ทั้งสามคนไปถึงบ้านพักตากอากาศด้วยรถยนต์ในตอนเย็น โดยมีหน่องจัดการเตรียมสถานที่และอาหารรอไว้หมดแล้ว งานวันเกิดมีขึ้นอย่างเรียบง่าย ไม่ได้เอิกเกริกเป็นงานปาร์ตี้เคล้าเสียงเพลง ทุกคนเพียงแค่มีช่วงเวลาที่ดีร่วมกันรับประทานอาหารรับลมทะเลบนสนามหญ้า ฟังเสียงคลื่นซัดสาดเคล้าคลอเสียงหัวเราะ แล้วปิดท้ายด้วยการร้องเพลงวันเกิดโดยให้เด็กชายเป็นคนเป่าเค้ก
เค้กถูกเป่าเสร็จ หน่องก็จัดการตัดแบ่งให้ เด็กชายนั่งตักชยางกูรแล้วป้อน บางคำจงใจป้อนผิดป้อนถูก จมูกคนเป็นน้าเลยเปื้อนครีมสดดูตลกจนเด็กน้อยหัวเราะชอบใจ ภาคภูมิที่นั่งมองสองน้าหลานอยู่ห่างๆ หัวเราะตามอย่างขบขันชยางกูรหมั่นเขี้ยวคนไม่มีส่วนร่วมแต่หัวเราะเอาๆ ใช้จังหวะที่ภาคภูมิลุกไปรับแก้วไวน์จากหน่อง ก้มไปกระซิบบางอย่างกับหลานชาย ทานตะวันพยักหน้า ก่อนจะวิ่งอ้อมโต๊ะมาป้อนเค้กให้หมอหนุ่มถึงที่
คนตัวขาวเห็นเด็กชายตักเค้กแล้วยื่นช้อนจะป้อนให้ จึงนั่งยองแล้วอ้าปากรอรับ ทว่ากลับถูกทานตะวันแกล้งไม่ต่างกัน ครีมสดสีขาวไม่ได้ส่งเข้าปาก แต่กลับแปดเปื้อนอยู่ข้างแก้ม
“หืมมม แสบนะเรา” หมอหนุ่มพึมพำ แล้วทำหน้ายักษ์ใส่ทานตะวัน เด็กน้อยที่รู้ตัวว่ากำลังจะถูกเอาคืนก็รีบกระโดดผึงออกจากตักแล้ววิ่งหนีไปรอบโต๊ะ ภาคภูมิทำทีเล่นทีจริง ลุกจากที่นั่ง แล้ววิ่งไล่ตามไปติดๆ
ทว่าจังหวะวิ่งผ่านคนตัวสูงซึ่งกำลังนั่งมองหลานชายอยู่นั้น แข้งขากลับพันกันยุ่งเหยิงเสียได้ เป็นเหตุให้หมอหนุ่มหน้าคะมำไร้ทิศทาง หัวใจพลันหล่นวูบตกลงไปถึงตาตุ่ม
ในตอนนั้นเองที่ชยางกูรโผกายเข้าไปรองรับ ประคองร่างบางได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ
คนทั้งคู่เวลานี้คล้ายตัวเอกในละครรักโรแมนติก มีโอกาสได้สบสายตาผ่านสถานการณ์ไม่คาดฝัน คนที่รู้สึกมากที่สุดเห็นจะเป็นคนร้างรักอย่างภาคภูมิ นัยน์ตาใสคลอประกายตกใจที่ดันมาตกอยู่ภายใต้วงแขนแกร่งของใครอีกคน ในขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่จดจ้องไม่ต่างกัน ส่วนคนที่เหลืออย่างหน่องที่เพิ่งถือไวน์ขวดที่สองออกมาจากบ้าน และเด็กชายทานตะวันที่ยืนมองอยู่ไม่ไกล ต่างฝ่ายต่างหันมามองหน้ากัน ก่อนจะเอามือตะครุบปากอมยิ้ม
“เอ่อ...ขอบคุณนะครับ”
เพราะขัดเขินเกินกว่าจะอยู่นิ่งได้นาน ภาคภูมิจึงเป็นฝ่ายเด้งตัวออกจากวงแขนก่อน ชยางกูรไม่ได้ท้วง ซ้ำยังหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้หมอหนุ่ม ภาคภูมิรับมาเช็ดครีมออกจากใบหน้า พร้อมกับหันไปคาดโทษเด็กชายที่หัวเราะใส่ไม่ยอมหยุด
“เพิ่งรู้ว่าซนใช่เล่น” หมอหนุ่มเปรย แต่มีแววตาสุดเอ็นดู
“ใครว่าทานตะวันเรียบร้อยกันล่ะ ซนจะตาย ซนเหมือนแม่ นี่ถ้าคุณรู้จักพี่ขวัญนะ คุณจะรู้ทันทีเลยว่าทานตะวันถอดแบบมาจากใคร ซนเรียกเสียงหัวเราะ ในขณะเดียวกันก็น่าเอ็นดูจนดุไม่ลง” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มส่ายหน้า มุมปากจุดประกายรอยยิ้ม นัยน์ตาดุดันยามนี้ฉายแววอ่อนโยนให้ได้เห็น
ชยางกูรคงไม่รู้ตัวว่ามีสีหน้าละมุนละไมดูผ่อนคลายแค่ไหน เวลาที่พูดถึงลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง
ภาคภูมิลอบมองชายหนุ่มครู่หนึ่ง แล้วก็อดอิจฉาคนตายไม่ได้ ของขวัญเป็นคนโชคดีที่ชีวิตมีแต่ความสุข มีครอบครัวอบอุ่น แถมยังมีน้องชายที่รักและ หวงแหนมากมายขนาดนี้ แตกต่างกับคนเป็นเช่นเขา ที่นอกจากครอบครัวแล้ว ก็ไม่มีใครมารักจริงและมองด้วยแววตาอ่อนโยนอีกแล้ว นอกจากไม่รักจริง ซ้ำยังทำร้ายจิตใจกันให้เจ็บช้ำอีกด้วย
ภาคภูมิได้แต่คิดอิจฉาหากแต่ปราศจากความริษยาใดใด เขาแค่หลงชอบรอยยิ้มของชยางกูรที่มีให้หญิงสาว แล้วก็ต้องยอมรับอย่างจำนนว่ามันส่งผลต่อหัวใจไร้รักดวงนี้เหลือเกิน
Rrr…
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังแทรกขัดขึ้น ชยางกูรล้วงเอามือถือออกมาจากกางเกง เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา เขาจึงเรียกหลานชายให้มารับ
“พ่อภพ!”
“ว่าไงเจ้าตัวเล็ก” เป็นธนภพที่วีดิโอคอลมาเพราะรู้ว่าเป็นวันนี้เป็นวันสำคัญที่ชยางกูรจะต้องจัดแน่ๆ “อยู่ที่ไหนกันครับเนี่ย” ธนภพหรี่ม่านตามอง ภาพวิวผ่านไหล่ลูกชาย
“อยู่บ้านเราครับ”
“อะไรนะ! นี่ลูกกลับมาบ้านของเราแล้วเหรอ” เจ้าของโรงแรมตื่นตะลึง เมื่อเห็นลูกชายส่งเสียงว่าอื้อ เขาก็ยิ่งเผยรอยยิ้มกว้าง “เก่งจังเลยเจ้าตัวเล็ก รู้อย่างนี้แล้วยิ่งอยากกลับบ้านไวไวเลย”
“ เมื่อไหร่พ่อจะกลับครับ”
“มะรืนนี้ครับผม ทานตะวันอยู่ที่นู่นเป็นเด็กดีหรือเปล่า”
“เป็นเด็กดีครับ ถ้าพ่อภพไม่เชื่อ พ่อภพต้องถามอาภูมิ” ทานตะวันพูดไม่ทันจบก็ยื่นมือถือให้ภาคภูมิส่งๆ เพราะสายตาเหลือบไปเห็นพี่หน่องกำลังนำดอกไม้ไฟมาให้
มือถือตกไปอยู่ในมือภาคภูมิที่ไม่ทันได้ตั้งรับ หน้าขาวจิ้มลิ้มจึงดูเหวอไม่น้อย คนปลายสายก็เอาแต่จ้อง นั่นยิ่งทำให้คนทางนี้เริ่มทำตัวไม่ถูก
“เป็นไงบ้าง โอเคไหมภูมิ” ธนภพเป็นฝ่ายเอ่ยถาม หลังเงียบกันไปชั่วครู่
“ดีครับพี่ภพ อยู่กับเจ้าตัวเล็กทั้งวันเลย พี่ล่ะเป็นไงบ้าง ราบรื่นไหม”
“ก็ดีนะ นี่ก็เพิ่งกลับจากตรวจของกับคุณสายรุ้ง เธอค่อนข้างละเอียดน่ะ เลยตรวจซะทุกชิ้น วันนี้ก็ตรวจครบหมดพอดี แต่พรุ่งนี้ต้องไปร่วมงานเดินแฟชั่น เห็นว่าจัดให้นั่งฟร้อนโรว์ซะด้วย จะปฏิเสธกลับภูเก็ตก่อนก็เกรงใจ แต่ก็ไม่ใช่ทางเลย”
ภาคภูมิได้ฟังเจ้าของโรงแรมบ่นอุบก็หัวเราะ
“คุณสายรุ้งคงให้ความสำคัญกับพี่ภพมาก ถึงได้ให้เกียรตินักธุรกิจหนุ่มจากทางใต้นั่งแถวหน้าสุดเลย”
“สงสัยพี่จะหล่อมาก เห็นเธอบอกสื่อหลายที่เตรียมถ่ายรูปพี่กันหมด เลยให้พี่นั่งแถวหน้ารับกล้อง แถมท้ายงานยังจะขอสัมภาษณ์ด้วยนะ”
“เจ้าของโรงแรมหนุ่มดาวรุ่งนี่ครับ ใครๆ ก็อยากเห็นหน้า โดยเฉพาะสาวๆ” หมอหนุ่มแซวเล่น “ได้ออกสื่อคราวนี้ เห็นทีหัวกะไดโรงแรมจะไม่แห้ง สาวน้อย สาวใหญ่คงเทียวมาเที่ยวกันไม่ขาดแน่”
ธนภพพรูลมหายใจแล้วส่ายหน้า
“มาเที่ยวเฉยๆ น่ะได้ โรงแรมพี่ต้อนรับ แต่ถ้ามาด้วยเจตนาอื่นพี่คงต้องปฏิเสธ”
“พวกเธอคงถอยหรอกครับ เจอเจ้าของโรงแรมใจดี อบอุ่นอย่างนี้”
“จริงๆ พี่ไม่ได้ใจดีกับทุกคนหรอกนะ ใจร้ายก็มีเหมือนกัน แค่เลือกแสดงออกว่าควรใจดีหรือใจร้ายกับใครเท่านั้นเอง”
ภาคภูมินิ่งเงียบ เมื่อได้ยินคำพูดซึ่งมาพร้อมแววตาซ่อนเร้นความรู้สึกบางอย่างของธนภพที่เขาไม่กล้าคาดเดา ที่ผ่านมาเขาไม่เคยเจอธนภพในโหมดใจร้ายเลยสักครั้ง นี่ไม่เท่ากับว่ารุ่นพี่หนุ่มคนนี้เลือกปฏิบัติกับเขาด้วยความรู้สึกที่ดีอย่างนั้นหรอกหรือ
“คิดถึงจัง” เสียงธนภพแทรกความคิดภาคภูมิ
“อ...อะไรนะครับ คิ...ดถึง?”
“คิดถึงบรรยากาศที่นู่นน่ะ คิดถึงบ้าน คิดถึงลูก”
“อ่อ...” หมอหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มแห้ง เขานี่มันบ้าจริงๆ คิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
“ภูมิ” จู่ๆ น้ำเสียงของรุ่นพี่หนุ่มก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น เจ้าของชื่อเลิกคิ้วรอคอยคำพูดอีกฝ่าย “ภูมิทำทาร์ตไข่เป็นไหม”
“ทาร์ตไข่เหรอครับ”
“อืม พี่อยากกลับไปกิน”
“ที่กรุงเทพก็มีขายนะครับ เจ้าดังเยอะแยะเลย ผมแนะนำได้นะ”
“ไม่สิ...พี่อยากกินแบบโฮมเมด”
“......”
“อยากกินฝีมือภูมิ”
เพราะหัวใจมันยังไม่เข้มแข็ง ความทรงจำที่มีต่อภรรยาจึงยังไม่เลือนหาย ธนภพเป็นเพียงแค่คนธรรมดา มีทั้งรัก ทั้งโลภ ซ้ำเวลานี้ยังเคว้งคว้างเพราะสูญเสียภรรยาที่รัก จึงเผลอไผลมีความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้นภายใต้ก้นบึ้งแห่งความเหงาต่อคนตรงหน้า ที่ทำหน้าที่บางอย่างทับรอยซ้ำกับคนรัก
เขาอยากกินทาร์ตไข่ที่ภรรยามักทำไว้ต้อนรับเขากลับเกาะอีกครั้ง
“พี่ภพเมาหรือเปล่า”
“ก็ดื่มมานิดหน่อย”
ภาคภูมิถอนหายใจ พึ่งสังเกตเห็นตาของธนภพที่ค่อนข้างแดง เสื้อผ้าชุดสูทเน็คไทหลุดลุ่ยไม่เป็นระเบียบ ด้วยความเห็นใจ จึงตอบตกลงไป แม้จะไม่รู้ถึงที่มาที่ไปของไอ้เจ้าทาร์ตไข่ก็ตามที
“ผมจะลองทำดูนะครับ”
“กลับไปถึงพี่จะได้กินใช่ไหม”
“ผมจะพยายามนะ” หมอหนุ่มหัวเราะให้คนเมาเซ้าซี้ ด้านธนภพที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้าง
“เฮ้อ! ค่อยดูเป็นบ้านหน่อย อยากกลับไปหาแล้...”
อยู่ๆ เสียงพูดของรุ่นพี่หนุ่มก็ขาดหาย พร้อมกับภาพสัญญาณที่ถูกตัดโดยฝีมือใครอีกคน เป็นว่าที่สถาปนิกหนุ่มที่ถือวิสาสะกระชากมือถือกลับคืนแล้ววางสายไปอย่างไร้มารยาท ใบหน้าคมคายฉาดฉายเต็มไปด้วยความดุดัน
ความไม่พอใจแล่นปลาบทั่วทุกอณูอารมณ์
นั่งฟังมานาน สุดท้ายก็ทนฟังไม่ได้ ความหงุดหงิดก่อตัวมากล้นยามได้ยินคนสองคนจีบกันเต็มสองหู แล้วก็ยิ่งโกรธหนัก เมื่อรู้ว่าธนภพให้ความสำคัญกับภาคภูมิมากถึงขนาดอยากกินฝีมือการทำอาหาร และรอคอยจะได้พบ พี่เขยของเขาสติคงใกล้เลอะเลือน ความรักและความทรงจำที่มีให้ภรรยาก็ชักจะเหือดหายเข้าไปทุกวัน ถึงได้ยกสถานะให้ภาคภูมิขึ้นมาเทียบเท่ากับเธอ
แบบนี้ถือว่าไม่ให้เกียรติผู้ล่วงลับเลยสักนิด
“มีความสุขมากไหมที่ทำให้พ่อม่ายติดใจได้ขนาดนี้”
“คุณว่าอะไรนะ?”
“พี่ภพนี่ก็แปลกนะ ไปถึงเมืองกรุง เจอผู้หญิงมากหน้าหลายตาไม่ยักกะหลง กลับมาหลงผู้ชายด้วยกันเอง แต่ขอโทษนะ พี่เขยผมคงเมาจนตาลาย สมอง ฟั่นเฟือนไปชั่วขณะน่ะ ถึงได้เผลอให้ความหวังคุณ”
“ให้ความหวังอะไร?” หมอหนุ่มขมวดคิ้วงุนงง เขายังไม่ได้หวังอะไรด้วยซ้ำ
“ไม่รู้สิ คุณหวังอะไรหรือเปล่าล่ะ อย่างเช่น...คิดจะมาแทนที่พี่ขวัญ”
“ผมไม่เคยคิด” ภาคภูมิลุกจากที่นั่ง สีหน้าและแววตาเต็มเกลื่อนไปด้วยความผิดหวัง สีหน้าเยือกเย็นนั้นช่างทิ่มแทงใจเสียเหลือเกิน
หมาบ้าตัวเดิมกลับมาอีกแล้ว เรื่องราวดีๆ ระหว่างกันตลอดสองวันที่ ผ่านมา มันคงไม่ดีพอจะให้จดจำสินะ
ทั้งที่เขารู้สึกดี...รู้สึกดีกับอีกฝ่ายไปแล้ว...
ภาคภูมิจะเดินหนีคนอคติ หากแต่ถูกชยางกูรกระชากข้อมือให้หันกลับ
“พี่ภพไม่ใช่ที่พักพิงหัวใจของใคร”
“จะต้องให้ผมบอกสักกี่ครั้ง ว่าเราสองคนเป็นแค่พี่น้องกัน”
“แต่เท่าที่ผมเห็นแววตาคุณเวลาได้คุยกับเขา มันไม่ใช่แค่พี่น้อง อย่าให้อะไรมันเลยเถิด เพราะถ้ามันไปถึงจุดที่ผมสังหรณ์ใจเมื่อไหร่ อย่าหาว่าผมใจร้าย”
“......” ภาคภูมิตั้งท่าจะเถียง ทว่ากลับมีเสียงของเด็กชายทานตะวันดังแทรกขึ้นอยู่ไกลๆ
“น้าชะ อาภูมิ ดูสิ สวยไหม” เด็กชายร้องทักให้ทั้งสองดูดอกไม้ไฟที่ถูกจุดเป็นประกายในมือ ขณะวิ่งเล่นฝ่าลมเย็นอยู่บนชายหาด บรรยากาศริมทะเลยามนี้เงียบสงบ คลื่นสวยซัดสาดเกิดเป็นเสียงบำบัดจิต ท้องฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยดวงดาวพร่างพราวนับล้านดวง
ธรรมชาติรอบด้านแสนโรแมนติก ขัดกับห้วงอารมณ์คุกรุ่นของคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เหลือเกิน
“ถ้าคุณจะยึดความคิดของคุณเป็นหลัก ผมก็ไม่มีอะไรจะต้องอธิบายอีก” ในเมื่อไม่มีความเชื่อใจกัน เขาก็ไม่อาจทนอยู่ตรงนี้ต่อไปได้ ก่อนไปจึงพูดประชดอีกฝ่ายด้วยห้วงอารมณ์น้อยใจ “ทานตะวันกลับมานอนที่นี่ได้แล้ว มันคงจะดีถ้าน้าหลานได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง เพราะงั้น...คืนนี้ผมขอกลับไปนอนที่บ้านบนเขาแล้วกันนะครับ”
พูดจบก็เดินเข้าไปหาเจ้าตัวเล็ก จูบซับที่หน้าผาก ก่อนเอ่ยบอกอะไรบางอย่างที่ทำให้เด็กน้อยต้องหงอยเหงา ภาคภูมิลุกขึ้นยืน กำชับหน่องให้พาทานตะวันเข้านอนโดยไว ก่อนจะกระชับเสื้อกันหนาวเตรียมตัวกลับไปในที่ที่ไม่ต้องขวางหูขวางตาใครทั้งนั้น
“อาภูมิ...”
ภาคภูมิกัดริมฝีปากเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากเด็กชายแว่วมา เขาไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง จึงได้แต่รีบจ้ำอ้าวเดินไปที่รถมอเตอร์ไซด์ซึ่งหน่องเป็นคนขี่มา ทว่าจังหวะที่ขึ้นคร่อมบนตัวรถ กุญแจกลับถูกกระชากออกโดยคนโมโหร้ายที่เพิ่งตามมาถึง
“ผมไม่ให้ไป”
“ทำไม?”
ชยางกูรบ่ายหน้า สบถลมหายใจ คิ้วเข้มขมวดมุ่นดูไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก
เขาหงุดหงิดภาคภูมิ แต่ก็ไม่ได้อยากให้หายไปไหน
“ผมขี้เกียจอธิบายให้หลานฟังว่าทำไมคุณถึงไปนอนที่นั่น ตัวติดกันอย่างกะอะไรดี ไม่มีคุณ คืนนี้เขาคงนอนไม่หลับ...อย่าลืมหน้าที่ของตัวเองสิ ผู้อาศัยอย่างคุณไม่มีสิทธิ์เลือกมากหรอกนะ มาที่นี่เพื่อดูแลทานตะวันก็ต้องทำให้ดีที่สุด”
ภาคภูมิลงจากรถพยายามยื้อแย่งเอากุญแจกลับคืน หากแต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอม ชยางกูรใช้สัดส่วนที่แตกต่างเป็นประโยชน์ ชูกุญแจขึ้นเหนือหัว ด้านหลังไม่ไกลเด็กชายตัวน้อยหน้าเสียถอยกรูดไปยืนอยู่กับพี่เลี้ยงจำเป็น
“ผมไม่ลืมหรอก แต่คืนนี้ผมแค่อยากอยู่คนเดียว”
“มันดึกแล้ว ทางก็อันตรายด้วย จะไปได้ยังไง ทำไมดื้อจังวะ!” ชยางกูร ตะคอกอย่างหมดความอดทน พร้อมๆ กับตวัดวงแขนรัดอีกฝ่ายให้อยู่นิ่ง เกิดเป็นความใกล้ชิดที่ค่อนข้างดุดัน “ตัวก็แค่นี้ จะขึ้นไปอยู่บนเขาคนเดียวได้ไง บนนั้นไม่มีใคร เกิดมีโจรนึกจะปล้นคุณจะทำยังไง”
“คุณเป็นห่วงผมด้วยเหรอ?”
คำถามของภาคภูมิทำเอาชยางกูรชะงักไปเล็กน้อย เขาถามย้ำกับตัวเอง ในใจ ทว่ากลับไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน รู้เพียงแค่ว่าการที่ภาคภูมิจะกลับไปนอนที่บ้านทานตะวันคนเดียว โดยทิ้งให้เขากับหลานชายต้องอยู่เพียงลำพังที่นี่ มันรบกวนหัวใจเขานิดหน่อย
ชายหนุ่มอึกอัก เบือนสายตาหลบคนตรงหน้าอย่างคนหาคำตอบให้ไม่ได้ ในขณะเดียวกันนั้นเอง มีสายเรียกเข้าจากมือถือ เวลานั้นชยางกูรเบิกตาโตทันทีที่เห็นชื่อคนปลายสาย เขารีบกดรับแทบไม่ต้องคิด
‘สุดที่รัก’
“ฮัลโหล!...” ชยางกูรละแขนออกจากเอวบางทันที ราวกับเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย ก่อนจะเดินหลบฉากไปคุยไกลถึงริมชายหาด ท่าทางที่แสดงออกบ่งบอกได้ดีว่าใส่ใจคนปลายสายมากแค่ไหน
ทำเหมือนภาคภูมิไม่ได้มีตัวตนอะไรเลยสักนิด
ภาคภูมิเซถอย มองชยางกูร เดินห่างออกไปเรื่อยๆ มันไม่แปลกที่ชายหนุ่มจะให้ความสำคัญกับโทรศัพท์สายนี้ เพราะเขาเองก็ทันเห็นว่าใครเป็นคนโทรมา
คนของหัวใจ...
พลันนัยน์ตาใสวูบไหวอับแสง ความรู้สึกบางอย่างตีรวนก่อกวนภายในอก สุดท้ายเบือนหน้าเลือนสายตากลับไปหาเด็กน้อยที่ยืนอยู่ไม่ไกล สองเท้าก้าวเข้าไปหา ก่อนยอบกายลงตรงหน้า
“เนื้อตัวเหนียวหมดแล้วเด็กซน เราไปอาบน้ำแล้วเข้านอนกันนะ”
“อาภูมิไม่ไปแล้วเหรอ”
“ส่งทานตะวันเข้านอนก่อนครับ”
“ทำไมต้องไป โกรธน้าชะเหรอครับ”
“......” ภาคภูมิเม้มริมฝีปากแล้วฝืนยิ้มฝืดเฝื่อนให้เด็กชาย “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ”
“งั้นเรากลับไปด้วยกันดีไหม”
“ไม่เอาสิ ทานตะวันกลับมานอนที่บ้านทั้งที”
“แต่ทานตะวันอยากนอนกับอาภูมิ นะครับ ไม่ไปนะครับ”
ภาคภูมิมองเด็กชายก่อนจะสบตากับหน่องที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง หน่องเป็นคนกลางและอยู่ในเหตุการณ์ทะเลาะกันเมื่อครู่ไม่ต่างกับทานตะวัน คงอึดอัดใจไม่น้อย เลยได้แต่ส่งยิ้มรอการตัดสินใจจากเขา ด้วยความเวทนาเด็กน้อยตาดำๆ เขาจึงไม่อาจเป็นคนเห็นแก่ตัวได้ จึงย้ำกับตัวเองว่ามาที่นี่เพราะอะไร
“ครับ ไม่ไปก็ไม่ไป”
“เย้!!” ทานตะวันกระโดดโลดเต้น ก่อนจะโผกอดคอคนตัวขาว ภาคภูมิรับร่างเล็กเอาไว้แล้วอุ้มขึ้น ก่อนจะหันมาบอกกับหน่อง
“คุณหน่องกลับไปพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวทางนี้ผมจัดการเอง”
“คุณหมอพาน้องทานขึ้นไปนอนเถอะค่ะ เดี๋ยวหน่องเก็บกวาดตรงนี้ก่อน”
“อืม...ถ้างั้นเดี๋ยวพาเจ้าตัวเล็กนอนเสร็จ จะลงมาช่วยนะครับ”
รีเซปชั่นนิสพยักหน้า ก่อนจะหันไปเริ่มเก็บจานชามบนโต๊ะ