เส้นทางนั้นลำบากทีเดียว ด้วยเป็นดินลูกรังที่ขรุขระ เวลารถแล่นผ่านก็มักกระแทกกระทั้นจนตัวโยน ทั้งยังมีฝุ่นดินแดงที่คละคลุ้งไปทั่วบริเวณอีก จึงทำให้คนนั่งด้านหลังรู้สึกไม่ค่อยดีนัก ภาคภูมิมองออกไปยังสองข้างทางที่รถกระบะคันโตแล่นผ่าน มีต้นยางเรียงรายเป็นแถวเป็นแนวเต็มไปหมด ไม่มีบ้าน ไม่มีแม้กระทั่งคน
จะพาเขาไปไหน...
“ทางนี้มีแต่สวนยางของชาวบ้านน่ะครับ ขับไปอีกหน่อยจะโผล่ท้ายหาดๆ หนึ่ง เป็นที่ส่วนบุคคลของคุณธนภพ เขาเอาศพภรรยาไปฝังไว้ที่นั่น”
ชายหนุ่มในเสื้อเชิ้ตลายสก็อตกับกางเกงยีนส์ที่นั่งข้างๆ เอ่ยขึ้น ราวกับล่วงรู้ความคิดของภาคภูมิ
“พวกคุณคือ...”
“พวกเราเป็นทีมช่างสร้างโรงแรมใหม่ให้กับคุณธนภพครับ” น้ำเสียงติดทองแดง มาพร้อมกับรอยยิ้มเป็นมิตร นั่นทำให้ภาคภูมิผ่อนคลายไปได้บ้าง
“อ่อครับ”
คนหนุ่มผิวขาวตอบรับเพียงคำ หากแต่สร้างความฉงนให้คนมองไม่น้อย ชายผิวคร้ามแดดสำรวจมองดวงหน้าขาวที่เวลานี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่ออย่างสนใจ ชีวิตประจำวันเจอแต่ไอ้พวกฉกรรจ์ร่างถึก ผิวหยาบกร้านเพราะทำงานอยู่กลางแจ้ง พอได้มาเห็นผู้ชายหน้าละอ่อน ผิวใสอย่างกับหยวกกล้วยก็เลยต้องมองนานเป็นพิเศษหน่อย
ทำยังไงถึงขาวน่าฟัดเหมือนไอ้แดงลูกชายวัยสองขวบขนาดนี้
จังหวะหนึ่งชะโงกหน้ามองว่าที่สถาปนิกหนุ่มซึ่งนั่งอยู่หน้ารถกับหัวหน้าวิศวกรของเขา สลับกับคนตัวบางผิวขาวที่นั่งอยู่ตรงนี้ก็นึกสงสัยอะไรบางอย่าง
กับพ่อหนุ่มรูปหล่อคนนั้นนายช่างใหญ่คุ้นเคยกันก่อนหน้านี้แล้ว และก็ได้แนะนำให้ลูกน้องอย่างเขาทำความรู้จักเมื่อครู่นี้เอง ใครคนนั้นชื่อคุณชยางกูร เป็นน้องภรรยาของคุณธนภพ แต่กับคนหน้าตาจิ้มลิ้มคนนี้ เขายังไม่รู้จัก รู้แค่ว่าเป็นคนที่คุณชยางกูรบอกให้กลับรถไปรับ
“อ้าว มือเป็นอะไรครับเนี่ย!” หนุ่มใต้ผิวเข้มเบิกตาโต หลังเหลือบไปเห็นมือเปื้อนเลือดของภาคภูมิ
“โดนแก้วบาดนิดหน่อยครับ” อีกฝ่ายตอบพร้อมนิ่วหน้า
“โอ๊ย! ต่ายโห้ง ไอ้วัน มึงมีพลาสเตอร์ยาไหม?” คนถูกถามควานหา พลาสเตอร์ยาที่พวกช่างมักมีติดกระเป๋าไว้เป็นประจำ ก่อนจะยื่นมาให้ ชายหนุ่มรับมาแกะซอง แล้วพันติดรอบนิ้วกันบาดแผลติดเชื้อโรคให้เบื้องต้น
“ขอบคุณนะครับ” ภาคภูมิก้มศีรษะ
“ว่าแต่...ทะเลาะกันอะไรเหรอครับ ดูท่าทางนายช่างออกแบบจะไม่พอใจคุณเอามากๆ” เห็นปฏิกิริยาที่โต้ตอบกันราวกับพระเอกนางเอกในละครหลังข่าวที่เคยดูกับเมียแล้วก็อดถามไถ่ไม่ได้
นี่ถ้าอุ้มโยนลงน้ำ กูนึกว่าทางผ่านกามเทพ!
“เขาเป็นหมาบ้าครับ ถ้าอะไรที่เกี่ยวกับผม เขาพร้อมจะบ้าใส่ได้ทุกเมื่อ” ภาคภูมิตอบด้วยสีหน้าบึ้งตึง
หนุ่มช่างผิวคล้ำไม่เข้าใจคำพูดของภาคภูมิเท่าไหร่นัก
“นี่ก็ฝีมือเขาเหรอ?” เขาบุ้ยปากใส่แผลที่มือของภาคภูมิ
“ก็ไม่เชิงครับ แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาด้วย”
“โห้ยยยย ทำไมโหดจัง อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ นี่ถ้าคุณเป็นผู้หญิง ผมคงคิดว่าผัวเมียทะเลาะกัน!”
“ม...ไม่ใช่ผัวเมีย!” หมอหนุ่มเบิกตาโต เผลอแหวใส่คนพูด
“ผมสมมู้ดดดดดด” ชายหนุ่มตอกกลับ ทำเอาภาคภูมิหน้าตึงไปชั่วขณะ
“......”
“แต่คุณก็ไม่น่าจะหน้าแดงขนาดนี้ หรือว่าจริงๆ แล้วเป็น ยอมรับมาเถอะน่าคุณ สมัยนี้แล้ว”
“ก็บอกว่าไม่ใช่ไงครับ คุณอย่าคิดเองเออเองสิ!”
“จะว่าไปนายช่างออกแบบก็หล่อเข้มเข้าทีเหมือนกัน ถึงจะโหดไปนิด แต่ถ้าลองได้หลงแล้วคงหาทางออกไม่เจอ ยิ่งกับหนุ่มหน้าหวานอย่างนี้ด้วยแล้ว...”
“ไปกันใหญ่แล้ว รู้จักกันเหรอเราน่ะ” ภาคภูมิถามชายหนุ่ม ดูๆ แล้วคนๆ นี้ไม่น่ามีอายุเกินสามสิบ เขาถึงได้กล้าพูดอะไรแบบนี้ใส่
“เอ้า! ผมชื่อเก่ง อายุ 25 แล้วคุณล่ะ?”
“ภาคภูมิ อายุ 33”
“ทีนี้รู้จักกันแล้วนะ”
“เอ้า!” หมอหนุ่มเหวอ ไปเผลอบอกชื่อเสียงเรียงนามเสียได้
ไอ้หนุ่มนามว่าเก่งเห็นหน้าหวานแดงก่ำ จึงขยับเข้าไปกระแซะทันที
“อะแหนะๆ คุณสองคนต้องมีอะไรลึกซึ้งกันแน่ๆ ถ้าผัวเมียทะเลาะกัน แบบนี้ ลูกดกหัวปีท้ายปีแน่นอน!”
“จ...จะบ้าเหรอ ไม่มีทางหรอก คนอย่างเขา ไม่เคยเห็นผมเป็นคนด้วยซ้ำมั้ง เลิกพูดเถอะครับ” ภาคภูมิเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
เขากับไอ้หมาบ้านั่นไม่มีวันลงเอยกันแน่ แค่ให้ญาติดียังดูไม่มีหนทางเลยด้วยซ้ำ
ไอ้เก่งทำท่าจะอ้าปากพูด แต่กลับต้องหยุดชะงัก เมื่อรถกระบะหยุดจอดยังที่หมาย ประตูรถถูกเปิดออกอย่างแรง ก่อนนายช่างออกแบบที่ไอ้เก่งกับภาคภูมิ พูดถึงตลอดทางจะย่างสามขุมเข้ามาหา
“ลงมาได้ละ”
ภาคภูมิพรั่นพรึงต่อสภาพแวดล้อม มองซ้ายมองขวา เห็นก็แต่ป่ารกทึบ
ไอ้เก่งเหลือบแลสายตามองคนหน้าตาจิ้มลิ้มแล้วก็ได้แต่นึกเห็นใจ ทว่าปากกลับหุบสนิทไม่เก่งเหมือนชื่อ ขนาดเขาว่าหน้าตาโหดแล้ว ยังโหดได้ไม่เท่ารังสีที่แผ่มาจากกายสูงของว่าที่สถาปนิกหนุ่มเลย
เชื่อแล้ว...ว่าโหดจริง
“หรือต้องให้อุ้ม!”
ชยางกูรตะคอกเสียงกร้าว ทำเอาภาคภูมิผุดลุกขึ้นทันที ก้าวลงจากรถด้วยท่าทีเก้กัง ก่อนจะมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม ไม่รออะไรอีก เป็นชยางกูรที่คว้าข้อมือภาคภูมิออกเดิน
หนึ่งคนนำ หนึ่งคนตามถูลู่ถูกังไปตามถนนดินเล็กๆ ที่สองข้างทางมีแต่ป่าด้วยความทุลักทุเล เป็นระยะทางเกือบสองกิโลเมตร กว่าชยางกูรจะพาภาคภูมิมาถึงจุดหมาย
ชายหนุ่มเหวี่ยงจำเลยไปด้านหน้าทันทีที่มาถึงทุ่งดอกทานตะวันหลายไร่ ดอกทานตะวันสีเหลืองกำลังชูคอล้อแสงอาทิตย์ ศูนย์กลางสถานที่สวยงามมีหลุมฝังศพหลุมหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
“คุณจะให้ผมทำอะไร?” จริงๆ ภาคภูมิรู้ว่าชยางกูรต้องการให้เขาทำอะไร แต่ที่ถามก็เพราะถามเอาความแน่ใจ ว่าชายหนุ่มต้องการให้เขาทำแบบนี้จริงๆ หรือ
ให้เขากราบขอโทษคนที่อยู่ในกรอบรูปจริงๆ น่ะเหรอ
“ทำในสิ่งที่คุณพูดเอาไว้” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเรียบ
ภาคภูมิกัดฟัน มองชยางกูรครู่หนึ่ง
“ได้ครับ ถ้ามันจะทำให้คุณสบายใจ”
ผู้ชายคนนี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี แถมยังใจร้ายสุดขั้วอีกด้วย ให้คนเป็นมาขอขมาคนตายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อได้มาถึงที่และได้เจอกับคนรักของรุ่นพี่ เขาจะถือว่าการมาครั้งนี้คือการมาทักทายและขอให้เธอไปสู่ภพภูมิที่ดี เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็รู้สึกดีขึ้น จึงเดินไปตามทางเดินเล็กๆ สู่หลุมฝังศพ เมื่อมาถึง เขานั่งคุกเข่า ก่อนจะยกมือไหว้แล้วกราบลงบนแท่น
“ถ้าผมทำอะไรผิดไป ผมขอโทษนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ” พูดจบก็แหงนหน้าขึ้นไปมองคนที่ยืนซ้อนอยู่ด้านหลัง “พอใจคุณแล้วหรือยัง?”
ชยางกูรไม่มีสีหน้ายินร้ายยินดี ซ้ำยังเบือนหน้าไปทางหลุมศพแทนการสบตาคนถามอีกด้วย
“พี่ขวัญไม่ต้องห่วงนะ ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาเอาสิ่งที่พี่รัก สิ่งที่พี่หวงแหนไปเด็ดขาด”
///
“นี่แหละครับคุณหมอ บ้านคุณหนูทานตะวัน”
หัวหน้าวิศวกรวัยกลางคนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม หลังขับรถมาจอดอยู่บนเนินดินขรุขระระหว่างทางไปไซต์งาน ไซต์งานก่อสร้างไม่ได้ไกลหากเดินเท้าเปล่าตัดผ่านบ้านหลังนี้ไปทางด้านหลัง แต่ถ้าเดินทางด้วยรถ จะต้องขับอ้อมวนเป็นวงกลมไปตามถนนลูกรังอีกหน่อยถึงจะเจอ
ภาคภูมิมองบ้านไม้หลังเล็กที่ตั้งอยู่บนไหล่เขา รอบด้านโอบล้อมไปด้วยต้นไม้ ก่อนจะหันมาพูดกับอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะครับ” พูดจบก็ลงจากรถด้วยสภาพไม่ดีนัก เสื้อผ้ารุ่มร่ามยามนี้มอมแมมด้วยฝุ่นดิน ผมเผ้าไร้การเซททรงปรกหน้าปรกตา หากแต่ดูอ่อนวัยกว่าเวลาใส่เจล
ร่างบางหยุดยืนอยู่ตีนเนิน เสี้ยวหนึ่งหันไปมองว่าที่สถาปนิกหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ในรถ อีกฝ่ายไม่มองหน้าเขาแม้แต่เสี้ยว
“ดูแลหลานผมให้ดี ถ้ารู้ว่าคุณทำให้เขาเป็นอะไรขึ้นมา อย่าหาว่าผม ไม่เตือน”
สิ้นคำพูด รถกระบะคันโตก็ออกตัวจากไปทันที ทิ้งไว้เพียงจิตแพทย์หนุ่มให้เผชิญหน้ากับสถานที่ไม่คุ้นเคย ภาคภูมิสลัดความรู้สึกแย่ๆ ออกไป แล้วสร้างกำลังใจให้ตัวเองครู่หนึ่ง เขาสูดลมหายใจเข้า แล้วยิ้มออกมา
“ทำได้อยู่แล้วน่า แค่ต้องทำให้ดีที่สุด”
ที่ต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ใช่เพราะเกรงกลัวต่อคนที่พึ่งฝากฝังระคนข่มขู่ แต่เป็นเพราะเขาต้องการทำให้เด็กคนหนึ่งกลับมามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีเรื่องราวฝันร้ายในอดีตทำจิตใจให้บอบช้ำอยู่อย่างนี้ เมื่อคิดถึงเป้าหมายของการมาอยู่ที่นี่แล้วก็มีกำลังใจมากขึ้นอีกเยอะ สองเท้าจึงก้าวเดินไปด้วยความมั่นใจอีกครั้ง
เดินขึ้นเนินไปนิดเดียวก็มาถึงระเบียงหน้าบ้าน บ้านหลังเล็กเวลานี้ปิดเงียบ มีเพียงเสียงโมบายเปลือกหอยที่ถูกแกว่งไกวด้วยแรงลม ภาคภูมิเอื้อมมือไปเคาะประตู
รอไม่นานประตูไม้สีเข้มก็ถูกแง้มออก พร้อมกับมีเสี้ยวหน้าของเด็กชาย ตัวเล็กโผล่พ้นออกมาเพียงเล็กน้อย แววตาเศร้าสร้อยจดจ้องมองมายังเขา ชายหนุ่มยอบกายนั่งยองเพื่อลดระยะห่างระหว่างกัน
“สวัสดีครับ อาชื่อภาคภูมินะ เป็นรุ่นน้องของพ่อภพ” เขายิ้มแสดงท่าทีเป็นมิตร ทว่าอีกฝ่ายกลับนิ่งเฉย มองเขาราวกับเห็นสิ่งแปลกปลอม
“......”
“หนูชื่อทานตะวันใช่ไหม?”
คราวนี้หนูน้อยวัยเจ็บขวบเม้มปากแน่น ทำท่าจะปิดประตูหนี เขาจึงรีบใช้มือดันประตูเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนสิ!”
และในจังหวะเดียวกันนั้นเอง ประตูที่ทำท่าว่าจะปิดลง ก็เป็นอันต้องชะงัก เมื่อมีเสียงใครคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา
“น้องทานๆ แบบนี้ใช่ไหม?”
ชายหนุ่มร่างผอมในเชิ้ตขาวมีเสื้อกั๊กสีดำสวมทับกับกางเกงดำโผล่เข้ามาทางด้านหลัง ในมือมีจานอาหารจานหนึ่ง เขายื่นมาตรงหน้าเด็กชาย ภาคภูมิเห็นผ่านช่องว่างบานประตูเพียงเล็กน้อย
“ไม่ใช่” เสียงเล็กเอ่ยตอบแผ่วเบา
“โห ยากจริงๆ กินซีเรียลเหอะนะ พี่หน่องทำไอ้ไข่ข้าวทานตะวันที่น้องทานบอกไม่เป็นอะ” ชายคนนั้นท่าทางอ้อนแอ้น ทำหน้ายู่ ทรุดเข่าอย่างคนยอมแพ้
“ไม่เอา ผมจะกินไข่ข้าวทานตะวัน”
จังหวะนั้นประตูที่ปิดไม่สนิทดีก็เผยให้เห็นบุคคลผู้มาใหม่
“คุณหมอภาคภูมิหรือเปล่าครับ?” หน่องลุกขึ้นแล้วรีบไปเปิดประตูให้
“ใช่ครับ ผมภาคภูมิ มาเล่นกับน้องทานตะวัน” ภาคภูมิดีใจเป็นอย่างมากที่ได้รับการต้อนรับ ธนภพคงบอกคนๆ นี้ก่อนที่เขาจะมาแล้ว ประโยคสุดท้ายเขาเหลือบมองเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม
เขาไม่อยากใช้คำว่ารักษา เล่นด้วยกันน่าจะเป็นคำที่ดีที่สุด
ทานตะวันเหลือบมองรอยยิ้มนั้นอย่างไม่คุ้นเคย ก่อนจะหันไปบอกกับพี่เลี้ยงจำเป็น
“แม่ขวัญบอกไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า”
“ก็จริงของน้องทานนะ แต่คุณหมอคนนี้เขาไม่ใช่คนแปลกหน้า เขาเป็นเพื่อนของพ่อภพ เดินทางมาจากกรุงเทพเพื่อมาเที่ยวหาน้องทานโดยเฉพาะเลยนะ พี่หน่องคอนเฟิรรรรร์ม” หน่องยอบกายอธิบาย ภาคภูมิเห็นเด็กชายยังมีท่าทีไม่ค่อยไว้ใจตนจึงนั่งลงบ้าง
“ไหน เมื่อกี้ใครบอกจะกินไข่ข้าวทานตะวัน อาภูมิทำเป็นนะ”
“จริงเหรอ!” นัยน์ตาเศร้าหมองเบิกกว้าง ริมฝีปากกระจิดริดอ้าเป็นวงกลม
“จริงสิ แต่ไม่รู้ว่าไข่ข้าวของอา กับไข่ข้าวของทานตะวันจะเหมือนกันไหม เพราะงั้น...ช่วยวาดรูปให้ดูหน่อยได้ไหมครับ?”
คนเป็นหมอเจ้าเล่ห์น้อยเสียที่ไหน อันที่จริงแล้วเขาไม่รู้จักไอ้ไข่ข้าวทานตะวันที่ว่าเลยสักนิด ไม่เคยแม้แต่จะได้ยิน แต่เพราะอยากผูกมิตร จึงแสร้งทำเป็นว่ารู้จัก
“ได้ครับ!” เด็กชายตื่นเต้นจนเผลอยกยิ้ม รีบวิ่งกลับเข้าห้องนอน
“เมนูของคุณของขวัญน่ะครับ เธอนึกถึงแม่ทีไร ก็ชอบให้ทำอะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะเต็มไปหมด บางวันให้ทำมงกุฎดอกไม้ก็มี”
“คนสูญเสียคนที่รักมากก็แบบนี้แหละครับ มักอยากทำหรืออยากให้มีอะไรรอบกายที่ทำให้นึกถึงคนในความทรงจำอยู่เสมอ”
“ลืมแนะนำตัวไปเลย ชื่อหน่องค่ะ เอ๊ย! ครับ เป็นรีเซปชั่นโรงแรมคุณภพ แต่ช่วงนี้เขาให้มาช่วยเป็นพี่เลี้ยงน้องทานตะวันน่ะค่ะ เอ๊ย ครับ โอ๊ย! ขอค่ะเถอะ นะคะ ถนัดทางนี้มากกว่า”
ภาคภูมิฟังแล้วก็หัวเราะในท่าทางน่าเอ็นดูของอีกฝ่าย
“สวัสดีครับคุณหน่อง ต่อไปนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ”
“งุ๊ย! คุณภพนี่เข้าใจหาหมอนะคะ จะว่าหล่อก็หล่อ จะว่าน่ารักก็น่ารัก ฝากเนื้อฝากตัวก็ได้ แต่ฝากหัวใจจะยินดีมากค่ะคุณหมอ”
ถูกชมถูกแซวเข้า หมอหนุ่มถึงกับไปไม่เป็น ได้แต่เกาท้ายทอยไปมา
ขณะนั้นเองเด็กชายทานตะวันก็กลับออกมาพร้อมกับกระดาษปอนด์และดินสอ วาดขยุกขยิกตรงนั้นไม่ถึงนาที ไข่ข้าวทานตะวันที่ว่าก็ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นรูปภาพ เด็กชายชูไปตรงหน้า ภาคภูมิพินิจพิเคราะห์ชั่วครู่
วงกลมขยุกขยิก...มีเม็ดกลมๆ หลายๆ เม็ดอยู่ด้านใน
ยากแฮะ
“ตรงนี้ไข่ ตรงนี้ข้าว” เด็กชายอธิบายเพิ่มเติม ถึงเวลานี้ภาคภูมิก็ร้องอ๋อออกมาทันที
“โอเค๊! ไข่ข้าวทานตะวันของเราสองคนเหมือนกันเลย เดี๋ยวอาจัดการให้นะครับ” ภาคภูมิดีดนิ้ว ยีผมเด็กชาย ก่อนจะเดินเข้าบ้านอย่างแนบเนียน ที่แท้ไข่ข้าวที่ว่า ก็คือไข่พระอาทิตย์สูตรในหลวงนั่นเอง
ถึงบ้านจะหลังเล็ก แต่กลับถูกแบ่งไว้เป็นสัดส่วนอย่างครบครัน ตั้งแต่ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องน้ำ ซ้ำยังมีโซนครัวเล็กๆ อีกด้วย หมอหนุ่มเดินเข้าครัวอย่างมั่นใจ ก่อนลงมือทำเมนูไข่พระอาทิตย์ให้เด็กชายตามความต้องการ ไม่นานข้าวคลุกเคล้าไข่ไก่ ทอดเป็นแผ่นคล้ายแพนเค้กในกระทะไร้น้ำมัน พร้อมปรุงรสด้วยซอสปรุงรสอีกนิดก็เป็นอันเสร็จสิ้น
อาหารเช้าของเด็กชายทานตะวันส่งกลิ่นหอมฉุยถูกวางลงตรงหน้า
“ทานให้อร่อยนะครับ” ภาคภูมิยิ้มให้ ก่อนจะวางแก้วนมไว้ข้างๆ
ทานตะวันมองสิ่งที่อยากทานสลับกับคนทำให้ด้วยดวงตาเป็นประกาย ความอุ่นใจแผ่ซ่านกำซาบในความรู้สึก วินาทีนั้นภาพภาคภูมิซ้อนทับกับภาพแม่เพราะคิดถึงคนที่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาก ถึงได้ซาบซึ้งและคำนึงหาจนทนไม่ไหว น้ำตาใสผุดซึม เจ้าตัวเล็กเดินอ้อมเคาน์เตอร์บาร์ไปกอดเอวภาคภูมิไว้แน่น ฝังใบหน้าลงหน้าท้องแบนราบ
หน่องที่ยืนอยู่ใกล้ถึงกับอ้าปากตะลึง ก่อนจะเผยรอยยิ้มปลื้มปริ่มออกมา
น้อยคนนักที่จะทำให้เด็กชายทานตะวันมอบความไว้วางใจแบบนี้ได้ เธอคงรู้สึกดีมาก ถึงได้แสดงท่าทีโอนอ่อนแบบนี้ให้
ใต้แผ่นอกหมอหนุ่มกระเพื่อมไหว ยอมรับว่าดีใจไม่น้อยที่เอาชนะใจเด็กชายได้ในเวลาอันรวดเร็ว เขาจับไหล่บางให้ผละออก ก่อนจะนั่งยองลงตรงหน้า
“ไข่ข้าวทานตะวันวันนี้ต้องพิเศษหน่อย” พูดจบก็จับจูงเด็กชายให้มานั่งยังเก้าอี้ ก่อนจะหยิบซอสมะเขือเทศมาบีบวาดเป็นกลีบดอกทานตะวันรอบๆ ไข่ข้าว จากไข่พระอาทิตย์จึงกลายเป็นดอกทานตะวันอย่างสมบูรณ์ที่สุด
“สวย”
“อร่อยด้วย ทานเยอะๆ นะครับ ถ้าทานหมดทั้งข้าว ทั้งนม แล้วก็ซุปฟักทองที่พี่หน่องเตรียมให้ อามีรางวัลให้ด้วยนะ”
เด็กชายเอียงคอนึกสงสัย หากแต่ภาคภูมิกลับไม่ยอมให้คำตอบว่ารางวัลที่ว่าคืออะไร หมอหนุ่มเพียงแค่ยิ้มแล้วลูบเรือนผมเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู ส่วนทานตะวันฮึดสู้ เพราะอยากได้รางวัล กินทุกอย่างตรงหน้าพร่องจนเกือบหมด
“เก่งมาก” หมอหนุ่มเอ่ยชม ก่อนจะเดินไปหยิบของที่เขาเตรียมมาแล้วยื่นให้เด็กชาย
“จิ๊กซอว์”
“จิ๊กซอว์รูปดอกทานตะวันหนึ่งพันชิ้น ระหว่างที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เรามาช่วยกันต่อให้มันเป็นรูปเป็นร่างกันนะ ถ้าต่อไม่เสร็จ อาจะไม่ไปไหนเด็ดขาด”
“......”
“เราจะต้องเห็นมันสำเร็จด้วยกัน ตกลงไหม?”
ทานตะวันก้มมองจิ๊กซอว์หนึ่งพันชิ้นที่กระจัดกระจายอยู่เต็มกล่อง พลันเกิดความตื่นเต้นขึ้นมาในใจ
อยากเห็นเป็นภาพ
“ตกลงครับ แต่อา...ภูมิต้องช่วยผม ห้ามทิ้งไปไหน”
“ได้สิ”
“สัญญาก่อน”
“สัญญาเลย”
นิ้วเรียวเกี่ยวก้อยกันและกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนแปลกหน้าจึงถือเริ่มต้นขึ้น
สาเหตุที่จิตแพทย์หนุ่มซื้อจิ๊กซอว์พันชิ้นมาให้ผู้สุ่มเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้านั้น เป็นเพราะต้องการให้หันไปจดจ่ออยู่กับสิ่งใหม่ๆ เพื่อดึงความสนใจให้ลืมเรื่องราวเลวร้ายที่เก็บไว้ในสมอง
โรคซึมเศร้ามีหลายประเภทและหลายระดับ วิธีการรักษา ก็มีทั้งการรักษาโดยการใช้ยาและไม่ใช้ยา แต่เท่าที่ดูเบื้องต้น ทานตะวันไม่ได้มีอาการหนักอย่างที่คิด เด็กชายแค่สุ่มเสี่ยงที่จะเป็น ฉะนั้นการเปลี่ยนความคิดเพื่อขจัดความเศร้า ซึ่งเป็นอารมณ์ที่มักก่อเกิดเป็นวัฏจักร นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าคงเป็นวิธีการบำบัดที่ดีที่สุด
เด็กเล็กวัยไม่ถึงสิบขวบยังรับและเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อีกเยอะ ภาคภูมิหวังว่าในอนาคต อดีตอันเลวร้ายที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นเพียงฝันร้ายเล็กๆ เป็นตะกอนขุ่น ซุกซ่อนอยู่ในซอกหลืบของหัวใจเท่านั้น
ไม่มีใครลืมอดีตได้หรอก... แล้วก็ไม่มีใครที่จะสามารถขจัดเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวไปจากหัวใจได้เช่นกัน เวลาและเรื่องราวดีๆ ต่อจากนี้เท่านั้นล่ะ ที่จะเยียวยาหัวใจบอบช้ำให้กลับฟื้นคืนให้ดีดังเดิมได้
จิ๊กซอว์และเขาคือส่วนหนึ่งในนั้น เขาหวังว่าตัวเองจะสามารถเติมเต็มให้เด็กชายนัยน์ตาเศร้าคนนี้ได้ไม่มากก็น้อย
เวลาสองเดือน...จิ๊กซอว์...ไข่ข้าวทานตะวันแบบใหม่...และภาคภูมิ
หลังทานอาหารเช้าในยามสายเสร็จ เด็กชายทานตะวันและภาคภูมิก็เริ่มลงมือต่อจิ๊กซอว์ที่ห้องนั่งเล่นทันที นอนเอกเขนกกับพื้น โดยปูกระดาษแข็งรอง มันที่เริ่มปะติดปะต่อไปหลายสิบชิ้นเอาไว้
“อาภูมิ...” เสียงแผ่วมาพร้อมกับหนังตาหย่อนยาน ภาคภูมิเพิ่งสังเกตว่าใต้ตาทานตะวันค่อนข้างคล้ำ แถมยังลึกโหลเหมือนคนอดนอน
“ครับผม”
“ง่วงจัง”
“งั้นพักก่อน ไปนอนที่เตียงกันนะ”
เด็กชายพยักหน้าเนือยๆ พลางยันกายลุก ก่อนจะเดินนำเข้าไปในห้องนอน มาถึงเตียงก็ก้าวขาขึ้นไปซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม ก่อนหลับตาเอ่ยถามคนมาส่งเข้านอน
“อาภูมินอนด้วยกันได้ไหม ตอนกลางคืนทานตะวันนอนไม่ค่อยหลับเลย”
“ทำไมล่ะครับ?”
“คิดถึงแม่”
“แล้วพ่อล่ะ? พ่อไม่นอนด้วยเหรอ?”
“นอนครับ...”
“......”
“แต่พ่อกรน ทานตะวันนอนไม่หลับ”
บอกเล่ามาถึงตรงนี้ ภาคภูมิถึงกับระเบิดหัวเราะ มองเด็กชายตาเนิบนาบด้วยความเอ็นดูอย่างถึงที่สุด ไม่รอช้า รีบขึ้นไปนอนพร้อมกับกอดเด็กชายเอาไว้
“พ่อภพนี่ยังไง หลับก่อนลูก” เจอหน้าต้องต่อว่าใส่หน่อยแล้ว
“พ่อภพทำงานเหนื่อย ทานตะวันรู้ เวลาพ่อภพกรนแปลว่าหลับสนิท เลย ไม่อยากกวน”
“เด็กดี” คนตัวขาวรู้ซึ้ง ซึมซาบความน่ารักโดยไม่รู้ตัว ห้วงจังหวะหนึ่ง นึกคิด...หากตนมีลูก ก็คงอยากเลี้ยงให้เติบโตเป็นคนคิดดีคิดได้แบบนี้
“อาภูมิตัวหอมเหมือนแม่ขวัญเลย”
“หอมเหรอ? เหงื่อล้วนๆ เลยนะ” ภาคภูมิยิ้ม ตั้งแต่เช้าเจออะไรมามากมาย แปลกใจไม่น้อยที่เด็กชายพูดแบบนี้
เวลาต่อมาทานตะวันใกล้เข้าสู่ห้วงนิทราเต็มแก่ สุดท้ายปรือตาแหงนมองคนที่กำลังกอดเขา แล้วเผยความในใจที่ทำเอาใจคนฟังสั่นไหว ก่อนผล็อยหลับไปด้วยความง่วงงุน
“อาภูมิยิ้มเหมือนแม่ด้วย”
เขาเนี่ยนะ...ยิ้มเหมือนคุณของขวัญ
หลังจากนั้นภาคภูมินอนนิ่งให้เด็กชายได้หลับใหล ไม่กี่นาที หน่องที่เพิ่งทำความสะอาดครัวเสร็จก็เคาะประตูห้องซึ่งเปิดไว้อยู่แล้วเบาๆ
“ขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ คุณภพมาแล้วด้วย ต่อจากนี้คงยกหน้าที่ให้คุณหมออย่างเต็มตัวแล้ว”
รีเซปชั่นมือหนึ่งหมายถึงหน้าที่พี่เลี้ยง จากนี้ต่อไปคงกลายเป็นของจิตแพทย์หนุ่มที่ชื่อภาคภูมิ
ภาคภูมิชันกายขึ้นพร้อมกับยิ้มรับ อีกฝ่ายยิ้มให้ก่อนเดินพ้นกรอบประตูไป เพียงเสี้ยววินาทีก็มีชายหนุ่มร่างสูงอีกคนเข้ามาแทนที่
“ขอโทษนะ พี่ติดประชุมสำคัญ เพิ่งจะมีเวลามา...”
“ชู่ววว เบาๆ สิครับ เขาเพิ่งหลับไปเมื่อกี้นี้เอง”
“เหรอ” ธนภพเอ่ยเสียงเบาแทบกระซิบ ก่อนจะเดินมาหยุดยังริมเตียง คุกเข่ากับพื้น แล้วชะโงกหน้าเข้ามาใกล้
คนเป็นพ่อทำตามสัญชาตญาณและความคุ้นชิน ใบหน้าหล่อติดอบอุ่น โน้มลง จรดปลายจมูกโด่งกับพวงแก้มลูกน้อย คนอยู่ใกล้และยังสติยังครบอย่างภาคภูมิเบิกตากว้างเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว ความใกล้ชิดเกินพอดีเล่นเอาตกใจ ใบหน้าร้อนวูบฉับพลัน
“เอาเจ้าตัวเล็กนอนนี่แหละ เราไปกินข้าวกับพี่”
ธนภพสั่งคนหน้าแดง
///
“โหหหห เห็นแค่แบบสเก๊ตยังดูดีขนาดนี้ สร้างเสร็จเห็นเป็นรูปร่างของจริงคงน่าอยู่มาก” ไอ้เก่งคนงานเปล่งสำเนียงทองแดง ยกนิ้วโป้งชมคนตัวสูงที่ยืนคุยงานอยู่กับนายช่างวิศวะของตน
“สมแล้วที่คุณภพวางใจคุณมาออกแบบให้ ทั้งคอนเสป ช่องไฟ วัสดุที่จะใช้ ลงตัวมาก คุณใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ”
วิศวกรใหญ่เจ้าของรถกระบะเองก็เอ่ยชม หลังได้ฟังการนำเสนอคร่าวๆ จากว่าที่สถาปนิก ผู้ชายคนนี้ยังหนุ่มยังแน่น ได้ข่าวว่าเรียนปีสุดท้ายยังไม่ทันจบก็ถูกเชื้อเชิญให้มาออกแบบโรงแรมเฟสใหม่ให้คุณธนภพเสียแล้ว แม้ความสัมพันธ์จะเป็นแบบฉันท์ญาติ ทว่าดูจากฝีมือแล้วก็ไม่อาจทักท้วงหรือกังขาใดใดได้
“ผมยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ ถ้ามีอะไรไม่เข้าทีหรือขัดแย้งกับความเป็นจริงก็บอกผมได้นะครับ” นักศึกษาใกล้จบไฟแรงก็จริง แต่บางทีก็ยังมองโลกได้แคบกว่าคนทำงานมานานหลายสิบปี ถึงเขาจะมีหัวคิดแปลกใหม่ แต่บางสิ่งก็อาจจะไม่สามารถนำไปใช้ได้จริง เขาถ่อมตัวและน้อมรับคำแนะนำ
“โคตรเท่!” ไอ้เก่งร้องดัง มองนายช่างออกแบบด้วยความชื่นชม
“นี่ก็จะบ่ายแล้ว ขอต้อนรับคุณชะด้วยอาหารฝีมือลูกสาวผมก็แล้วกัน”
ชยางกูรเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ทำไมต้องฝีมือลูกสาว...
“พอดีลูกสาวผมเปิดร้านอาหารเล็กๆ บนเกาะนี้น่ะครับ อยู่หาดฝั่งโน้น ฝีมือก็พอถูไถ หวังว่าจะไม่รังเกียจ” นายช่างใหญ่อธิบาย พลางเก็บอุปกรณ์บนโต๊ะสนามชั่วคราว
“แหมๆๆ นายช่างถูกใจคุณชะล่ะสิ ปกติหวงลูกสาวอย่างกะอะไรดี ไอ้เก่งมีตังค์ไปกิน ยังไล่ตะเพิดไม่รับแขกอยู่เลย นี่ให้เขาไปกินฟรี หน้างี้บานเป็นกระด้ง” ไอ้เก่งกระแซะคนเป็นหัวหน้า “แต่เดี๋ยวๆๆ” คนงานหนุ่มยกมือห้ามทุกคนที่กำลังเก็บข้าวของ
“คุณชะไปได้เหรอครับ ไม่ต้องไปหา...คุณคนตัวขาวที่โดนคุณเอ็ดไปเมื่อเช้าเหรอ ป่านนี้มือจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้”
“มือ?” คนตัวสูงขมวดคิ้ว
“ก็แผลโดนแก้วบาดไงครับ เลือดนี่ไหลเป็นทางเลย โดนลากมาไม่ทันตั้งตัวขนาดนั้น คงไม่ทันได้รักษา เมื่อเช้าผมเลยหาพลาสเตอร์มาแปะประทังให้ไปก่อน”
คำบอกเล่าทำเอาว่าที่สถาปนิกชะงักไปครู่หนึ่ง นึกถึงตอนเจ้าตัววุ่นกุลีกุจอเก็บเศษแก้วหลังถูกเขาตะคอกใส่ คงถูกแก้วบาดตอนนั้น
เจ็บขนาดนั้นทำไมยังทนอยู่ได้
“ที่นี่มีกล่องปฐมพยาบาลหรือเปล่าครับ”
“มีครับ” นายช่างใหญ่เดินไปหยิบมันจากในรถ ก่อนจะยื่นให้ชยางกูร
“อ้าว! ไม่กินข้าวด้วยกันเหรอครับนายช่าง! ไวแท้”
ไอ้เก่งตะโกนไล่หลัง หากแต่ใครคนนั้นไม่อยู่รอฟัง ขายาวก้าวไวเดินลงเนินไปตามทางลูกรัง ขนาดเห็นแค่แผ่นหลังยังดูออกว่าร้อนรนมากแค่ไหน
นายช่างใหญ่กับไอ้เก่งต่างหันมามองหน้ากัน
“เมื่อเช้าทำท่าโกรธกันอย่างกะคนจะฆ่ากันให้ได้ ไหงตอนนี้วิ่งโร่เอายาไปให้เขาซะแล้วล่ะ”
“มึงถามกู แล้วกูจะไปถามใครวะ? ช่างเขาเถอะ! ไปๆๆ แดกข้าว”
“บ้านลูกสาวนายช่างเหรอจ๊ะ”
“เดี๋ยวปั๊ดตีนเหนี่ยว โรงครัวคุณภพโว๊ย”
“ถ่อวววววววววว” เสียงโห่ร้องของชายวัยฉกรรจ์นับสิบดังระงม หมดไฟระริกระรี้ เดินไหล่ตกไปรับข้าวที่เต็นท์ไซต์งาน
///
ว่าที่สถาปนิกหนุ่มเดินมุ่งหน้าไปยังบ้านหลังเล็ก ระยะทางแม้ไม่ไกลมาก แต่ก็ทำเอาคนรีบเหนื่อยหอบไม่น้อย เหงื่อกาฬผุดไหลทั่วทั้งตัว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงทำให้ต้องรีบร้อนขนาดนี้
โดนแก้วบาดแต่ก็ยังทนเจ็บ ถูกกระชากลากเดินไปถึงไหนต่อไหนก็ยังไม่ปริปากบอกอีก
กับอีแค่พลาสเตอร์จะรักษาอะไรได้
ระหว่างที่เดินก็เปิดกล่องปฐมพยาบาลเพื่อสำรวจว่าด้านในมีอะไรพอจะรักษาคนถูกเศษแก้วบาดได้บ้าง
สำลี...ยาแดง...ทิงเจอร์...พารา...น้ำเกลือขวดเล็ก
“ใช้อะไรบ้างวะ?”
สบถบ่นด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะปิดฝากล่อง แล้วล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอินเตอร์เน็ต พิมพ์ค้นหาคำว่า ‘วิธีรักษาเศษแก้วบาด’
คือถ้าเป็นตัวเองก็แค่ล้างน้ำ ทาทิงเจอร์ แล้วปิดพลาสเตอร์เป็นอันจบ
แต่กับคนผิวขาวๆ...
“เออเจอละ!”
ไล่สายตาเพียงครู่ก็เจอวิธีการที่ถูกต้อง เขาใช้เวลาศึกษาอยู่หลายนาที ท่องมันจำขึ้นใจได้แล้ว สุดท้ายเก็บมือถือใส่กระเป๋ากางเกง หยุดฝีเท้าลงตรงบริเวณหน้าระเบียงบ้าน สูดลมหายใจเข้าจนลึก ก่อนจะเอื้อมมือไปหวังจะเปิดประตู
ทว่ากลับได้ยินเสียงคนคุยกันดังเล็ดลอดออกมาจากด้านใน ชายหนุ่มชักมือกลับ ลอบมองคนสองคนผ่านหน้าต่างกระจกข้างประตู เป็นพี่เขยและคนที่ทำให้เขาต้องเดินถ่อมาถึงที่นี่
ธนภพกำลังจับมือภาคภูมิ บนตักของพี่เขยมีกล่องปฐมพยาบาลแบบเดียวกันเปิดอ้าอยู่