“ใช่ เล่นไปหลายเดือนเลยว่ะกว่าจะเสร็จ คนออกแบบไม่อยู่ซะแล้ว” ธนภพพูดเนือยๆ นัยน์ตาสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
“จะไปเดี๋ยวนี้เลยเหรอ?” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มแหงนหน้ามองสภาพท้องฟ้าที่มืดครึ้ม ก้อนเมฆก่อเค้าดำทะมึน เวลาพายุเข้าที่นี่ น่ากลัวน้อยเสียที่ไหน คนกรุงเทพเช่นเขารู้ซึ้งตั้งแต่มาถึง
“ไปเลย จะได้เสร็จไวไว”
“กว่าจะไปหาพี่ขวัญอีก ฝนไม่ตกก่อนเหรอ”
ธนภพมีธรรมเนียม ก่อนออกจากเกาะเป็นต้องไปบอกลาภรรยาที่ทุ่งทานตะวัน แต่ด้วยภารกิจที่เร่งรีบ อีกทั้งฝนฟ้าที่เริ่มแปรปรวน ธนภพจึงส่ายหน้า โบกมือลา พร้อมกับก้าวขึ้นรถโดยมีชลธีขับให้ ทิ้งให้คนตัวสูงยืนไล่สายตามองอยู่อย่างนั้น ชยางกูรสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ปกติต่อให้รีบแค่ไหน ธนภพก็จะต้องแวะไปบอกลากับหลุมศพภรรยาก่อนออกเดินทางเสมอ มาวันนี้ถือเป็น ครั้งแรกที่พี่เขยมีพฤติกรรมเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ความคิดอคติแสดงออกเป็นท่าทาง ว่าที่สถาปนิกหนุ่มไม่รอช้า รีบพุ่งตัวไปยังบ้านหลังเล็กทันที
“ทำยังไงนะ ถึงได้เป็นคนโปรดภายในสองวัน แค่สองวัน...ทำเอาผัวลืมเมีย”
ประตูบ้านที่เปิดดังผัวะ มาพร้อมกับคำแดกดัน คนกำลังเก็บจานชามเพื่อเอาไปล้างขมวดคิ้ว มองคนมาใหม่อย่างงุนงง
“อะไรของคุณ?” พูดแค่นั้น ก็หมุนกายเดินเข้าไปในครัว นำจานไปวางไว้ในซิงค์ กดน้ำยาล้างจานใส่ฟองน้ำ ทว่ายังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ กลับถูกกระชากต้นแขนให้หันกลับไปด้วยความรุนแรง
“อยากจะรู้ว่ามีดีอะไร พี่ภพถึงขั้นให้ความสนใจมากขนาดนี้ แวะมาหา ไม่พอ ยังทำแผลให้อีก จับไม้จับมือถึงเนื้อถึงตัวกันไม่เกรงใจใคร จะไปกรุงเทพ แทนที่จะไปล่ำลาเมียตัวเอง กลับมาล่ำลากับคนอื่น” ชยางกูรเอ่ยเสียงหยัน ใช้สายตาไล้มองทั่วร่างภาคภูมิอย่างกักขฬะ
“นี่คุณจะหยาบคายไปถึงไหน ถ้าไม่ให้เกียรติผม ก็ให้เกียรติพี่ภพบ้าง อย่าพูดแบบนี้ให้เขาได้ยินเชียวนะครับ แค่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เขาก็เหนื่อยใจมากพอแล้ว”
“หึ...เดี๋ยวนี้ถึงกับออกโรงปกป้องกันเลยเหรอ หรือว่าหลงเสน่ห์พ่อม่ายลูกติดเข้าให้แล้ว” ยิ่งภาคภูมิออกตัวแทน ชยางกูรยิ่งเหยียดหยันในท่าที คิดไว้ไม่มีผิด ความใกล้ชิดที่มีต่อกัน อีกหน่อยคงหวั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณมันคนเพ้อเจ้อ ชอบยัดเยียดความคิดแย่ๆ ใส่คนอื่น!”
“งั้นก็เลิกปฏิเสธด้วยคำพูดสวยหรู แล้วแสดงให้เห็นด้วยการกระทำซะสิ”
“ผมก็กำลังทำนี่ไงครับ! เป็นพี่เลี้ยงดูแลทานตะวันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ถ้าผมจะอ่อยพี่ภพจริง ผมคงไม่ต้องมาอยู่ที่นี่ก็ได้มั้ง จะออดอ้อนขอไปกรุงเทพด้วยก็คงได้ แต่ความจริงคือไม่ใช่ เพราะผมไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ผมต้องอยู่กับทานตะวันและรักษาเขาให้หายโดยไวที่สุด อ่อ...แล้วคุณก็ไม่ต้องกังวลกลัวว่าผมจะไปทำข้าวของสำคัญในบ้านหลังนั้นเสียหายอีกแล้ว เพราะจากนี้ไป ผมจะย้ายมาอยู่ที่นี่”
“ว่าอะไรนะ?”
ไม่รู้ทำไมถึงติดขัดกับการที่อีกฝ่ายบอกจะออกจากบ้านหลังนั้น เขาควรพอใจไม่ใช่เหรอ?
ชยางกูรขมวดคิ้ว มือแกร่งเผลอคลายแรงบีบที่ต้นแขนอีกฝ่าย เป็นโอกาสให้อีกฝ่ายชักแขนออกจากการจับกุม
“คุณจะได้ไม่ต้องรำคาญผมไงครับ ผมก็จะได้ไม่ต้องซุ่มซ่ามทำข้าวของเสียหายให้คุณโกรธเป็นฟืนเป็นไฟด้วย” มือข้างที่เป็นแผลกำไว้อย่างหลวมๆ บาดแผลนี้ภาคภูมิคงหลาบจำไปถึงวันตาย ไม่กล้าไปแตะต้องสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับหมาบ้าตัวนี้อีกแล้ว
“คุณอยู่ที่ไหนผมก็รำคาญ รีบรักษาทานตะวันให้เสร็จ แล้วออกไปจากเกาะนี้ ผมคงได้รำคาญน้อยลงอีกหน่อย”
“ตามบัญชาครับ” ภาคภูมิพูดกระแทกแดกดันใส่ชยางกูร พอสิ้นเสียง คนสองคนก็มึนตึง หมุนกายหันหลังให้กัน ถือว่าบทสนทนาปะฉะดะครั้งนี้เป็นอันสิ้นสุด
ชยางกูรสบถลมหายใจอย่างหงุดหงิด ไม่รู้ว่าอะไรทำให้หงุดหงิด รู้แค่ว่าภาคภูมิทำเขาอารมณ์ปั่นป่วนได้ไม่น้อย คนตัวสูงไม่มีอะไรจะพูดต่อ จึงเลือกที่จะเดินออกจากบ้านไปทันที
ภาคภูมิหันกลับไปมองประตูที่ถูกปิดเสียงดังลั่น ความกรุ่นโกรธเจือเต็มอารมณ์ พาลไปถึงจานชามที่ถูกล้างอย่างรุนแรงไม่ออมมือ ล้างเสร็จก็หันมาเก็บกวาดบ้าน ทำหน้าที่เหมือนแม่บ้านไม่มีผิด สุดท้ายถือกะละมังบรรจุน้ำพร้อมผ้าสะอาดเข้ามาในห้องนอนเพื่อจะมาเช็ดตามขอบโต๊ะ ขอบเตียง ขอบหน้าต่างขจัดฝุ่นให้เด็กน้อย
“อาภูมิ เมื่อกี้เหมือนเสียงน้าชะ”
“หมาบ้าน่ะทานตะวัน”
“หืม?” เด็กชายเอียงคอด้วยหน้ามึน ทำให้คนหงุดหงิดถึงกับหลุดขำ โมโหอีตาบ้านั่นก็โมโห แต่ก็ขำเจ้าตัวเล็กมากกว่า
“ทำอะไรอยู่ครับ?” เขาวางกะละมังไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ ก่อนจะเดินเข้าไปหาทานตะวัน เด็กชายตัวผอมกำลังนั่งบนพื้น หันหน้าเข้าตู้ลิ้นชักข้างหัวเตียง
“เลือกแผ่นหนังครับ”
“อ๋อ ตกลงเราจะดูเรื่องอะไรบ้างครับ?” ทานตะวันยกกล่องดีวีดียื่นไปตรงหน้าภาคภูมิถึงสี่เรื่อง “หมดนี่เลยเหรอ?” ชายหนุ่มหัวเราะ พลางยีเส้นผมเด็กชายด้วยความเอ็นดู ก่อนจะกลับไปทำความสะอาดต่อ
มือบางบิดผ้าขนหนูไล่น้ำ พลันสายตาสบเข้ากับปากกาด้ามหนึ่งซึ่งถูกวางทิ้งไว้อยู่ใกล้ๆ ปากกาสีดำมีน้ำหมึกเยิ้มไหลเลอะเป็นวง เขาหยิบมันขึ้นมาดู ก่อนจะหันไปถามเด็กชาย
“ปากกาของใครครับ?”
“ของน้าชะครับ” เด็กชายตอบเพียงแค่นั้นก็หันไปเก็บแผ่นหนังที่เหลือเข้าลิ้นชักต่อ
“คงพังแล้วมั้ง หมึกทะลักขนาดนี้”
หมอหนุ่มประเมินความเสียหาย มองหมึกสีดำเหนียวหนืดยืดหยด ด้วยคิดว่าเป็นแค่ปากกาที่เสียแล้ว เจ้าของคงไม่หวงแหนอะไรมาก ถ้าเป็นของสำคัญจริงเมื่อกี้เจ้าตัวก็คงจะถามหามันแล้ว คิดเห็นเป็นเช่นนั้น พลันอีกความคิดหนึ่งก็ ผุดพราย เกิดเป็นรอยยิ้มหยันบนใบหน้า ยิ่งจ้องปากกาไม่ทราบราคา ก็ยิ่งทำให้นึกถึงเจ้าของที่ชอบด่าว่าตนเองแบบไม่มีมูล
ความคิดอยากแก้แค้นบังเกิดขึ้นในอก
ภาคภูมิหยักริมฝีปากเชิดหน้าเหมือนคนอยู่เหนือกว่า ทั้งๆ ที่ตรงหน้าก็เป็นแค่ปากกา แต่กลับมองมันเหมือนได้มองเจ้าของ หมอหนุ่มกระทำการอย่างใจเด็ด ระบายความแค้นแบบเด็กๆ ใส่มัน ทิ้งของที่แท้จริงแล้วสำคัญและมีค่าที่สุดในตัวชยางกูรใส่ถังขยะเล็กๆ ข้างโต๊ะ
ไส้ไหลเยิ้มคงใช้การไม่ได้อีกแล้ว ถึงจะทิ้งไป อีกคนก็คงไม่นึกเสียดายเท่าไหร่ อีกอย่างราคาของมันก็คงไม่เกินกว่าที่ปากกาด้ามหนึ่งควรจะเป็น เจ้าของคงซื้อใหม่ได้ไม่ยาก เลยขอทิ้งไปด้วยความสะใจ แค่นี้ก็ถือว่าได้แก้แค้นคืนแล้ว
จิตแพทย์หนุ่มมองปากกาไร้ค่าตรงก้นถังขยะเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะกลับไปทำกิจกรรมอื่นๆ ด้วยอารมณ์ร่าเริงดังเดิม คนอารมณ์ไม่คิดเยอะ ได้ทิ้งสิ่งของ ก็เหมือนได้ทิ้งอารมณ์บูดๆ ตามลงไปด้วย
//////
อากาศตอนหัวค่ำหลังฝนฟ้าคะนองเมื่อบ่ายเย็นเยียบ สร้างความสบายกายกว่าตอนลมร้อนจากทะเลเป็นไหนๆ ภาคภูมิรีบให้ทานตะวันอาบน้ำ ก่อนตัวเองจะเริ่มทำอาหารเย็นให้เด็กชายอย่างสบายอารมณ์ หมอหนุ่มมีความสุขเมื่อได้อยู่ภายในบ้านหลังเล็กร่วมกับเด็กชายอีกหนึ่งคนเป็นอย่างมาก
มันเป็น...ความสุขสงบที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
พอทานตะวันอาบน้ำเสร็จ อาหารก็คอยท่าเรียบร้อย แต่เด็กชายยืนกรานว่าจะรอทานพร้อมกับอาภูมิ คนเป็นหมอจึงรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำ เพราะกลัวว่าเด็กน้อยจะหิว ไม่นานก็กลับออกมาและเริ่มรับประทานอาหารร่วมกัน
และแล้วเวลาแห่งการดูหนังก็มาถึง ทานตะวันเลือกดูเรื่อง The secret life of pets เป็นเรื่องแรก สองคนนอนเอกเขนกบนพื้นพรมขนสัตว์ ภาคภูมิใช้ตัวรองรับร่างเด็กชายที่เอนกายพิงแนบอก ใช้ผ้าห่มที่คลุมร่างตัวเองห่อตัวเด็กชายอีกทีหนึ่งเพราะอากาศค่อนข้างเย็น
พอหนังเริ่มไปได้แค่สิบนาที ก็มีเสียงร้องรำทำเพลงจากด้านนอกดังเข้ามารบกวน ทานตะวันแหงนหน้ามองภาคภูมิด้วยแววตาน่าสงสารเพราะดูไม่รู้เรื่อง ภาคภูมิจึงตัดสินใจออกไปดูให้
“อยู่ตรงนี้ห้ามไปไหน ใครเคาะก็ห้ามเปิดประตูนะ”
กำชับเสร็จก็ลุกไปหยิบกุญแจบ้านพร้อมไฟฉาย เหลือบสายตาเห็นฟ้าครึ้ม ตั้งเค้าฝนผ่านหน้าต่าง จึงหยิบร่มติดมือไปด้วย ออกมาจากบ้านก็สอดส่ายสายตาหาแหล่งเสียง เห็นแสงไฟรำไรอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล จึงก้าวเท้าตรงไปทางนั้น
อีกด้านหนึ่งของปลายทาง...
“คนหนุ่มรูปหล่ออย่างนายช่าง ทำไมถึงมาทำงานบนเกาะห่างไกลความเจริญอย่างนี้ล่ะ”
บทสนทนาเกิดขึ้นในวงเหล้าหลังเลิกงานดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องชีวิตส่วนตัวของนายช่างออกแบบคนใหม่อย่างชยางกูร ที่ไอ้พวกเด็กช่างก่อสร้างดูจะให้ความสนใจเป็นพิเศษ
“นั่นสิ เป็นไอ้เก่งล่ะไม่มาแน่ จะอยู่จีบสาว เที่ยวผับที่กรุงเทพ” ไอ้เก่งเอ่ยแทรก “นายช่างรู้ไหม ที่นี่ไม่มีหน้าหนาว มีแต่หน้าร้อนกับหน้าฝน หน้าร้อนเก้าเดือน ที่เหลือคือหน้าฝน ตกทั้งวันไม่หยุด บางปีตกสิบวันติดกันก็มี”
“พายุมาที นึกว่าสึนามิ” ใครอีกคนเสริม
“นี่ขู่กันเหรอ?” นายช่างออกแบบคนใหม่ถามไม่จริงจัง ก่อนจะยกเหล้าดื่มขึ้นหนึ่งเป๊ก ใบหน้าคมคายขึ้นสีแดงระเรื่อ
“ไม่ได้ขู่ครับนาย แค่อยากรู้เหตุผล คนหนุ่มคนแน่น ทำไมถึงมาทิ้งชีวิตไว้ที่นี่”
“มีคนเคยบอก ว่าคนทิ้งความเจริญในเมืองกรุง มาฝากชีวิตไว้ที่ทะเลใต้ เพราะหนีรักที่ไม่สมหวัง”
น้ำเสียงหวานแว่วแทรก คำพูดของลูกสาววิศวกรใหญ่ทำเอาชยางกูรชะงัก ก่อนจะแค่นหัวเราะ พรูลมหายใจติดกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมา
“ผมมาฝึกงานปีห้าแล้วก็ออกแบบภายในโรงแรมใหม่ให้กับพี่ภพ เขาเป็นพี่เขยของผม”
“แต่คุณก็ไม่ปฏิเสธ...ว่าไม่ได้หนีรัก”
“......”
ทุกคนเงียบ นิ่งฟังชายหญิงสองคนโต้ตอบกัน ทว่าชยางกูรกลับทิ้งเวลาไปค่อนข้างนาน จนกระทั่งนายช่างวิศวะจับสังเกตได้ บางทีสิ่งที่ลูกสาวของเขาพูดอาจสร้างความอึดอัดให้คนมาใหม่ จึงแก้ไขสถานการณ์
“ทั้งหล่อ ทั้งเก่งอย่างนี้คร้านจะมีสาวรอต่อคิวยาวเป็นหางว่าว มาๆ ยินดีต้อนรับนะครับ เราอยู่กินกันแบบพี่น้อง ขาดเหลืออะไรบอกผมได้”
“ผมยังขาดประสบการณ์อีกมาก หวังว่านายช่างจะปรานี” ชยางกูรหันไปชนแก้วกับหัวเรือใหญ่ของงานก่อสร้าง ก่อนจะถูกไอ้เก่งวิ่งอ้อมวงเหล้ามาสะกิดแขนยิกๆ
“สาวใต้ตาคม ผิวเข้ม งามที่หนึ่ง ถ้านายชอบ วันหลังไอ้เก่งจะพาไปเปิดหูเปิดตา”
“ที่ไหนวะ?” ชายหนุ่มยกมุมปาก เอียงคอถามเพราะต้องการรู้ตามประสาคนเมา
“โอ๊ยบาร์แถวนี้เยอะแยะไป ว่าแต่นายจะไปได้เร้อ คนที่บ้านไม่ว่าพรือ?”
“ใครวะ?” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มปรือตา นึกฉงน ทว่าจังหวะเดียวกันนั้นเอง ‘คนที่บ้าน’ ที่ไอ้เก่งหมายถึงก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
เป็นหมอหนุ่มร่างบางผิวขาวสะอาดสะอ้านที่โผล่เข้ามากลางบทสนทนา
เมื่อภาคภูมิมาถึงก็พบว่าแหล่งเกิดเสียงนั้น เป็นไซต์งานซึ่งมีพวกคนงานตั้งวงกินเหล้าอยู่นับสิบ รวมไปถึงว่าที่สถาปนิกหนุ่มอย่างชยางกูรซึ่งนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ตัวหนึ่ง ข้างกายมีหญิงสาวหน้าตาสะสวยเพียงหนึ่งเดียวนั่งพะเน้าพะนออยู่ใกล้ๆ ขณะนั้นเธอกำลังตักอาหารเสิร์ฟให้ถึงจาน ด้านหลังคือช่างก่อสร้างที่ชื่อเก่ง ซึ่งเดินผละออกมาจากตรงนั้นพอดี
การปรากฏกายของจิตแพทย์หนุ่ม เรียกสายตาทุกคนในวงเหล้า ไม่เว้นแม้แต่คนนัยน์ตาดุดันคนนั้น
“โอ๊ยตายยากจริง! คุณภาคภูมิ มาได้ไงเนี่ย” เป็นช่างเก่งที่แหกปากร้อง “มาตามใครเหรอ?” เขาเหล่ตามองนายช่างสุดหล่อแล้วหัวเราะเอิ๊กอ๊าก
“เปล่านี่” ภาคภูมิปฏิเสธ ก่อนจะรีบแก้ไขคำพูดอีกฝ่าย “คือผมจะมาดูว่าเสียงดังอะไรกัน พอดีทานตะวันลูกชายคุณธนภพใกล้เข้านอนแล้ว แต่เสียงของพวกคุณมันดังไปรบกวนถึงที่บ้าน ถ้ายังไง ผมขอความกรุณาพวกคุณช่วยเบาเสียงลงหน่อยนะครับ”