ตอนที่ 7.3

3722 คำ
ภาคภูมิหันมายิ้มให้ทานตะวัน ก่อนจะพากันกลับเข้าไปในบ้าน ให้อาบน้ำอีกรอบ แล้วพาเข้านอนเหมือนอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน ตอนนอนเด็กชายกลัวภาคภูมิจะหาย เลยนอนจ้องอีกฝ่ายที่นั่งพิงหัวเตียงไม่ยอมละสายตา หมอหนุ่มหัวเราะ พลางลูบเรือนผมด้วยความเอ็นดู สุดท้ายจุมพิตที่หน้าผาก ก่อนบอกฝันดีและสัญญาว่าจะไปไหน ไม่นานเด็กน้อยก็ทนความเพลียไม่ไหว จึงหลุดเข้าสู่ห้วงนิทราไปในที่สุด เมื่อเด็กชายหลับสนิทไปแล้ว คนเป็นหมอจึงค่อยๆ ลุกออกจากเตียงเพื่อลงไปช่วยหน่องเก็บข้าวของที่สนามหญ้า ใช้เวลาไม่นานก็ใกล้แล้วเสร็จ “คุณชะมีแฟนเหรอคะ คุยโทรศัพท์เป็นชั่วโมงแล้ว ดูท่ามีความสุขน่าดูเลย ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่” หน่องเอ่ยขึ้นพลางทอดมองไปยังร่างสูงที่ยืนคุยโทรศัพท์ตรงริมชายหาด ภาคภูมิชะงักมือที่กำลังเช็ดถูโต๊ะอาหาร จากที่ทำทีเป็นไม่สนใจ สุดท้ายก็อดลอบมองแผ่นหลังกว้างตามคำเล่าของหน่องไม่ได้ ชยางกูรตอนนี้ดูมีความสุขมากจริงๆ ท่าทางผ่อนคลาย หัวเราะบ้างเป็นบางครั้งขณะคุยกับคนปลายสาย ดูก็รู้แล้วว่ารู้สึกดีมากแค่ไหนที่อีกฝ่ายติดต่อมา คุณสุดที่รักมีผลต่อความรู้สึกและหัวใจของหมาบ้าจริงๆ แหละ “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมว่าจะไปเดินเล่นสักหน่อย คุณหน่องเองก็กลับไปพักผ่อนได้แล้วนะครับ ดึกแล้ว พักผ่อนน้อยเดี๋ยวจะไม่สบายเอา” พูดจบก็ยิ้มจางให้ แล้วเดินลัดเลาะลงไปยังชายหาดเพียงลำพังทันที ปล่อยให้หน่องมองตามด้วย  ความงุนงง “คุณชะมีความสุข แต่ทำไมคุณหมอถึงดูเศร้าจังนะ เอ๊ะ...หรือว่ารักสามเศร้า! อุ๊ยตายแล้ว!” หน่องสันนิษฐานไปเรื่อยเปื่อย มองคนสองคนสลับไปมา ก่อนใบหน้าจะฉาดฉายเต็มเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ดูท่าตั้งแต่นี้จะมีเรื่องให้ได้สอดส่องเสียแล้วสิ จะใช่หรือไม่ใช่ ยังไงก็ขอตามดูไว้ก่อนก็แล้วกัน  พอมาถึงริมชายหาดภาคภูมิก็เดินทอดน่อง กอดอก ฝ่าลมทะเลไปตามทางซึ่งเป็นทางตรงข้ามกับที่ชยางกูรยืนอยู่ จิตใจคนเป็นหมอล่องลอยจับจุดไม่ได้ ใต้แผ่นอกรู้สึกวูบโหวงแปลกๆ เมื่อเห็นภาพอีกฝ่ายหมดความสนใจต่อกันเพียงเพราะคนของหัวใจติดต่อมา “โอ๊ย! แล้วจะไปน้อยใจอะไรเขาล่ะเนี่ย เป็นอะไรกันก็ไม่ใช่ เขาเกลียดเราเข้าไส้ ไม่สนใจเรามันก็ถูกแล้ว กล้าคิดเนอะว่าเขาจะเป็นห่วง จริงๆ ที่ไม่อยากให้ไป ก็คงเพราะแค่อยากให้ดูแลหลานเขาเท่านั้นแหละ” หมอหนุ่มปรามตัวเอง พร้อมกับเกาศีรษะหวังขจัดความว้าวุ่นที่เกิดขึ้นในห้วงอารมณ์ ทำไมเขาต้องรู้สึกมากมายขนาดนี้กับชยางกูรด้วย ทว่าคิดไปก็รังแต่จะทำให้หัวใจวุ่นวาย ในเมื่อความรู้สึกเบื้องลึกที่มีต่ออีกฝ่าย เขาไม่คิดที่จะเปิดเผยมันออกมา แถมเขาก็ใช่จะแน่ใจว่ามันเป็นความรู้สึกแบบไหน บางที...มันอาจเป็นเพียงความอ้างว้างที่เป็นผลพวงมาจากการกระทำของอดีตคนรักที่ทำให้คนเหงาอย่างเขา รู้สึกดีกับชยางกูรได้ถึงขนาดนี้ อีกทั้งชยางกูรมีแต่ความรังเกียจเดียดฉันท์ให้กัน แถมยังมีคนของหัวใจเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แล้วอย่างนี้เขาจะน้อยอกน้อยใจ เป็นกังวลใจไปทำไมกัน ยังไงเราสองคนก็คงไม่มีวันลงเอยไปในทางนั้นหรอก เลิกคิดได้แล้วภาคภูมิ! คนตัวขาวขจัดความคิดบ้าๆ ออกจากหัว ถอนหายใจปลดปล่อยความหงุดหงิด ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับบรรยากาศเบื้องหน้า เวลานี้ดึกดื่น   มืดค่ำ ท้องฟ้าและทะเลถูกขับด้วยแสงดาวอย่างสวยงามให้อารมณ์ต่างจากตอนกลางวัน หันหลังกลับไปก็ตกใจเล็กน้อยเมื่อค้นพบว่าตัวเองเดินใจลอยมาได้ไกลจนตัวบ้านเหลือเล็กนิดเดียว บริเวณตรงนี้เหมือนจะสุดชายหาด ถัดไปอีกหน่อยก็เริ่มเป็นโขดหินน้อยใหญ่บดบังอีกหาดหนึ่งแล้ว เขาเพิ่งมาใหม่ก็เพิ่งได้รู้ว่าตรงนี้บรรยากาศดีเงียบสงบเป็นส่วนตัวอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่มา คนเป็นหมอเหมือนเพิ่งได้พักผ่อนหย่อนใจจริงๆ ก็ตอนนี้ ลมทะเลปะทะกับร่างกายพร้อมกับได้ใช้สายตาทอดมองทัศนียภาพที่ธรรมชาติรังสรรค์แล้วก็ทำให้จิตใจผ่อนคลายสงบลงไปได้เยอะ ทว่าในจังหวะนั้นพลันมีแสงไฟแยงตาวิบวับออกมาจากโขดหินมุมหนึ่ง   มันเหมือนแสงจากไฟฉาย ภาคภูมิยกมือขึ้นมาป้อง ก่อนจะก้าวเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อเดินมาจนสุดขอบโขดหิน เขาเห็นการเคลื่อนไหวจากบุคคลสี่ห้าคน คนกลุ่มนั้นเป็นผู้ชายทั้งหมดซึ่งกำลังขะมักเขม้นกระทำการบางอย่าง สามคนยืนเรียงกันบนชายหาด สองมือส่งต่อกล่องไม้ลังขนาดใหญ่กันมาเรื่อยๆ ให้กับอีกสองคนซึ่งยืนรออยู่บนหัวเรือประมง “เร็วๆ เข้า ใกล้เวลาออกตรวจแล้ว” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้นมา ทำให้คนที่เหลือเร่งมือขนย้ายบางสิ่งกันเร็วขึ้น “ล็อตนี้เยอะจังนาย ดีจริงๆ คงได้เงินมาปิดหนี้แล้ว” “เออสิวะ รอบนี้หัวหน้าสั่งมาเยอะ ทางสะดวกเพราะคุณภพไม่อยู่นาน อย่าพูดมาก รีบขนขึ้นเรือให้เสร็จ จะได้รีบไป” ชื่อที่ชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทำเอาภาคภูมิชะงัก ให้ความสนใจกลุ่มคนพวกนี้มากขึ้น สมองประมวลผลไปตามบทสนทนา แม้จะยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่เขาก็มั่นใจว่าคนพวกนี้กำลังทำเรื่องไม่ดีแน่ๆ เหมือนกำลังขโมยอะไรบางอย่างที่ธนภพเป็นเจ้าของ ลังไม้พวกนั้นมีอะไรอยู่ข้างในกันแน่ เห็นท่าไม่ดี ภาคภูมิก็ยิ่งอยากรู้ อยากดูให้แน่ชัดว่าคนพวกนี้กำลังขนอะไร จึงก้าวเท้าข้ามผ่านโขดหินน้อยใหญ่เพื่อเข้าไปใกล้ให้ได้มากที่สุด หากแต่ก็ระวังตัวกลัวว่าฝ่ายนั้นจะเห็นเข้า จึงซ่อนกายหลบแสงไฟฉายที่คอยสาดไปมารอบๆ อยู่ตลอด ไม่นานกลุ่มชายร่างสูงกำยำขนถ่ายลังไม้ขึ้นเรือใกล้เสร็จ จิตแพทย์หนุ่มก็ยิ่งร้อนรนเพราะยังไม่รู้ว่าของสิ่งใดถูกขโมย ความกล้าบ้าบิ่นผลักดันให้ร่างบางขยับเข้าไปให้ใกล้มากที่สุด แล้วจังหวะนั้นเองดูเหมือนโชคจะเข้าข้าง เมื่อคนที่อยู่บนเรือรับกล่องลังใบสุดท้ายพลาด มันร่วงกระแทกพื้นน้ำ ฝากล่องเปิดออก สิ่งที่อยู่ภายในกระเด็นกระจัดกระจาย “ไอ้เหี้ยเอ๊ย! รีบเก็บสิวะ!” เมื่อถูกสั่ง คนพวกนั้นจึงกุลีกุจอเก็บของเหล่านั้นใส่คืนลัง เสี้ยววินาทีหนึ่งภาคภูมิถึงกับเบิกตาโต เมื่อเห็นว่ามันคืออะไร หอยมุก! เปลือกหอยขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือหลายสิบตัว แต่ละตัวมีเปลือกเงาวาววับหลายเฉดสี มีบางตัวที่เปิดอ้าออกเผยให้เห็นส่วนเนื้อด้านใน หากสังเกตใกล้กว่านี้อีกนิดคงได้เห็นไข่มุกที่ฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อ จำนวนหอยในหนึ่งลังมีมากเกินสิบตัวแน่ๆ หากคาดคะเนมูลค่าคงขายได้หลักแสนเกือบล้านเลยทีเดียว แล้วคนพวกนี้ไปเอามาจากไหน? แล้วใครเป็นเจ้าของ...หรือจะเป็นพี่ภพ!? ภาคภูมิร้อนรนเมื่อเห็นหอยมุกถูกเก็บไปเรียบร้อย พร้อมคนพวกนั้นที่ต่างพากันขึ้นเรือประมงเตรียมท่าจะหนี เขามาแค่คนเดียวจะไปสู้อะไรคนพวกนี้ได้กันล่ะ สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงการล้วงเอามือถือที่ชาร์จแบตแล้วของตัวเองขึ้นมาบันทึกภาพเหตุการณ์เอาไว้เป็นหลักฐาน แต่แล้วก็ไม่อาจทำได้ดังสมความตั้งใจ เมื่อโทรศัพท์เจ้ากรรมดันมีใครคนหนึ่งโทรเข้ามาราวกับรู้จังหวะ เสียงมือถือแผดจ้า ดึงความสนใจจากผู้ร้ายวัยฉกรรจ์ที่กำลังจะออกเรือ ภาคภูมิเหงื่อแตกพลั่ก รีบชักโทรศัพท์มาปิดเสียง “เฮ้ย!! ใครวะ!” “ฉิบหาย!” หมอหนุ่มสบถอย่างแตกตื่น ก่อนจะรีบวิ่งหลบเข้าไปในป่าด้านหลังอย่างไม่คิดชีวิต สองเท้าก้าวยาวลนลาน พร้อมกับเจ้าของร่างที่เหลียวหลังหันกลับไปมองเป็นระยะ แสงไฟฉายสาดส่องไปทั่วผืนป่าทำให้ภาคภูมิรู้ว่ากลุ่มคนพวกนั้นกำลังตามมาติดๆ คนไม่เคยเจอสถานการณ์อันตรายแบบนี้หัวใจร้อนผ่าว ตื่นตระหนกเกินกว่าจะควบคุมตัวเอง “ไอ้เหี้ย! มึงไม่รอดแน่!” ชายคนหนึ่งตะโกนไล่หลัง หมายมาดบอกเจตนารมณ์ว่าหากจับได้ ภาคภูมิต้องเจอกับอะไรบ้าง “เวร! ใครโทรมาวะเนี่ย” หมอหนุ่มร้องระงมเสียงสั่น วิ่งหลบซ้ายหลบขวา ย่อตัวไปตามพุ่มไม้ รองเท้าหลุดหายไปตั้งแต่อยู่ที่ชายหาดแล้ว สิ่งที่หลงเหลือเหยียบย่ำเศษหินดินเลนจึงมีเพียงเท้าอันเปลือยเปล่า ยิ่งวิ่งไปไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งถูกสิ่งเหล่านั้นบาดเท้าได้เลือดเต็มไปหมด จังหวะหนึ่งขณะที่วิ่งหนีไม่ทันระวัง เขาพลาดเหยียบกิ่งไม้ขนาดใหญ่ที่วางขวางทางเอาไว้จนล้มลงไม่เป็นท่า ข้อเท้าเจ็บแปลบไปข้างหนึ่งทำให้ลุกไม่ไหวไปชั่วขณะ “อูยยย” ใบหน้าเรียวเล็กนิ่วเหยเก เอื้อมมือไปคลำข้อเท้าข้างนั้น แค่แตะเพียงนิดเดียวก็เจ็บแล่นไปทั่วทั้งขา ลุกไม่ไหว...ต้องตายแน่ๆ เลย แต่ความตายมันน่ากลัวเกินไปสำหรับเขา อย่างน้อยๆ ถ้าจะตายก็ขอตายให้คนอื่นได้รับรู้ ไม่ใช่ต้องมาตายด้วยการโดนฆ่าหมกป่าชายเลนโดยไม่มีใครรู้เห็นอย่างนี้ จึงกัดฟันฝืนความเจ็บ รีบคลานหลบออกเส้นทางเดิม อย่างน้อยๆ ก็ให้พวกมันคาดเดายากขึ้นอีกหน่อย เสียงตะโกนร้องเรียกยังคงดังอยู่ตลอดเวลา ภาคภูมิใจคอไม่ดี อกสั่นขวัญแขวนอย่างถึงที่สุด บรรยากาศโรแมนติกเมื่อครู่หายไปหมด เหลือเพียงความน่ากลัวที่กำลังเผชิญ เขากลัวเหลือเกิน กลัวว่าคนร้ายพวกนั้นจะมาพบตัวเองเข้า มือบางกับขาอีกข้างรับน้ำหนักตัว ขยับเขยื้อนกายครูดไปตามดินเลนมุ่งสู่ตัวบ้าน แต่ระยะทางมันช่างไกลเกินกว่าจะคาดหวังว่าจะไปถึง ซ้ำยังมีเสียงตะโกนสบถด่าดังลั่นทั่วผืนป่าอีกที่ทำให้เขาเริ่มหมดกำลังใจ นาทีอันตราย พลันสมองกลับคิดถึงใครคนหนึ่ง คุณชะ...ชยางกูร ได้โปรดช่วยนึกถึงผมด้วยเถอะครับ รู้ว่าไม่สำคัญ ไม่ได้พิเศษอะไรสำหรับคุณ...แต่อย่างน้อยเราก็มีช่วงเวลาร่วมกันบนเกาะนี้ ได้โปรดเถอะ... ภาคภูมิหลับตาแน่น กอดมือถือเฝ้าภาวนาในใจ จังหวะนั้นเองมือถือเจ้ากรรมก็ดันมีสายเข้าอีกครั้ง แต่เพราะปิดเสียงไปเมื่อครู่ มันจึงมีเพียงอาการสั่นครืดและมีแสงสว่างวาบขึ้น ภาคภูมิใจหล่นไปถึงตาตุ่ม รีบจับมันมุดลงดินเลนทันที “เฮ้ย! ตรงนั้น!!” เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น ทำให้หมอหนุ่มสะดุ้งสุดตัว ด้วยคิดว่าแสงจากมือถือทำให้ถูกจับได้ จึงรีบคลานไปตามทางอีกครั้ง ทว่าจังหวะเดียวกันนั้น กลับมีร่างใครอีกคนกระชากตัวรั้งภาคภูมิให้มาที่เนินดินจุดอับแสง ด้วยความมืดและความเร็ว ทำให้คนทั้งคู่หลุดรอดพ้นจากสายตากลุ่มคนพวกนั้นได้อย่างเฉียดฉิว ร่างสูงใหญ่ทาบทับกอดหมอหนุ่มเอาไว้แน่น จู่ๆ ภาคภูมิก็น้ำตาคลอเบ้า จ้องดวงหน้าดุดันด้วยแววตาสั่นระริก ชยางกูร!! เป็นชยางกูร... ชายหนุ่มเอาตัวกดทับร่างบาง พร้อมเอามือปิดปากไม่ให้ส่งเสียง นัยน์ตา  คุกรุ่นสบมองคนใต้ร่างไม่ต่างกัน เสี้ยววินาทีนั้นลำแสงจากไฟฉายก็สาดมาทางนี้   ทำให้ชยางกูรต้องรีบหลุบตัวต่ำ เอาหน้าซุกซอกคอภาคภูมิ เพื่อลดพื้นที่ระหว่างกัน เนื่องจากเนินดินไม่ได้สูงมากพอให้คนสองคนหลบเร้นซ่อนกายให้พ้นได้หมด ลมหายใจร้อนและเสียงกระซิบแผ่วรดท่วมซอกคอขาว “เงียบ” ภาคภูมิหลับตาแน่น น้ำตาเล็ดออกจากปลายหางตา หายใจหอบถี่อยู่ใต้อาณัติชยางกูร “หายไปไหนแล้ววะ!” เสียงหนึ่งดังอยู่ไม่ไกล “กูว่ารีบไปเถอะว่ะ เดี๋ยวไอ้เวรยามมาตรวจจะซวยเอา” “อย่าให้พวกกูเจออีกนะมึง!” ใครคนหนึ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิด ก่อนคนทั้งหมดจะพากันวิ่งกลับไปขึ้นเรือ แล้วออกตัวหายไปในท้องทะเลกว้าง ได้ยินเสียงเรือค่อยๆ เลือนหาย ชยางกูรจึงค่อยๆ ชะเง้อคอขึ้นไปมองเพื่อพิสูจน์ เมื่อเห็นว่ารอบบริเวณไม่มีใครแล้ว เขาจึงหันมาจัดการกับคนใต้ร่างทันที “มาทำอะไรตรงนี้ เกิดอะไรขึ้น!” “คุณชะ...” “ถ้าผมไม่มาคุณจะเป็นยังไง ห้ะ!” “ผม...ผมขอบคุณคุณมาก ถ...ถ้าไม่ได้คุณ ผม...ผม” คนช่างพูดและร่าเริงตลอดมา เวลานี้กลับพูดไม่ได้ศัพท์เพราะหวาดกลัวจนสติเตลิด ชยางกูรถอดแว่นเปื้อนโคลนออกเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดขึ้น ทั้งสองสบตากันชั่วครู่ ความรู้สึกสื่อถึงกันได้อย่างน่าประหลาด เขารู้ว่าภาคภูมิกลัวมาก เห็นอย่างนั้นก็เกิดรู้สึกสงสารระคนเวทนา คว้าตัวอีกฝ่ายเข้ามากอดไว้เต็มวงแขน เมื่อถูกกอด ภาคภูมิก็อดรนทนสู้ความรู้สึกกลัวต่อไปไม่ไหว วาดวงแขนทั้งสองข้างกอดร่างสูงใหญ่เอาไว้แน่น ราวกับต้องการที่พึ่งทางจิตใจ “ผมคิดว่าคุณจะไม่นึกถึงผมซะแล้ว...” จมูกโด่งซุกลาดไหล่แกร่งแทบจมมิด ไม่คิดแม้สักกระผีกเดียวว่าชยางกูรจะมีใจนึกถึงกัน เพราะเขารู้ว่าตัวเองไม่มีความสำคัญในชีวิตชายหนุ่มอะไรขนาดนั้น   “คุณนี่มันตัวยุ่งจริงๆ เลย” ชายหนุ่มสบถบ่นด้วยสีหน้าเกรงขาม ทว่าลึกลงไปแล้ว หัวใจมั่นคงนั้นร้อนรนเสียยิ่งกว่าไฟเพลิงเสียอีก เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมภาคภูมิถึงคอยวนเวียนอยู่ในสมอง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็มีความสุขมากกับการที่สุดที่รักโทรมาหาเป็นครั้งแรกหลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตกันคนละที่อยู่ดีๆ คุยกันอยู่นาน และได้รับรู้เรื่องราวความเป็นไปในชีวิตของอีกฝ่าย บทสนทนาไม่มีอะไรเกินเลยออกมาจากปากสุดที่รัก แม้อีกฝ่ายจะบอกว่าเหงาหน่อยๆ ที่ต้องอยู่บนดอยที่เชียงราย เป็นเขาเสียอีกที่เอาแต่อ้อนวอนขอให้สุดที่รักทบทวนความรู้สึกของเขาที่มีให้อีกครั้ง คืนนี้เขาเกือบจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก หลังคนของหัวใจโทรมาแสดงตัวว่ายังไม่ลืมและอวยพรวันเกิดให้ ถ้าไม่มีใครอีกคนโผล่เข้ามาในความคิดในช่วงเวลาหนึ่ง นาทีที่สุดที่รักกำลังเล่าชีวิตบนดอยในฐานะครูฝึกสอนอยู่นั้น ไม่รู้อะไรที่ทำให้เขานึกถึงหมอหนุ่มตัวขาวคนนั้น จังหวะหนึ่งจึงเหลือบมองไปทางบ้านพัก หากแต่ไม่มีใครอยู่ นอกจากหน่องที่กำลังเก็บโต๊ะให้เข้าที่ และการที่ไม่เห็นอีกฝ่าย ยอมรับว่ามันรบกวนหัวใจเขานิดหน่อย เมื่อคนที่ทำให้เขาว้าวุ่นหายไปจากครรลองสายตา เขาจึงตัดสินใจขอวางสาย ทั้งๆ ที่      ปลายสายคือคนสำคัญอันดับหนึ่งของหัวใจ ก่อนวางสายจำได้ว่าอีกฝ่ายปิดท้ายด้วยการอวยพร “สุขสันต์วันเกิดนะ ขอให้นายเจอคนที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างนาย ไม่แน่ เขาอาจจะอยู่ใกล้ๆ นายตอนนี้ก็ได้นะ” “คงต้องเป็นคนที่ทนไม้ทนมือกูได้มากที่สุด” เขาไม่ได้อ่อนโยน ไม่เคยทะนุถนอมอะไรหรือกับใคร “ใครบอกล่ะ” “......” “ต้องเป็นคนที่อยู่เหนือทุกความรู้สึกของชยางกูรต่างหาก” “......” สิ้นคำพูดก็มีใบหน้าของใครอีกคนลอยเข้ามาในสมอง “จะมีคนแบบนั้นด้วยเหรอ” “ต้องมีแน่...คนที่ทำให้นายทั้งรัก ทั้งห่วงหาในยามที่อยู่ไกลหรือได้รับอันตราย ชยางกูร...เรารู้ว่านายรักคนยาก แต่เราเชื่อว่าจะต้องมีคนพิเศษสำหรับนายอยู่แน่ๆ เพราะรักมาก ถึงได้พิเศษอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้” “น้ำเน่า ถ้าจะมีก็มึงไง พิเศษที่สุดสำหรับกูแล้ว” “เราก็มีคนพิเศษสำหรับเราแล้วเหมือนกัน อย่าเสียเวลากับเราเลย” “......” “อาจมีใครสักคนบนโลกนี้...กำลังรอนายอยู่ก็ได้นะ” ชยางกูรรับฟัง บอกลาและวางสาย ก่อนจะเดินไปถามหน่องว่าภาคภูมิหายไปไหน รถมอเตอร์ไซด์ยังอยู่นี่ แสดงว่าอีกคนไม่ได้ดื้อกลับไปบ้านหลังเล็ก     หน่องบอกเห็นคุณหมอเดินเลียบชายหาดไปทางนั้นค่อนข้างนานแล้วเหมือนกัน ป่านนี้ยังไม่กลับมา เขาเองก็เก็บของจนลืมไปเลย ว่าที่สถาปนิกพยักหน้าจะเดินเข้าบ้าน หากแต่ความรู้สึกเบื้องลึกมันกลับสั่งการให้เท้าหมุนกลับ เพื่อออกไปตามหา จนกระทั่งได้มาเจอกับตัวยุ่งและสถานการณ์อันตรายเมื่อครู่ “ยุ่งอะไรกับหัวใจของผมเนี่ย” ชายหนุ่มสบถเสียงเบา กระชับวงแขนรัดคนในอ้อมกอดแน่น “คุณโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอครับ?” อีกฝ่ายคงไม่ได้ยิน หรือบางทีอาจไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เลยเปลี่ยนเรื่อง ตั้งคำถามกลับมา “ถ้าไม่เสร็จ จะมาอยู่ตรงนี้กับคุณเหรอ” “คุณสุดที่รักใช่ไหม เขาคงโทรมาอวยพรให้คุณ วันเกิดวันนี้...คุณคงมีความสุขมาก” ดีจัง...ดีจริงๆ ถ้าคุณกว้างขวางง้อคุณสุดที่รักไม่สำเร็จ แล้วคุณสุดที่รักมีใจเลือกหันกลับมามองชยางกูร ก็คงไม่น่าเสียดาย หรือมีอะไรให้ต้องกังวลเลยสักนิด เพราะความรักของผู้ชายคนนี้ก็มั่นคงไม่ต่างกันเลย “คงมีความสุขอยู่หรอก ถ้าไม่มีตัวป่วนก่อเรื่องแบบนี้” “ขอโทษครับ ผมคงไปรบกวนเวลาของคุณ” ทำไมเขาถึงไม่มีอะไรดีในสายตาชยางกูรเลยนะ ทำไมต้องคอยทำให้อีกฝ่ายเหนื่อยใจอยู่เรื่อย “ช่างเถอะ เรารีบกลับกันก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน ก่อนจะผายมือรอช่วยภาคภูมิ ทว่าอีกฝ่ายกลับอึกอัก ไม่ขยับเขยื้อน “เป็นอะไร?” “เมื่อกี้ผมวิ่งสะดุดขอนไม้น่ะครับ คิดว่าข้อเท้าน่าจะแพลง” ชยางกูรถอนหายใจ ทำหน้าเหนื่อยหน่าย แต่ก็ยอมหมุนกายนั่งยองให้อีกฝ่ายขี่หลัง “ขึ้นมาสิ” หมอหนุ่มมองแผ่นหลังกว้างอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ โน้มกายเข้าไปหา สองแขนคล้องไปด้านหน้า เอนตัวแนบหน้าอกกับแผ่นหลังนั้น ชยางกูรคงเหนื่อยกับเขาจริงๆ เดินตามหาเขาตั้งไกลถึงกับเหงื่อตก แถมขากลับยังต้องแบกเขาอีก ภาคภูมิรู้สึกใจสั่นกับการที่ถูกอีกฝ่ายปรนนิบัติให้แบบนี้ ตลอดทางได้แต่จ้องมองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกดีที่มีเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว “แล้วคนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมมันถึงจะทำร้ายคุณ” ชยางกูรเอ่ยถาม ตอนมาถึงที่นี่ เขาเห็นคนกลุ่มนั้นวิ่งไล่ภาคภูมิ ก่อนจะหายไปในความมืด โชคดีที่เห็นแสงไฟจากมือถืออีกฝ่ายในป่าดินเลน เลยไปช่วยไว้ได้ทัน “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมออกมาเดินเล่น แล้วเห็นพวกเขากำลังขนกล่องลังหอยมุกขึ้นเรือ พวกเขารู้ตัวเลยไล่จับผม เอ้อ! เขาพูดว่าทางสะดวกที่พี่ภพไม่อยู่ พี่ภพเขาทำธุรกิจอะไรเกี่ยวกับหอยมุกหรือเปล่าครับ” ภาคภูมินึกสงสัย เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ “พวกมันขโมยหอยมุกงั้นเหรอ? พี่ภพมีฟาร์มเพาะหอยมุกอยู่อีกด้านหนึ่งของเกาะ ไอ้พวกนั้นมันลักลอบเข้าไปได้ แถมยังรู้วันเวลาแล้วก็จุดอับของเกาะด้วย แสดงว่ามันต้องเป็นคนในแน่ๆ” “ไม่รู้ว่าพวกเขาทำแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว แย่จัง...พี่ภพคงขาดทุนไปเยอะแน่” “ต้องแจ้งตำรวจ” “อย่าเพิ่งนะครับ! ถ้าเราแจ้งตำรวจ พวกนั้นอาจไหวตัวทัน ในเมื่อคุณบอกว่าพวกเขาอาจเป็นคนใน” ชยางกูรพยักหน้าเห็นด้วย “ถ้าอย่างนั้นเราคงต้องจับตามองอยู่ห่างๆ ไปก่อน บางทีเราอาจเห็นพิรุธใครสักคน” “ให้ผมช่วยด้วยอีกแรงนะครับ” คนเป็นหมอเสนอตัว “พอเลย คุณจะมาช่วยหรือมาทำให้มันแย่ลงกันแน่ ดูตัวเองเสียก่อน เจอแค่นี้ก็กลัวจนตัวสั่นไปหมดแล้ว” คนถูกว่าถึงกับคอหด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “ก็ผมเป็นห่วงคุณนี่” ภาคภูมิชะงักหลังหลุดปากเผยความรู้สึกที่มีต่อชยางกูรไปเสียได้ แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่มาถึงบ้าน ชยางกูรปล่อยภาคภูมิลงนั่งที่เก้าอี้ริมสระว่ายน้ำ     ก่อนจะย่อกายนั่งยองเผชิญหน้า “เพราะมันอันตราย ผมถึงได้ห้ามคุณ” “คุณ...เป็นห่วงผมด้วยเหรอ?” ชยางกูรพรูลมหายใจ หลังได้ยินคำถามนี้เป็นครั้งที่สอง จู่ๆ คำพูดของสุดที่รักก็ดังก้องขึ้นมาในสมอง “ต้องเป็นคนที่อยู่เหนือทุกความรู้สึกของชยางกูรต่างหาก” “ไม่ห่วงแล้วจะห้ามทำไม” ท่ามกลางบรรยากาศริมทะเลเงียบสงบ คนสองคนใต้แสงดาวมองตากันและกัน พร้อมกับมีความรู้สึกหนึ่งเกิดขึ้นในหัวใจ ห่วงใย...อาจเป็นคำนี้  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม