ตอนที่ 5.2

4568 คำ
พูดไป สายตาเจ้ากรรมก็ดันไปสบเข้ากับสายตาดุดันของชยางกูรพอดี และก็เป็นจังหวะเดียวกันกับเสียงฟ้าคะนองอันเป็นสัญญาณว่าอีกไม่นานฝนคงตกลงมา ภาคภูมิแหงนหน้ามองท้องฟ้ามืดสลัว ก่อนจะทอดสายตากลับไปหาชยางกูร “คุณ...จะกลับยังไง?” ไม่รู้ทำไมถึงเอ่ยถาม อาจเป็นเพราะคนเคยร่วมชายคารู้ว่าระยะทางจากที่นี่ไปบ้านพักค่อนข้างไกล หากมีใครจะขับรถไปส่งควรไม่ใช่คนเมาในวงเหล้า ชยางกูรบ่ายหน้า เว้นจังหวะไว้ชั่วอึดใจหนึ่งกว่าจะตอบคำถาม “คงไม่กลับ” คำตอบที่ได้รับ ทำให้คนตัวขาวเผลอมองหญิงสาวข้างกายชยางกูรอย่างเสียไม่ได้ บางทีเธออาจเป็นเหตุผลของเขา “ดีแล้วครับ ขับรถกลับมันอันตราย ฝนใกล้ตกแล้ว คุณเอาร่มนี่ติดตัวไปด้วยแล้วกัน” ที่นอนของเขาอยู่ใกล้แค่นี้ไม่จำเป็นต้องใช้ร่ม พูดเพียงแค่นั้น ก็วางร่มไว้ตรงโต๊ะที่ใช้เป็นที่วางพวกขวดโซดา ก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้อีกคนมองตามพร้อมเกิดคำถามขึ้นในใจ  “นั่นไง! ไอ้เก่งนึกแล้วไม่มีผิด ทำไมแทงหวย แทงบอลไม่ถูกอย่างนี้บ้าง” ช่างเก่งโพล่งเสียงสำเนียงใต้ พลางตบมือฉาดใหญ่ใส่หน้าตัก “อะไรวะไอ้เก่ง?” นายช่างใหญ่ปรือตาถาม “ก็คุณคนนั้นสิจ๊ะ ดูเหมือนเขาจะชอบนายช่างออกแบบ เมื่อเช้าตอนนั่งรถมาด้วยกัน ฉันแซวเล่นๆ เรื่องที่เขากับนายช่างอยู่บ้านเดียวกัน ยังหน้าแดงเหงื่อแตกพลั่ก มาตอนนี้ก็ยังมาเป็นห่วงนายช่างอีก ว่าแต่นายไม่ใจอ่อนบ้างเหรอ ร้ายใส่เขามากๆ ระวังเขาจะไม่รักเอานะจ๊ะ” ไอ้เก่งแซวนายช่างหน้าดุ แต่แล้วกลับต้องหุบปากเพราะถูกสายตาดุฟาดเข้าให้ ชายหนุ่มร่างสูงมองไอ้เก่งเสร็จก็กระดกเหล้าดื่ม ทำทีเป็นไม่สนใจคนเพิ่งจากไป หากแต่ใช้เวลานั้นลอบมองแผ่นหลังบางที่ค่อยๆ เดินหายลับไปกับความมืด หลังจากนั้นบรรยากาศก็กลับเข้าสู่สภาวะเดิม คือนายช่างออกแบบสุดเท่ของช่างก่อสร้างหลายคน โดนรับน้องให้ดื่มเหล้าป่าที่ผลิตเอง ตอนแรกรสชาติเฝื่อนขมคอ แต่พอดื่มมากเข้า พร้อมมีกับแกล้มถูกปาก เขาพบว่ารสชาติมันกลมกล่อม แม้อากาศกลางคืนจะหนาวเย็นสักแค่ไหน ทว่ากลับไม่คณาผิวกายเขาเลยสักนิด กว่าชั่วโมงที่เหล่าช่างพูดคุยสรวลเสเฮฮากันต่อ ก่อนวิศวกรใหญ่ทำท่าจะจบปาร์ตี้รับน้องเพียงเท่านั้น เพราะสำรวจสารร่างแต่ละคนแล้วดูท่าจะเริ่มไม่ไหว บางคนฟุบหลับคาที่ไปก็มีบ้างแล้ว ทว่าจู่ๆ ไอ้เก่งกับไอ้วันกลับผุดลุกขึ้น พร้อมกับกางมือห้าม “เดี๋ยวๆๆ ก่อนกลับ พวกฉันมีอภินันทนาการมาต้อนรับนายชะคนหล่อครับ!” ไอ้เก่งพูด ก่อนจะเป็นไอ้วันที่วิ่งกลับเข้าไปในเต็นท์อีกหลังซึ่งใช้เป็นที่เก็บของเวลาพวกช่างมาทำงานที่ไซต์งาน ไม่นานก็วิ่งกลับออกมาพร้อมกับขวดโหลในมือ “อ้อ! ของดีเมืองใต้ ลองหน่อยคุณชะ ไม่ดื่ม ถือว่ามาไม่ถึงภูเก็ต” นายช่างใหญ่เห็นแล้วก็หัวเราะทั้งหน้าแดง “จริงจ้ะนาย นี่ถ้าไม่ใช่นายชะ ไอ้เก่งไม่มีทางให้ดื่มแน่ ขวดนี้ใครมาขอซื้อต่อ ฉันไม่ให้หรอกนะจ๊ะ” “เด็ดขนาดนั้นเลย?” ชยางกูรเลิกคิ้ว ก่อนมองขวดโหลบรรจุของเหลวสีแดงก่ำด้วยนัยน์ตาท้าทาย ดูก็รู้ว่าเป็นยาดอง แต่สูตรไหนไม่อาจทราบได้ เด็กสถาปัตย์ดื่มมาแล้วร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ยาดองท้องถิ่นเมืองใต้แค่นี้ คงไม่คณามือเขาหรอก “เด็ดสะระตี่” ไอ้วันสำทับ พร้อมกับเทยาดองใส่แก้วเป๊ก ชยางกูรรับมาแล้วกระดกดื่มรวดเดียว “คุณชะ เบาๆ หน่อยค่ะ เหล้าแรงนะคะ” ลูกสาวนายช่างใหญ่อมยิ้มหน้าแดงก่ำเป็นลูกตำลึง “คุณพิ้งค์คิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไอ้เก่งให้นายชะดื่มเพื่อกลับไปใช้กับคนที่บ้านนู่น” ไอ้เก่งบุ้ยปากไปทางบ้านทานตะวัน หลังเหลือบเห็นลูกสาวนายช่างใหญ่ทำตัวกระมิดกระเมี้ยน แอบเอาตัวแนบชิดติดกายชยางกูร จึงอดปรามไม่ได้ และเสียงร้องทักของลูกน้องนี้เอง ก็เป็นเหตุทำให้นายช่างใหญ่ตวัดสายตาเขียวๆ มองไปยังเธอแทบทันที “เบาหน่อยยายพิ้งค์ เพิ่งเจอกันวันแรก” คนเป็นพ่อเอ่ยเสียงคุกรุ่น พยายามรักษาภาพลักษณ์ให้ลูกสาว ปีนี้เธอเข้าวัยเบญจเพสพอดี คู่ครองที่เหมาะสมก็ยังไม่มีกับเขา บอกตรงๆ ว่าชยางกูรก็เข้าที แต่เขาไม่ใช่พวกยัดเยียดขายลูกสาวกิน หากเด็กจะชอบพอกัน ก็ควรปล่อยให้มันเป็นเรื่องของเวลาและความพอใจจะเข้าท่ากว่า ที่ให้มาเจอกันวันนี้ ก็แค่อยากแนะนำให้ได้รู้จักกันก็เท่านั้น เมื่อถูกปราม หญิงสาวก็รีบลดกริยาไม่งามลง เป็นจังหวะเดียวกับที่ชยางกูรไอโขลกเสียหน้าดำหน้าแดง “สูตรไหนเนี่ย โคตรแรง” ชายหนุ่มน้ำตาเล็ด ทำหน้าเหยเก “อีกเป๊กนะจ้ะนาย” ไอ้วันลอบหัวเราะคิกคักกับไอ้เก่ง เห็นชยางกูรกำลังสับสนมึนงง ก็รีบปรี่เข้าไปรินเหล้าอีกครั้ง พร้อมกับดุนดันมืออีกฝ่าย ชยางกูรยอมรับให้มันจบๆ ไป ท่าทางคะยั้นคะยอและรับดื่มดูตลก เรียกเสียงหัวเราะในวงเหล้าระงม พอเห็นนายช่างรูปหล่อดื่มจนหมดเป็นครั้งที่สอง ไอ้เก่งก็ยืดอก เชิดหน้าเฉลยอย่างภูมิใจ “สูตรเดียวกับโด่ไม่รู้ล้มจ้า แต่แรงกว่ามาก วันก่อนตาแก่นิตอายุเจ็ดสิบ ชาวประมงท้ายเกาะมาขอลอง เช้าวันต่อมาเมียบ่นอุบ ว่าไม่ได้หลับไม่ได้นอน” “เพราะตาแกสียายไม่ยอมหยุด?” ไอ้วันชงมุขให้เพื่อนรัก “หึ นอนกรนไม่ยอมตื่นทั้งคืน” ไอ้เก่งหัวเราะกับมุข แท็กมือกับเพื่อนซี้ ก่อนจะหันมาพูดกับชยางกูรด้วยสีหน้าที่จริงจังขึ้นกว่าเดิม “นั่นมันคนแก่วัยเจ็ดสิบที่ไม่มีแรงจ้ะ แต่ถ้าคนหนุ่มอย่างนายชะ รับรอง...คึกโด่ทั้งคืน ไม่มีล้ม!” ชยางกูรได้ฟังจนจบก็ตื่นตะลึง สำลักกลิ่นแอกอฮอล์ในลำคอไปหลายรอบ โดนรับน้องครั้งนี้หนักหนาสาหัสสากรรจ์ฉิบ! “นี่มันก็ดึกมากแล้ว กูว่าแยกย้ายกันไปนอนบ้านใครบ้านมันได้ละ เดี๋ยวพรุ่งนี้จะตื่นมาทำงานกันไม่ไหว” “ครับโผ้มมมม” ทุกคนขานรับเนือยๆ ด้วยความเมา “ไปคุณชะ เดี๋ยวผมกับลูกสาวขับรถไปส่งที่บ้าน” ครืนนน... เสียงพูดดังขึ้นพร้อมเสียงร้องของท้องฟ้า ชยางกูรแหงนหน้ามองสภาพอากาศ ไม่ทันไรเม็ดฝนก็ร่วงโรยโปรยปรายลงมากระทบหน้า วินาทีนั้นความคิดกลับถูกดึงไปหยุดอยู่กับร่มคันหนึ่งซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ เขาเดินไปหยิบแล้วกางมันออก     ก่อนจะยื่นให้สองพ่อลูก “กลับกันเถอะครับ ผมขอตัวก่อน” พูดเพียงแค่นั้นก็เดินจากไป เส้นทางถนนสายเล็กๆ ที่ว่าที่สถาปนิกหนุ่มย่างก้าว คือหนทางไปสู่บ้านหลังเล็กของหลานชาย ยังมีสิ่งค้างคาติดอยู่ในใจ ตอนแรกที่นั่งดื่มก็ไม่ได้รู้สึกเมาอะไรมากมาย แต่พอลุกเดินเท่านั้นล่ะ ชยางกูรถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองเมาแทบเดินไม่ไหว หัวหมุนติ้ว โลกเอียงกะเท่เร่ จังหวะหนึ่งก่อนถึงบันไดบ้านไม่กี่ก้าว รองเท้าเปื้อนโคลนก็สำแดงเดช ซ้ำยังมีน้ำหนักจากกายสูงเป็นตัวแปร ร่างทั้งร่างไถลลื่นหน้าคะมำ เนื้อตัวเลอะเทอะแทบดูไม่ได้ “เชี่ย” ชายหนุ่มสบถพลางยันกายลุกขึ้นยืน สองมือสลัดดินโคลน ก่อนจะเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง สุดท้ายก็มาถึงหน้าบ้าน เขาเคาะประตูเสียงดัง ไม่นานก็มีใครอีกคนเปิดประตูออกมา “คุณมาทำไม?” คนตัวบางทำหน้ายุ่ง ดูเหมือนเจ้าตัวจะหลับไปนานแล้ว “จะมานอนกับหลาน” ชยางกูรเอ่ยเสียงยานคาง สองเท้ายืนไม่มั่นคง กลิ่นแอลกอฮอล์คละคลุ้งถูกพ่นใส่หน้าภาคภูมิ จนต้องรีบยกมือขึ้นปิดจมูก “คุณตัวเหม็น จะนอนกับหลานได้ยังไง” “ทำไมผมจะนอนกับเขาไม่ได้?” เปรี้ยง!! ทันใดนั้นสายฟ้าพาดผ่านฟาดลงตรงกลางเขา ทำเอาคนทั้งสองที่ยืนเถียงกันอยู่สะดุ้งตกใจ ไม่ทันได้ตั้งตัว สายฟ้าอีกระลอกก็ฟาดผ่าลงมาอีกครั้ง ลมกรรโชกแรงหอบพัดเอากิ่งไม้ที่หักโค่นมาด้วย กิ่งไม้ขนาดใหญ่ปลิวมาในรัศมีตรงจุดที่     ชยางกูรยืนอยู่พอดี เป็นภาคภูมิที่ทันเห็น ตาเรียวรีเบิกกว้าง วินาทีนั้นหมอหนุ่มวาดวงแขนรั้งรอบกายคนตัวสูงให้เข้ามาด้านใน หลบอันตรายได้อย่างหวุดหวิด แต่ด้วยน้ำหนักอีกฝ่ายที่มีมากกว่าทำให้ร่างสองร่างเซล้มลงกับพื้น โดยคนสูงใหญ่คร่อมทับอยู่ด้านบน    “เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ! เจ็บตรงไหนไหม?” หมอหนุ่มตื่นตระหนก กวาดตาสำรวจหาบาดแผลบนร่างของอีกฝ่าย “ไปทำอะไรมามอมแมมไปหมดเลย” “หกล้ม” “เพราะคุณเมามากไง แถมฝนตก ถนนก็เลยลื่น ไปอาบน้ำเถอะคุณ ไหนๆ ก็มาแล้ว นอนพักผ่อนซะที่นี่แหละ” “อืม” “อืมแล้วก็ลุกสิครับ ผมหนัก” “แล้วคุณล่ะ?” “......” “......” “ผมทำไม?” “ทำไมไม่กลับบ้าน” คำถามของคนเมาเพียงประโยคเดียวทำหัวใจกวัดแกว่งราวกับกำลังนั่งอยู่บนเรือไวกิ้ง ถามเหมือนห่วงหา... “ผมบอกคุณไปแล้ว ว่าต่อจากนี้ผมจะย้ายมาอยู่กับทานตะวันที่นี่ คุณจะได้อยู่บ้านหลังนั้นคนเดียวสบายๆ ไม่ต้องเห็นผมขัดหูขัดตา ข้าวของในบ้านสำคัญทั้งนั้น ผมไม่อยากเป็นตัวปัญหา” หัวคิ้วชยางกูรกระตุก เมื่อถูกคนตัวบางยอกย้อน เอาเรื่องเมื่อเช้าและเรื่องในวันวานที่เขาเคยบริภาษใส่ขึ้นมาพูด นั่นทำให้เขาอึกอักอยู่ในที ก่อนจงใจ    เปลี่ยนเรื่อง “ตัวคุณเปื้อนแล้ว อาบน้ำพร้อมกันซะเลยสิ” “ห้ะ? อะไรนะ?” ภาคภูมิเบิกตา เมื่อกี้เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม หมาบ้า...ชวนอาบน้ำด้วยกัน? ทว่าคำพูดชวนมึนงงที่หลุดออกมาจากปากอีกฝ่ายยังสร้างความตกใจได้ไม่เท่าสายตาโลมเลียที่เริ่มซุกซน คนเมาหลุบตามองคอเสื้อยืดของภาคภูมิที่กว้างเสียจนเผยไปถึงร่องอกขาว ไม่รู้ทำไมมองเพียงแค่นี้ อารมณ์ก็พุ่งพล่านไม่เป็นตัวของตัวเอง ดูที่ตาแต่กลับเกิดอารมณ์ที่... ความร้อนวูบวาบกระสันสัมผัสทางกายเกิดขึ้นอย่างง่ายดายราวกับเชื้อเพลิงใกล้ไฟ แผ่นอกว่าที่สถาปนิกหนุ่มร้อน วามไหวไปถึงโคนขา แม่งเหล้าห่านั่นโคตรแรง... คนใต้ร่างมองตามสายตาอีกฝ่าย พอรู้ว่าจุดสนใจอยู่ตรงหน้าอกของตัวเองที่โผล่วับๆ แวมๆ ซ้ำยังรู้สึกได้ถึงความแข็งขืนดุนดันตรงหน้าขาอีก เขารีบขืนกาย ผลักชายหนุ่มร่างยักษ์ออกจากตัวทันที ภาคภูมิรีบลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางประดักประเดิด “ผมจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปนอน คุณจะทำอะไรก็เชิญ” พูดเพียงแค่นั้น ก็รีบเดินหนีหายเข้าไปในห้องนอน ทิ้งให้คนเมาจัดการตัวเองเพียงลำพัง ชยางกูรพรูลมหายใจ ใช้มือถูไถนวดคลึงหนักๆ ใบหน้าหวังบรรเทา     ความต้องการบางอย่าง และขจัดความมึนเมาออกไปจากความรู้สึก เขารีบเข้าไปอาบน้ำ เผื่อน้ำเย็นจะช่วยทำให้จิตใจและอะไรๆ สงบลงได้บ้าง ซึ่งมันดูเหมือนจะได้ผลค่อนข้างดี เพราะหลังใช้น้ำเย็นประโคมใส่ผิวกายแล้ว เขาก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ความกระสันในส่วนลึกทุเลาลงไปมาก พอแล้วเสร็จก็เดินเข้าไปในห้องนอน นัยน์ตาคมดุดันเห็นร่างสองร่างนอนร่วมกันบนเตียงเล็ก บรรยากาศฝนตกหนักอย่างนี้ สร้างความหนาวเหน็บให้ไม่น้อย คนเพิ่งอาบน้ำเสร็จจึงก้าวขึ้นเตียงฝั่งที่หลานชายนอนอยู่ ก่อนซุกตัวเข้าไปในผ้าห่ม “เหม็นเหล้า แล้วก็อย่าเบียดสิคุณ เดี๋ยวทานตะวันนอนไม่สบาย” ภาคภูมิที่ยังนอนไม่หลับเอ่ยขึ้น ผงกหัวขึ้นมาปรามใส่ “ไม่เห็นเป็นไร หลานผมหลับไปแล้ว” “ถ้าเขาตื่นมาเพราะกลิ่นคุณแล้วเขานอนไม่หลับจะทำยังไง อีกอย่างเตียงก็เล็กแค่นี้ เบียดมาได้ เดี๋ยวเขาก็อึดอัดหรอก” “ทีคุณยังนอนสบายๆ กับหลานผมได้เลย หรือจริงๆ แล้ว คุณแค่อยากเอาชนะใจเด็กเพราะอยากแทนที่แม่มันกันล่ะ?” ภาคภูมินิ่งอึ้ง มองคนนอนฝั่งตรงข้ามทำตัวเหมือนเด็กๆ แม้กระทั่งตอนเมา ชยางกูรก็ยังมีอคติใส่เขาไม่เลิก สุดท้ายทนไม่ไหว จึงลุกออกจากเตียง คว้าหมอน คว้าผ้าห่ม มาปูฟูกที่ด้านล่าง แล้วทิ้งตัวนอนโดยหันหลังให้เตียงเล็ก “ทำไม? แค่นี้ทนฟังไม่ได้หรือไง หรือมันแทงใจดำจนเถียงไม่ออก?” “หยุดพูดได้แล้วคุณ เดี๋ยวทานตะวันก็ตื่นหรอก อยากให้เขาตื่นมาเห็นสภาพน้าตัวเองเมาเละเทะเหมือนหมาบ้าหรือไง” คนตัวบางเค้นเสียงเบาจนกลายเป็นการกระซิบกระซาบ ชยางกูรเงียบคำหลังจากนั้น ลอบมองแผ่นหลังบางไม่วางตา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบและหายใจอย่างสม่ำเสมอ จึงยอมสงบศึกด้วยความง่วงงุนอันมากล้น  สุดท้ายยื่นหน้าเข้าไปใกล้หลานชาย แล้วหอมแก้มนุ่ม ก่อนจะผล็อยหลับไปบ้าง ค่อนคืนที่ผันผ่าน... ดูเหมือนว่าที่สถาปนิกหนุ่มจะโดนเหล้าพื้นบ้านเล่นงาน ชายหนุ่มตื่นขึ้นมากลางคันเพราะรู้สึกผะอืดผะอมเป็นอย่างมาก จึงวิ่งไปอ้วกในห้องน้ำ อาการแปลกประหลาดไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เพราะความรู้สึกที่คิดว่าหายไปพร้อมกับสายน้ำเย็นตอนอาบน้ำ กลับฟื้นคืนมาดังเดิม พยานหลักฐานที่ปรากฏคือส่วนสำคัญแสดงความเป็นชายมันแข็งขืน ผงาดตั้งแทบทะลุกางเกงนอน ชายหนุ่มหน้าแดงก่ำ ก้มลงมองส่วนสำคัญกลางกายของตัวเอง หลังปล่อยเหล้ากลิ่นเหม็นและกับแกล้มเมื่อหัวค่ำลงชักโครก เป็นไงล่ะ โดนรับน้องด้วยเหล้าสูตรเด็ด “ไอ้เก่ง” เขาสบถเพียงแค่นั้นก็พูดต่อไม่ได้ เพราะความปั่นป่วนมวนท้องเล่นงานอีกระลอก ชายหนุ่มโก่งคอลงชักโครก พ่นของเหลวออกมาราวกับน้ำป่าไหลหลากอีกครั้ง “คุณชะ!” ภาคภูมิที่หลับไปนานแล้วเพิ่งหาต้นตอของเสียงคนอ้วกเจอ เขาทำท่าจะเดินเข้ามาใกล้ ทว่าชยางกูรกลับยกมือห้ามไว้ “อย่าเข้ามา!” “คุณเป็นอะไร?” “ผมแค่ดื่มหนักไปหน่อย...โอ้ก!” “ไหวไหมคุณ เนี่ย...ละบอกให้คนอื่นดูแลตัวเอง โรงพยาบาลไม่ใช่ใกล้ๆ เป็นอะไรขึ้นมาใครจะรักษาให้ ทีตัวเองล่ะเป็นหนักกว่าคนอื่นเลย” หมอหนุ่มได้ทีจึงย้อนกลับ แต่ก็ยังรีบเอื้อมมือไปลูบหลังให้ “ออกไป” “ให้ผมช่วยนะ เดี๋ยวผมลูบหลังไล่ลมให้” “ออกไปก่อน” “ไหวเหรอคุณ หน้าแดงขนาดนี้” ภาคภูมิไม่แน่ใจเลยถามด้วยเป็นห่วง ยิ่งเห็นชยางกูรทรุดเข่า เอาหน้าจ่อโถชักโครกแล้วยิ่งเป็นกังวล “ผมบอกให้ออกไป...” คนดุดันกัดฟันบอกอีกครั้ง ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ให้ความร่วมมือ ภาคภูมิยังคงดื้อด้านจะช่วยเขาให้ได้ ที่สุดแล้วชายหนุ่มก็หมดความอดทน หลังถูกอีกฝ่ายลูบหลังให้อีกไม่กี่ครั้ง แค่สัมผัสจากฝ่ามืออุ่น กลับเร้าอารมณ์ไปถึงแกนอก เขาตะครุบข้อแขนภาคภูมิ   ก่อนกระชากให้เข้าหา คนไม่ทันตั้งตัวซวนเซกระแทกแผ่นอกเข้าอย่างจัง วินาทีนั้นภาคภูมิเบิกตาโตแทบถลน เมื่อเบื้องล่างสัมผัสเข้ากับสิ่งแปลกปลอมที่ทิ่มแทงใส่ท้องน้อยของตัวเอง...ซึ่งใกล้จุดสงวนเพียงนิดเดียวเท่านั้น “เมื่อกี้บอกจะช่วยใช่ไหม?” คนตัวสูงเค้นเสียงต่ำ หน้าแดงก่ำลามไปถึงลำคอ เขาพูดพร้อมกับพรูลมหายใจร้อนรดใส่อีกฝ่าย “ผ...ผม หมายถึงลูบหลังให้คุณ” “ลูบอย่างอื่นจะช่วยได้มากกว่า” ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง และอารมณ์ที่อัดอั้นจนกลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ มือแกร่งบีบกระชับที่ข้อแขนจิตแพทย์หนุ่มที่เสนอตัวไม่รู้จักเวล่ำเวลา ก่อนจับเลื่อนมาใกล้เป้ากางเกง “ทุเรศ!” ภาคภูมิตกตะลึงชักมือกลับแล้วรีบวิ่งหนีไปทันที เมื่ออีกคนจากไป ชยางกูรถอนหายใจไล่ลมร้อน ความผะอืดผะอมขมปร่าในคอเริ่มจางหาย หลงเหลือเพียงความคับแน่นที่ต้องได้รับการปลดปล่อย สุดท้ายแล้วจำต้องช่วยตัวเองเพื่อให้หลุดพ้นช่วงเวลาแห่งความทรมาน มือแกร่งจับสัมผัสแกนกายที่แข็งขึง ก่อนจะเริ่มขยับเขยื้อนดึงเข้าชักออกไปตามจังหวะกระสัน ความเสียวซ่านแล่นริ้วไปทั่วร่าง ส่งผลให้นิ้วเท้าหยักจิกพื้นกระเบื้องเย็นเยียบ ชายหนุ่มหลับตาพลางส่งเสียงครางต่ำในลำคอ ทุกช่วงขณะที่ดำเนินไป สมองก็วาดฝันนึกไปถึงคนที่อยู่ไกลถึงเชียงราย คิดถึงเพื่อนรัก...ที่เขาคิดไม่ซื่อ คิดถึงเรื่องบนเตียงที่ความจริงมันไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้ง เขากำลังหลงใหลมัวเมาอยู่กับรสสัมผัสจากฝ่ามือ พร้อมกับจินตนาการจังหวะร้อนร่วมกับสุดที่รักไปด้วย เขารู้ว่ามันสกปรก แต่ความทรมานที่เกิดขึ้น มันกำลังทำลายความผิดชอบชั่วดีไปจนหมดสิ้น ผู้ชายนามว่าชยางกูรเป็นคนดุดันทั้งเวลาปกติและรสรักบนเตียง แต่ตอนนี้ความดุดันที่เคยมี กลับไม่เพียงพอ ชายหนุ่มจึงเร่งเร้าใส่แรงมือ บีบกระชับแกนกายอันใหญ่โต ทั้งรัว ทั้งเร็ว ให้มันเสียดสีด้วยความรุนแรง สุดท้ายเมื่อใกล้ไปถึงจุดสูงสุด เขายกมือข้างที่ว่างค้ำยันผนังห้องน้ำ ก้มหน้ากัดริมฝีปาก มืออีกข้างก็ชักรัวเร็วเพื่อเตรียมปลดปล่อย “อึก!” จุดสุดยอดแล่นฉีดมาถึงปลายทางแล้ว ทว่าวินาทีนั้นสุดที่รักในภาพฝัน กลับถูกแทนที่ด้วยใบหน้าจิ้มลิ้มของใครอีกคน คนที่เขาเพิ่งจะไล่ออกไปเมื่อครู่ ภาพจินตนาการแปรเปลี่ยนเป็นฉากหวานบนเตียงนุ่ม ในขณะที่เขากกกอดอีกฝ่าย นอนหลับใหลไม่รู้ตื่น ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็หลับตาพริ้มในอ้อมกอด ก่อนจะเอื้อมมือมาด้านหลัง ลูบไล้ท้ายทอยของเขาอย่างเอ็นดู เพราะทุกเช้าของผู้ชายดิบ ความรู้สึกทางเพศมักตื่นตัวอยู่เสมอ เลยหยัดสะโพกใส่คนในอ้อมกอดไปตามสัญชาตญาณ ทำไมต้องรู้สึกดีกับรสสัมผัสนั้น ทำไมตอนนี้ถึงอยากหยัดสะโพกเข้าไปใน... คนเถื่อนหน้าแดงก่ำสบถใส่ความคิดอันสับสน นึกภาพภาคภูมิเปลือยกายให้เขารังแก เพียงแค่ไม่กี่วินาที ร่างทั้งร่างก็กระตุกเกร็ง ความกระสันถูกปลดปล่อยออกมาจากส่วนปลาย ฉีดพ่นของเหลวสีขาวขุ่นเลอะเปรอะเต็มมือ บางส่วนลามไปถึงชักโครก นานทีเดียวกว่าลมหายใจหอบถี่จะคลี่คลาย ก่อนอารมณ์ค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพปกติ  เมื่อเจ้าของร่างอันแข็งแรงรีดคั้นอารมณ์ที่ไม่เคยปลดปล่อยมานานเสร็จ ก็รีบจัดการทำความสะอาดทั้งตัวเอง และห้องน้ำ ใช้เวลาหลายนาที กว่าจะกลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้ง ฟุ่บ... จู่ๆ คนนอนหลับตาและยังไม่เข้าสู่ห้วงภวังค์ดีก็มีอันต้องสะดุ้ง เมื่อร่างสูงใหญ่ของคนทำตัวกักขฬะใส่เมื่อครู่ นอนลงข้างกาย เขาลืมตาโพรง ตวัดกายกลับไปเผชิญหน้า “มานอนทำไมตรงนี้ครับ?” คำถามแฝงมาด้วยความตื่นตระหนก ชยางกูรต้องละเมอแน่ๆ “กลัวหลานตื่น” “...ถ้างั้นผมให้คุณนอนตรงนี้ เดี๋ยวผมจะขึ้นไปนอนกับทานตะวัน” ภาคภูมิทำท่าจะลุก ทว่ากลับถูกมือแกร่งรั้งให้นอนลงที่เดิม สัมผัสจากฝ่ามือร้อนทำให้     หมอหนุ่มชะงัก ไวกว่าความคิด เป็นภาคภูมิที่เอื้อมมืออีกข้างไปแตะอังที่ลำคออีกฝ่าย “คุณตัวร้อนจี๋เลย” นัยน์ตาสะท้อนความไม่สบายใจสำรวจตรวจตราทั่วใบหน้าคนเมา “แต่ผมหนาว” ชายหนุ่มเอ่ยบอกอย่างหมดมาด เรี่ยวแรงเหือดหาย เปลือกตาหนักอึ้งจนไม่สามารถลืมขึ้นได้ ความเย็นของอากาศกำลังกัดกินเขาทั่วสรรพางค์กาย สุดความอดทนถึงกับยกแขนขึ้นมากอดตัวเอง เห็นท่าไม่ดี คนเป็นหมอถึงกับผุดลุกขึ้นนั่ง ชยางกูรเวลานี้กับเมื่อไม่กี่นาทีก่อนค่อนข้างแตกต่าง ตอนอยู่ในห้องน้ำยังพูดดี ทำตัวข่มเขาอยู่เลย แต่มาตอนนี้กลับนอนตะแคง ตัวงองุ้ม ปากสั่น หลับตาแน่น แน่นอนว่าอาการเหล่านี้ คนเป็นหมอวินิจฉัยในเบื้องต้นได้ทันที ด้วยอากาศที่แปรปรวน อีกทั้งยังดื่มเหล้าเข้าไปมาก คนตรงหน้าคงกำลังถูกพิษไข้รุมเร้าเป็นแน่ ภาคภูมิมองคนตัวสั่นก่อนรีบลุกไปจัดการหาผ้าชุบน้ำอุ่นมาเช็ดหน้า เช็ดตัวให้ เสร็จแล้วก็ออกไปหาผงเกลือแร่ในกล่องปฐมพยาบาล ผสมเข้ากับน้ำ แล้วนำมาป้อน ชยางกูรดูเหมือนไม่อยากตื่นแต่ก็ยังยอมฝืนลุกมาดื่มจนพร่อง “โอเคขึ้นไหม?” คุณหมอกระซิบถาม ด้วยกลัวว่าเด็กน้อยบนเตียงจะตื่น ชยางกูรผงกศีรษะ ก่อนเอนกายนอนลงที่เดิม “อีกสองสามชั่วโมงถ้าอาการไม่ดีขึ้น เราต้องไปสถานีอนามัยแล้วล่ะ ถ้ารู้สึกแย่ พะอืดพะอม รีบบอกผมนะครับ ผมจะรีบพาคุณไป” พูดจบก็ดึงผ้าห่มมาคลุมให้ แล้วตั้งท่าจะลุกไปนอนบนเตียง ทว่าวินาทีนั้น กลับถูกชยางกูรรั้งเอาไว้ “ผมหนาว” เป็นอีกครั้งที่คนดุดันเอ่ยบอกว่าหนาว ลองผู้ชายร่างสูงใหญ่แข็งแรงกำยำสารภาพอย่างหมดมาดแบบนี้ นั่นคงแปลว่าเขาสุดจะทนจริงๆ ยิ่งกับคนเหมือนเกลียดกันตั้งแต่ชาติปางก่อนด้วย การมาพูดอะไรที่ทำให้เสียหน้านั้นคงไม่มีทาง ภาคภูมิลุกไปเอาผ้าห่มสองสามผืนออกจากตู้แล้วห่มให้ชยางกูร แต่เจ้าตัวก็ยังไม่หายหนาว หมอตัวบางไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายจึงนึกเอาจากความรู้สึกของตัวเอง เวลาคนเราเจออากาศหนาว อวัยวะสองอย่างแรกที่จะไวต่อการรับรู้คือมือและเท้า หากทำสองอย่างนี้ให้อบอุ่นเข้าไว้ ส่วนอื่นก็คล้อยจะอบอุ่นตามไปด้วย มือสองข้างของชยางกูรอยู่ในผ้าห่มแล้ว เหลือแต่ปลายเท้าที่ยังหมิ่นเหม่โผล่พ้นออกมา เขาขยับไปนั่งใกล้ๆ ก่อนใช้มืออุ่นของตัวเองจับเท้าของอีกฝ่ายแล้วนวดไล่เลือดให้เบาๆ “ดีขึ้นไหมครั...” คำถามไม่ทันได้ถูกเอ่ยให้จบ กลับถูกเจ้าของเท้ากระชากข้อมือให้หยุดการกระทำ ร่างภาคภูมิลอยหวือกลับขึ้นไปเผชิญกับชยางกูรที่ลุกขึ้นนั่ง จ้องตาเขาไม่กะพริบ “อย่าทำดีกับผม”  “ทำไม...” ภาคภูมิขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจในสิ่งที่ชยางกูรพูด “คุณเกลียดผมถึงขนาดที่รับสิ่งที่ผมทำให้ไม่ได้เลยเหรอ?” “......” “หรือกลัวจะเป็นบุญคุณที่ต้องทดแทน อย่างนั้นเหรอครับ?” “เพราะผมไม่รู้ว่าคุณดีจริงหรือว่าแกล้งดีต่างหากล่ะ ถึงแม้ว่าตอนนี้คุณจะซื้อใจหลานผมได้ แต่ผมจะไม่ยอมให้คุณมาซื้อใจพี่ภพหรือว่าผมได้” “นี่คุณเป็นบ้าอะไรกันแน่? ผมไม่เคยคิดซื้อใจใคร” ภาคภูมิกระชากเสียงใส่ หากแต่ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่ดังมาก “ผมถูกคุณด่าปาวๆ ตั้งแต่มาถึงที่นี่ คิดว่าผม  ไม่โกรธ ไม่แค้นคุณหรือไง ผมไม่ใช่พ่อพระขนาดนั้นนะ แต่ผมเห็นคุณไม่สบาย จะให้ผมทนดูดายได้ยังไง ที่ผมช่วย มันก็ในฐานะมนุษย์ร่วมโลกที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก็เท่านั้น” หมอหนุ่มระบายอารมณ์ร้อนใส่คนเมา เพราะความอดทนมาจนถึงขีดสุด ทว่าก็เป็นวินาทีเดียวกับที่ใครอีกคนหมดความอดทนเช่นเดียวกัน ด้วยกลัวว่า      บทสนทนาโต้เถียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จะไปรบกวนการนอนของหลานชาย คนตัวสูงรีบเอื้อมมือปิดปากจิ้มลิ้ม พร้อมกับรั้งอีกฝ่ายเข้าอ้อมแขน ก่อนจะกดให้นอนลงกับพื้น “มีคนแค่สองคนบนโลกที่ผมรักหมดหัวใจและให้ใจของผมไปโดยที่เขาไม่ต้องซื้อ หนึ่งสุดที่รัก และสองของขวัญ ผมจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำให้พวกเขาเสียใจ ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม แต่เท่าที่ผมดู และสัญชาตญาณของผมมันก็บอกไม่ผิดแน่ อีกไม่นานคุณจะเป็นคนทำให้เธอเสียใจ” “คนตายไปแล้ว เสียใจได้ด้วยเหรอครับ?” คนอยู่ต่างหากที่จะเสียใจ... “อย่ายุ่งกับพี่ภพ อย่าทำให้เขาไขว้เขว ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย คุณก็ไม่มีสิทธิ์ แต่ถ้าคุณฝ่าฝืนล่ะก็...” “......” “ต่อให้ผมต้องเอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วกับวัฏจักรชั้นล่างอย่างคุณ เพื่อปกป้องความรักของพวกเขา...ผมก็จะทำ เริ่มจากตอนนี้เลยเป็นไง” คนปรามาสเย้ยหยันเสร็จก็ตวัดกายนอนเคียงข้างอีกฝ่าย รัดรั้งวงแขนให้ร่างบางเข้ามาติดชิดแนบอก ภาคภูมิทำหน้ายุ่ง ขืนกายหากแต่ไม่อาจหลุดพ้น สุดท้ายได้แต่เงยหน้ามองชยางกูรอย่างจนหนทาง ริมฝีปากเม้มแน่น จดจ้องวงหน้าดุดันที่บัดนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดพราว “สักวันคุณจะต้องเสียใจกับคำพูดของตัวเอง” “......” “การมาครั้งนี้ของผมเป็นความบริสุทธิ์ใจ มันคือความจริง” ภาคภูมิบอกเสียงเบาอยู่ในอ้อมอกของชยางกูร แต่คนฟังไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ชายหนุ่มหลับตาเพิกเฉย หากแต่ยังคงกอดรัดอีกฝ่ายที่ตัวอุ่นกำลังดี อาการป่วยรุมเร้าหนักขึ้น จึงไม่อยากโต้เถียงอีกแล้ว เขาตอบไปส่งๆ ก่อนหลุดเข้าสู่ห้วงนิทรา “วันไหนที่ความจริงของคุณถูกพิสูจน์ว่ามันจริง วันนั้นผมจะกราบขอโทษแทบเท้าคุณ” สัญชาตญาณของว่าที่สถาปนิกหนุ่มไม่เคยผิด นั่นคือเรื่องจริง และความสัตย์จริงของจิตแพทย์ที่เอ่ยในวันนี้ มันก็เป็นความจริงเช่นเดียวกัน... เพียงแต่ถูกอคติและทิฐิบดบังเท่านั้นเอง 
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม