ตอนที่ 8.1 หวั่นไหว...รู้ซึ้ง

4904 คำ
เพราะมันอันตราย ผมถึงได้ห้ามคุณ เขาเอ่ยปากห้าม บอกว่าอันตราย ไม่ห่วงแล้วจะห้ามทำไม... ไม่ห่วงแล้วจะห้ามทำไม...ตีความได้ว่า...ถ้าไม่ห่วง ก็จะไม่ห้าม เมื่อกี้ห้ามก็แปลว่าห่วงงั้นสิ ห่วงเรา! ห่วงเราเนี่ยนะ! ชยางกูร ไอ้หมาบ้าตรงหน้านี่น่ะเหรอ เป็นห่วงเป็นใยเขา? “เบาหวานกำเริบเหรอ จ้องกันตาแข็งขนาดนี้” คนตรงหน้าเอ่ยถาม พร้อมคิ้วเข้มขมวดมุ่น ทั้งที่มุมปากยกเชิด เพราะกำลังนึกขันกับหน้าตามึนเบลอของอีกฝ่าย ถามมาก็ตอบให้แล้วไง แค่ตอบอ้อมๆ แต่คิดว่าคนเป็นหมอไม่น่าตีความไม่ได้ ทำไมถึงต้องทำตาโตเหมือนปลาดอรี่ขี้ลืมในการ์ตูนเรื่องนีโม่อย่างนั้น หลังได้ยินประโยคยียวน พลันแววตาคนฟังสะเทือนคลอน “ห...เห็นแบบนี้ก็แข็งแรงนะคุณ ไม่ได้มีโรคประจำตัวอะไรทั้งนั้น บางทีอาจจะแข็งแรงกว่าคนหนุ่มอย่างคุณด้วยซ้ำ” “เถียงดีจริงๆ เถียงเก่งแบบนี้ใครได้ไปเป็นเมียคงหูดับ” “ค...ใครจะเป็นเมีย จ...จะ...จะบ้าเหรอ!” ภาคภูมิโต้เถียง เชิดหน้าแดงๆ ถามชยางกูรที่เอาแต่ส่ายหน้า มันใช่เรื่องที่ผู้ชายสองคนจะเอามาพูดกันไหม คนรู้จัก คนสนิทหรือก็ไม่ใช่...บ้าเอ๊ย! เขาอายไปหมดแล้ว “งั้นเถียงอีกสิ ว่ากับไอ้ผัวเก่าที่สนามบินคนนั้น คุณเป็นฝ่ายรุกมัน” ชยางกูรเลิกคิ้ว คำถามยิงมาเหมือนลูกกระสุน 9 มม. พุ่งเข้าตรงกลางหัวใจและฝังอยู่ภายในด้วยความร้อนเกินร้อยองศา ภาคภูมิหน้าชาทว่าหูแดงที่ได้รับรู้ว่าชยางกูร มองเขาเป็นผู้ชายประเภทต้องถูกดูแล เป็นคนรองรับให้อะไรทำนองนั้น “ทำไมครับ? เป็นรับแล้วมันผิดตรงไหน มันน่าขำตรงไหนเหรอ” ภาคภูมิถามเสียงแข็ง มองอีกฝ่ายที่กำลังอมยิ้มเหมือนคนกลั้นขำ “เปล่านี่” “......” “แปลกดี”  เมื่อได้ฟังคำตอบ คนหัวร้อนที่รอฟังคำแก้ตัวก็ยิ่งคุกรุ่น “แปลก?” “อืม” ชยางกูรครางรับในลำคอ พลางเอื้อมมือไปช้อนข้อเท้าปูดบวมของภาคภูมิขึ้นมาดู จับต้องโดยไม่มีท่าทีรังเกียจเลยสักนิด ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “แปลก แต่พิเศษ” แปลก...แต่พิเศษ ริมฝีปากจิ้มลิ้มอ้าพะงาบๆ เตรียมจะต่อล้อต่อเถียงมีอันต้องหุบฉับ คำว่าพิเศษในความหมายของหมาบ้าเป็นอย่างไร เขานั้นยากจะคาดเดา ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเอง ไม่กล้าแม้แต่จะตีความเสียด้วยซ้ำ รู้เพียงว่าคำว่า ‘พิเศษ’ นั้น ทำหัวใจวูบไหวไม่น้อยเลยทีเดียว “โอ๊ย!” ภาคภูมิอุทาน หลังถูกมือแกร่งสัมผัสบริเวณข้อเท้าที่บวมผิดรูป สาเหตุอันเนื่องมาจากเหตุการณ์หนีตายเมื่อไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา “คืนนี้ต้องประคบเย็นไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อยามากิน เดินไหวหรือเปล่า?” “อาจจะไหวครับ” ภาคภูมิกัดฟันลุกขึ้นยืน ก่อนจะค่อยๆ ก้าวขาไปด้านหน้า ทว่าเพียงแค่ปลายเท้าแตะพื้น ความเจ็บปวดก็แล่นลามไปทั่วทั้งข้อเท้า ยังผลให้เข่าอ่อนทรุดฮวบลงทันที คนยืนใกล้ใช้ความไวเข้าไปประคองไว้ทัน เลยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร และจังหวะนั้นเองที่นัยน์ตาสองคู่สบประสานกันอีกครั้ง เกิดเป็นบรรยากาศแปลกประหลาดขึ้นระหว่างกัน เนื้อตัวทั้งคู่เปียกปอนเขรอะไปด้วยคราบดินโคลน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ไม่มีส่วนใดที่หลงเหลือให้เชยชมว่าดูดี แต่ว่าที่สถาปนิกหนุ่มกลับเอาแต่จ้องมองดวงหน้าของคนในวงแขนไม่เลิก ชยางกูรเผลอพินิจมองนัยน์ตาใสเป็นประกาย ลามเลียมาถึงปรางแก้มสองข้างที่ดูนุ่มหยุ่นคล้ายโมจิ ก่อนจะหยุดลงตรงริมฝีปากจิ้มลิ้ม เขาประเมินโดยใช้เกณฑ์ตัวเองไม่รู้ตัว มองให้ดีภาคภูมิมีแววรั้น แต่ก็เป็นแววรั้นที่น่าจะปราบได้ไม่ยาก “อย่าฝืนถ้าเจ็บขนาดนี้” ชายหนุ่มเปรย ก่อนช้อนอุ้มภาคภูมิขึ้นแนบอก   เขาไม่อยากเสียเวลารอคอยให้อีกฝ่ายขึ้นขี่หลัง ตอนนี้มันดึกมากแล้ว ต่างคนต่างควรได้รับการพักผ่อนสักที คนเป็นหมอถึงกับเม้มริมฝีปากแน่น รีบวาดสองแขนโอบรอบคอใช้เป็นที่ยึดรั้ง “ผมมันตัวปัญหาจริงๆ” ภาคภูมิรู้สึกแย่และรู้สึกผิด ตั้งแต่เกิดเรื่องกระทั่งตอนนี้ ชยางกูรก็ยังคงต้องใช้แรงกายดูแลเขา ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ชอบขี้หน้าเขาเท่าไรนัก “ตอนที่คุณช่วยผมที่ป่วยวันนั้น ถือว่าเราหายกัน” ชายหนุ่มอุ้มภาคภูมิขึ้นไปชั้นสอง เข้าห้องส่วนตัวของอีกฝ่าย เดินตรงไปยังหน้าห้องน้ำ ก่อนจะปล่อยให้คนเจ็บได้ชำระล้างร่างกายจนสะอาด ขณะนั้นก็เดินกลับลงไปยังชั้นล่าง ไม่นานทั้งสองก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง ในสภาพที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ภาคภูมิอาบน้ำจนตัวหอม ในขณะที่ชยางกูรยังอยู่ในชุดเดิม “นั่งลง” ชายหนุ่มสั่งอีกฝ่ายให้นั่งตรงเตียง ภาคภูมิทำตามอย่างว่าง่าย ขณะเดียวกันก็เฝ้ามองอีกฝ่ายไม่วางตา เมื่อนั่งลงแล้ว ว่าสถาปนิกหนุ่มก็คุกเข่าลงตรงหน้า นำผ้าขนหนูผืนเล็กห่อถุงน้ำแข็งที่พักไว้ในกะละมัง ก่อนจะหันมาช้อนส้นเท้าภาคภูมิให้ยกขึ้น ภาคภูมิตกใจ พร้อมกับพยายามชักเท้าหนีทันที “คุณจะทำอะไรครับ!” “ประคบเย็นไง ไม่ประคบตอนนี้ รับรองว่าพรุ่งนี้บวมยิ่งกว่านี้แน่” “แต่...” หมอหนุ่มนิ่งงัน มองคนนั่งอยู่ต่ำกว่าแตะต้องปลายเท้าของตนโดยไม่มีท่าทีรังเกียจ ชยางกูรไม่ยอมปล่อยให้หลบเลี่ยง ซ้ำยังให้เท้าเปลือยเปล่าข้างนั้นพักไว้ที่หน้าขาอีกต่างหาก ฉับพลันที่การกระทำอีกฝ่ายทำให้หัวใจมันดันสั่นไหวสะท้านอก คนๆ นี้ยามดีกลับดีจนน่าใจหาย ใครถูกชายหนุ่มรัก คงน่าอิจฉาที่สุดในโลก ภาคภูมิมองคนตัวมอมแมมด้วยดินโคลน นานทีเดียวที่ชายหนุ่มคอยประคบน้ำแข็งกับข้อเท้าให้ อาการบวมปูดเป็นลูกมะนาวแต่แรกจึงเริ่มยุบลงไปบ้าง “คุณไปอาบน้ำเถอะครับ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง เนื้อตัวคุณมอมแมมหมดแล้ว” เขาไล่มองสภาพชายหนุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่มีส่วนไหนไม่เปรอะเปื้อน จังหวะหนึ่งเอื้อมไปหยิบเศษใบไม้แห้งออกจากเส้นผมให้ ซึ่งก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ชายหนุ่มแหงนหน้ามองด้วยเช่นกัน ทั้งสองสบตากันและกัน เป็นภาคภูมิที่ซึ้งในน้ำใจจนอดเอ่ยปากอีกไม่ได้ “ขอบคุณนะครับ ถ้าไม่ได้คุณ ป่านนี้ผมอาจเป็นผีเฝ้าป่าชายเลนไปแล้ว” มือบางเอื้อมลงไปดึงผ้าห่อน้ำแข็งออกจากมืออีกฝ่าย ชยางกูรพยักหน้าหลังสำรวจจนแน่ใจแล้วว่าอาการข้อเท้าแพลงของภาคภูมิดีขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ทิ้งไว้ให้ใครอีกคนจดจำการกระทำด้วยความประทับใจ   ///   ในวันถัดมาชยางกูรตื่นแต่เช้าตรู่ ด้วยเหตุผลสำคัญประการหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อคืน การกระทำอุกอาจของพวกหัวขโมยทำให้เขาไม่สามารถนิ่งนอนใจไปได้ ธนภพเป็นเจ้าของธุรกิจทั้งโรงแรมและฟาร์มหอยมุก ปกครองบริวารด้วยระบบคุณธรรมฉันท์พี่น้อง ดูแล เอาใจใส่ ให้คำปรึกษาตั้งแต่วิธีการทำงานตลอดจนเรื่องส่วนตัว ครอบครัวลูกน้องคนไหนมีปัญหา ก็หยิบยื่นมือเข้าไปช่วยโดยไม่ลังเล แล้วก็ยังไม่เคยใช้อารมณ์มาเป็นตัวตัดสินใจแม้เรื่องเดียว หากใครทำผิดก็เอาเหตุผลเข้ามาว่า ถกกันให้แล้วเสร็จ ก่อนตัดสินด้วยความยุติธรรม เป็นนายเหนือนายอย่างนี้ ทำไมถึงยังมีคนกล้าคิดแทงข้างหลังอยู่อีก เขาจะต้องสืบจนรู้ให้ได้ ว่าไอ้พวกนั้นมันเป็นใคร ชายหนุ่มทำธุระส่วนตัวเสร็จก็ลงมายังชั้นล่าง ขายาวก้าวเข้ามายังโต๊ะอาหารด้วยกลิ่นหอมหวนที่มาจากคนร่วมชายคาบ้านหลังเดียวกัน เขาก้มลงไป   หอมแก้มหลานชายที่นั่งเคี้ยวข้าวอยู่เงียบๆ ก่อนจะเปลี่ยนไปมองแผ่นหลังบางของจิตแพทย์หนุ่ม ท่าทางทะมัดทะแมงในการทำอาหารนั้น ดึงความสนใจจากว่าที่สถาปนิกไปทั้งหมด จู่ๆ มุมปากก็ยกขึ้นอย่างเผลอไผล  ดูมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ดู...เรียบง่ายเข้ากับบรรยากาศในตอนนี้ดี คงเป็นเพราะสิ่งรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้าสวย น้ำทะเลใส ไอเย็นยามเช้าที่ยังไม่จางหายพัดผ่านเข้ามาในบ้าน ทำเอาผ้าม่านสีขาวปลิวเอื่อยล้อลมด้วยล่ะมั้ง ที่ช่วยขับให้คนตรงหน้าดูกลมกลืน ลงตัวเข้ากันไปทั้งหมด ช่วงจังหวะหนึ่งถึงกับรู้สึกดีโดยไม่รู้ตัว... “อ้าวคุณ มาตั้งแต่เมื่อไหร่ นั่งก่อนครับ ทานข้าวเช้าด้วยกันก่อน” น้ำเสียงสดใสมาพร้อมกับใบหน้าขาวจิ้มลิ้มเปื้อนเหงื่อ ชยางกูรหลุดภวังค์ ก่อนจะนั่งลงตรงเก้าอี้ข้างกันกับหลานชายอย่างว่าง่าย “กินได้?” “แหม ถ้ากินไม่ได้ ทานตะวันคงไม่ขอข้าวเพิ่มหรอก เนอะๆ อร่อยใช่ไหมครับ” หมอหนุ่มยิ้มตาหยี พยักพเยิดหน้าให้เด็กชายตัวเล็กที่กำลังตักข้าวเข้าปาก ทานตะวันขานรับในลำคอ เพราะสนใจแต่กับความเอร็ดอร่อยตรงหน้า ทำเอา       คนถามหัวเราะร่วนด้วยความเอ็นดู “เดี๋ยวผมตักข้าวให้นะครับ” หมอหนุ่มหันมาเปิดฝาพาชนะ ก่อนตัก       ข้าวสวยร้อนๆ ใส่จานให้ชยางกูร ชยางกูรกวาดตามองอาหารบนโต๊ะ ภาพลักษณ์ดูดีราวกับสั่งมาจากร้านอาหารบวกกับกลิ่นหอมยั่วยวนนั้นก็เริ่มชวนให้ท้องไส้ร้องโครกคราก “ทานเยอะๆ นะครับ ผมทำของโปรดของคุณด้วย นี่...หมูสามชั้นทอดกระเทียม” “รู้ได้ไงว่าผมชอบ” “ทานตะวันบอกเองครับ น้าชะมากินข้าวบ้านเราทีไร แม่ขวัญก็ทำให้ตลอด แม่ขวัญบอกว่าน้าชะชอบกินอาหารเด็ก” เด็กชายหันมาตอบหน้าซื่อตาใส ส่วนภาคภูมินั้นกลั้นขำจนแทบสำลักน้ำที่เพิ่งดื่มไป ชยางกูรกระแอมไอ เลือนสายตาหนีวงสนทนา จับช้อนส้อม ก่อนจะตักหมูสามชั้นทอดกระเทียมมาวางไว้บนข้าวสวย คิดในใจว่าหากรสชาติไม่ดีเท่าหน้าตา เขาจะเอาคืนคนกลั้นขำด้วยวาจา ทว่าพอจ้วงมันเข้าปาก รสสัมผัสแรกเคี้ยวกลับทำให้ชายหนุ่มถึงกับชะงัก ทำไมอร่อยขนาดนี้วะ... คนตัวสูงเหลือบตามองคนตรงข้าม ก็เห็นว่าภาคภูมิอมยิ้มและมองอยู่ก่อนแล้ว คิ้วสวยข้างหนึ่งเลิกขึ้น ราวกับต้องการท้าทาย ดูเจ้าตัวจะมั่นใจเสียเต็มประดาว่าอร่อย ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงที่เขาเถียงไม่ออก เลยได้แต่ทานอาหารต่ออย่างเงียบๆ เมื่อจัดการมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ว่าที่สถาปนิกหนุ่มรูปหล่อในชุดวันสบาย อย่างเสื้อฮาวายลายสับปะรดกับกางเกงสามส่วนผ้าฝ้ายสีเทาก็เดินออกจากบ้าน  ตั้งท่าจะขึ้นรถยนต์เจ็ดที่นั่ง จิตแพทย์หนุ่มที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บกวาดบ้านเห็นเข้าจึงรีบวิ่งกะเผลกออกมาทั้งเสื้อกันเปื้อน “คุณจะไปไหนอะ?” “ผมจะไปฟาร์มมุก” พอได้ยินว่าชายหนุ่มจะไปที่ไหน ภาคภูมิถึงกับหูผึ่ง “ให้ผมไปด้วยนะ” เขาเดินกะเผลกเข้ามาใกล้ น้ำเสียงเบาลงคล้ายแสดงความนอบน้อม “ไม่ได้” คำตอบของชยางกูรทำให้ภาคภูมิถึงกับชะงัก “ผมรู้นะครับ ว่าคุณจะไปสืบเรื่องเมื่อคืน คุณจะทำอะไรลำพังแบบนี้ไม่ได้นะ คุณต้องมีผู้ช่วย ซึ่งผู้ช่วยคนนั้นก็คือผม” ชยางกูรถอนหายใจ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าระอา “ก่อนจะช่วยคนอื่น ช่วยดูตัวเองก่อนได้ไหม เดินยังไม่คล่อง ริจะไปทำเรื่องผาดโผน เกิดอะไรขึ้นมา คงไม่พ้นเป็นภาระผม” เขาสาดคำ พร้อมกับตวัดสายตาชี้ไปยังข้อเท้าอีกฝ่าย ภาคภูมิก้มมองตาม “มันเริ่มดีขึ้นแล้วล่ะคุณ เช้านี้ผมทายาแล้วก็พันผ้าเอาไว้แล้ว น่านะ นะๆๆๆ ให้ผมไปด้วยเถอะนะ” ภาคภูมิเว้าวอน ดวงตาสุกใสทอเป็นประกาย “ทำไมถึงอยากเอาตัวไปเสี่ยงอันตรายนัก อยู่บ้านดูหลานผมไม่ดีกว่าเหรอ” ชยางกูรสงสัย คนเป็นหมอดูบอบบางขนาดนี้ ไม่น่าชอบที่ที่ทำให้ไม่สบายตัว บอกตามตรง ภาคภูมิเหมาะกับการอยู่บ้านเลี้ยงเด็กมากกว่าจะออกไปตากแดดตากลม “ก...ก็ผมอยากช่วยจับคนร้ายให้พี่ภพนี่ ทั้งโรงแรม ทั้งฟาร์มหอยมุก สร้างจากน้ำพักน้ำแรงของเขาทั้งนั้น ในฐานะที่ผมเป็นรุ่นน้อง เจอเหตุการณ์เข้ากับตัว    จะให้ผมนิ่งเฉยได้ยังไง” ภาคภูมิสาธยาย ทุกถ้อยคำเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพ่อม่ายลูกติด นักธุรกิจแสนอบอุ่นทั้งหมด เจตนาภาคภูมิเป็นอย่างนั้นจริง หากแต่ความจริงแล้วยังมีความนัยอีกหนึ่งข้อที่เขาไม่ได้พูดมันออกมา นั่นคือเขาเป็นห่วงชยางกูร การไปสืบเรื่องจับโจรหาคนร้ายมันอันตรายเกินกว่าจะทำคนเดียวได้      แม้เขาจะรู้ว่าชยางกูรก็พอเก่งกาจอยู่บ้าง แต่ถ้าเพลี่ยงพล้ำขึ้นมา ใครจะรู้เห็นกันล่ะ คนพวกนั้นมีปืน มีกำลัง ผู้ชายคนเดียวจะไปสู้ไหวได้ยังไง “สรุปคือเป็นห่วงพี่ภพ?” เมื่อได้รับคำตอบ คนฟังก็ถึงบางอ้อ ที่แท้ก็แค่เป็นห่วงธุรกิจของพี่เขย อยากช่วยเพราะหวังให้ธนภพซึ้งใจล่ะสิ “เข้าใจแล้วล่ะ ที่แท้ก็อยากทำคะแนนเพื่อชนะใจพ่อม่ายรวยๆ นี่เอง” “ผม...” ภาคภูมิไม่ทันพูด กลับถูกชยางกูรกระชากต้นแขนอย่างรุนแรง ร่างทั้งร่างเซถลาเข้าไปกระแทกอกแกร่ง “เห็นแก่ความทะเยอทะยานอันแนบเนียน ให้เวลาสามนาทีรีบไปเตรียมตัวซะ แล้วพาทานตะวันออกมาด้วย” สิ้นคำพูดก็ออกแรงผลักอีกฝ่ายให้ออกห่าง     ก่อนจะก้าวขาขึ้นไปนั่งรอในรถทันที ภาคภูมิเซถอย เผลอทิ้งน้ำหนักลงข้อเท้าข้างที่แพลง เขากัดฟันนิ่วหน้า พลางตวัดสายตามองชยางกูรอย่างประหวั่นพรั่นพรึง ไม่ทันให้แก้ตัวอะไร จำต้องรีบกลับเข้าไปในบ้าน เพราะรู้ว่าหมาบ้าพูดจริงทำจริง หากไม่พร้อมภายในเวลาที่กำหนด อีกคนก็คงไม่รอให้เสียเวลา ใช้เวลาเพียงแค่สองนาทีกว่าทั้งอาทั้งหลานก็พร้อมสรรพ ยืนคอยท่าอยู่ข้างตัวรถ ชยางกูรแลหางตามอง สภาพคนทั้งคู่ดูไม่จืด เหงื่อชื้นเต็มวงหน้าเพราะอากาศที่เริ่มร้อน ภาคภูมิคงไปคว้าตัวทานตะวันจากกองของเล่นมา ในมือถึงได้มี   เลโก้สองสามชิ้นติดมาด้วย “น้าชะจะไปไหน?” เด็กชายถามเสียงใส “น้าจะไปดูฟาร์มหอยมุกของพ่อ แต่จะเอาเราไปฝากไว้กับพี่หน่องก่อน” “อ้าวทำไมล่ะครับ?” ภาคภูมิถาม เขานึกว่าทานตะวันจะไปด้วยกันเสียอีก “ฟาร์มมุกมีแต่พื้นที่อันตราย ไม่เหมาะจะให้เด็กไปวิ่งเล่นหรอกนะ รีบขึ้นรถเร็วเข้า” ชยางกูรตีสีหน้าทะมึนใส่คนเป็นหมอ หากแต่พอเบือนหน้าไปทางอื่น กลับอมขำกลั้นยิ้มเสียอย่างนั้น ก็จะไม่ให้ตลกได้ยังไง ในเมื่อภาพสองอาหลานเหงื่อโทรมกายหัวฟูหน้าแดงหูแดงเหมือนกันทั้งคู่ คงรีบตามคำสั่ง ถึงได้ไม่มีเวลาจัดการตัวเองให้เรียบร้อย   ///   หลังพาเด็กชายทานตะวันไปฝากไว้ที่โรงแรมเรียบร้อยแล้ว ชยางกูรก็เดินนำภาคภูมิ ลัดเลาะผ่านสระว่ายน้ำสีฟ้าใสซึ่งมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมานอนอาบแดดกันประปรายมายังชายหาดหน้าโรงแรม ลุงเอี่ยมยิ้มแย้มหลังเห็นเจ้านายเดินเข้ามาหา “อรุณสวัสดิ์ครับ” ดอร์แมนผู้ซึ่งถือเป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่เอ่ย พร้อมกับยื่นกุญแจให้ชยางกูร “อรุณสวัสด์ครับลุงเอี่ยม” ภาคภูมิยิ้มให้ ก่อนจะยืดคอมองผ่านไหล่ชายแก่ไปทางด้านหลัง “เราจะนั่งเรือไปกันเหรอครับ?” ชยางกูรไม่ได้ตอบคำถาม ซ้ำยังเดินลงทะเลไปขึ้นเรือก่อนใคร “ถนนหน้าฟาร์มหอยมุกปิดปรับปรุงครับ อีกหลายเดือนกว่าจะเสร็จ ถ้าจะไปที่นั่น ก็ต้องใช้เรือได้วิธีเดียว มาครับคุณหมอ เดี๋ยวผมช่วย” ลุงเอี่ยมเอ่ยพลางยืนแขนให้ภาคภูมิได้เกาะยึด เพราะรับรู้จากคุณชยางกูรมาเมื่อเช้าแล้วว่าคุณหมอ     ลื่นล้มจนข้อเท้าแพลง “ขอบคุณครับคุณลุง แต่ผมยังเดินไหว” ภาคภูมิเกรงใจ ไม่อยากให้คนอยู่ในชุดสูทกึ่งทางการต้องเปียกน้ำ จึงโบกไม้โบกมือปฏิเสธ ก่อนเดินกะเผลกลงทะเลไปยังเรือเร็วสีขาวที่ลอยเอื่อยเคลื่อนคล้อยอยู่บนคลื่นน้ำระดับหัวเข่า มาถึงตีนบันไดก็แหงนหน้ามองคนตัวสูงที่กำลังนั่งยังที่นั่งคนขับและง่วนอยู่กับแผงควบคุม พอเห็นว่าไม่มีน้ำใจใดใดถูกหยิบยื่นให้ คนเป็นหมอจึงก้าวขึ้นเรือโคลงเคลงด้วยตนเอง “ใจง่ายจริงๆ ใครพาไปไหนก็ไปหมด ถ้าโดนหลอกไปทำมิดีมิร้าย คงรู้ตัวเอาตอนโจรมันเสร็จกิจ” ภาคภูมิหน้าเห่อร้อน ขึ้นเรือมาได้ไม่ทันไรก็ถูกแดกดันเข้าให้เสียแล้ว ไม่รู้อะไรทำให้หมาบ้าดูหงุดหงิดถึงกล่าวหาปรามาสกันรุนแรงขนาดนี้ เมื่อเช้าก็ยังดีๆ อยู่แท้ๆ “โอ๊ย! ใครเขาจะจิตอกุศลอย่างนั้นครับ อีกอย่างผมก็มีเรี่ยวมีแรงจะต่อสู้ ไม่ใช่คนอ่อนแอเสียหน่อย อย่ามาดูถูกกันนักเลย ที่ผมมาด้วยก็แค่อยากสืบเรื่องคนร้ายให้พี่ภพ ไม่ได้ไปเที่ยวสำเริงสำราญที่ไหนซะหน่อย อีกอย่างเพราะเป็นคุณ ผมถึงได้ไม่คิดอะไรที่จะมาด้วย” “เป็นผมมันเป็นยังไง?” ชยางกูรเอี้ยวตัวหันมาหรี่ตามอง “ก็...เหมือนคนตายด้าน ที่เก็บอารมณ์รักไว้ปลดปล่อยแต่กับคนที่รักยังไงล่ะ” หมอหนุ่มเชิดหน้าท้าทาย เขาไม่รู้หรอกว่าชยางกูรจะตายด้านหรือไม่ตายด้าน ก็โต้ตอบไปอย่างนั้น ดีกว่ายืนทื่อให้อีกฝ่ายว่าเอาๆ อีกอย่างเขารู้ว่าตัวเองไม่ได้น่าพิสมัยสำหรับอีกฝ่าย เป็นเพียงวัฏจักรชั้นล่างในสายตา เรื่องความสัมพันธ์เกินเลยมันคงไม่มีวันเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ชยางกูรสบถเสียงหัวเราะหลังได้ยินคำตอบ เขาสตาร์ทเครื่องยนต์ ในขณะที่ภาคภูมิมองหาที่นั่ง ก่อนจงใจเหยียบคันเร่งให้เรือเดินหน้าไปเล็กน้อย แรงกระชากทำเอาคนไม่ทันตั้งตัวถลามาข้างหน้า ชายหนุ่มหันกลับมายืนเต็มความสูง พร้อมกับอ้าแขนรับร่างบางไว้อย่างพอเหมาะพอเจาะ “คุณพูดถูกตรงที่ผมเก็บอารมณ์รักไว้ปลดปล่อยแต่กับคนที่รัก คนที่ผมรักเท่านั้นที่จะได้รู้ว่ามันมากมายมหาศาลแค่ไหน แต่มีอย่างหนึ่งที่คุณเข้าใจผิด...” “......” “ผมไม่ได้ตายด้าน” ชายหนุ่มกอดรัดภาคภูมิเอาไว้แน่น ตั้งแต่ช่วงอกตลอดจนสุดปลายเท้าไม่มีส่วนใดที่ไม่แนบชิด จุดหนึ่งช่วงกลางสะโพกเบียดเสียดกันและกัน ชยางกูรจงใจและตั้งใจบอกให้ภาคภูมิรู้ทั้งคำพูดและการกระทำ สิ่งคับแน่นในร่มผ้าทำเอาใบหน้าหมอหนุ่มเห่อร้อนแดงก่ำ รีบผลักไสตัวให้ออกห่างจากคนอันตราย แล้วรีบไปนั่งอย่างสงบปากสงบคำทันที ชยางกูรกระตุกมุมปากอย่างคนเหนือกว่า ก่อนจะกลับไปนั่งยังที่นั่งคนขับ สปีดโบ๊ทสามเครื่องยนต์แล่นออกสู่ทะเลกว้าง ฝ่ารังสีและไอร้อนของแสงแดด น้ำทะเลยามนี้เป็นสีฟ้าคราม กลมกลืนไปกับท้องฟ้าซึ่งมีเฉดสีที่อ่อนกว่าเล็กน้อย ความเร็วเรือทำให้สายลมพัดโกรกรุนแรง พัดพาเอาใจทั้งสองดวงล่องลอยไปกับธรรมชาติรอบด้าน ทะเลอันดามันที่ล้อมรอบเกาะเปล่งประกายระยิบระยับราวอัญมณีน้ำงาม ใช้เวลาเพียงสิบนาทีก็มาถึง ภาคภูมิตื่นตาตื่นใจกับจุดหมายปลายทางเป็นอย่างมาก พื้นที่บริเวณนี้มีกระชังนับร้อยเรียงราย ณ กระชังหนึ่งมีคนงานชายหญิงกำลังดึงเชือกเส้นหนา ซึ่งมีหอยมุกผูกติดเอาไว้เป็นระยะขึ้นมาพักไว้ในตะกร้า ที่นี่เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงหอยมุกที่ไม่ได้ใหญ่มากมายหากเทียบเท่าเจ้าอื่น แต่โดยรวมแล้วก็นับว่ามีมูลค่าสูงไม่น้อยเลยทีเดียว ชยางกูรจอดเรือเร็วไว้ตรงท่าไม้เล็กๆ ก่อนก้าวขึ้นไปเหยียบบนทางเดินซึ่งทำด้วยแผ่นไม้ “ขึ้นมาสิ” ชายหนุ่มผายมือรอรับภาคภูมิ มันคงอันตรายเกินไป หากให้คนขาไม่ดีขึ้นท่าด้วยเรือที่โคลงเคลงหนักอย่างนี้ ภาคภูมิมองครู่หนึ่งก็ยอมเอื้อมมือไปจับมืออีกฝ่าย ก่อนจะลงจากเรือ      ในจังหวะที่ยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว จู่ๆ กลับรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างครอบลงมาที่ศีรษะ เหลือบตามองถึงได้เห็นว่าเป็นหมวกสานปีกกว้าง คนสวมให้ไม่ใช่ใคร เป็นว่าที่สถาปนิกหนุ่มหน้าตาดุดันข้างกายนี่เอง “แดดมันแรง เดี๋ยวเป็นลมร่วงใส่หอยมุก” ภาคภูมิถอนหายใจ เดินขากะเผลกตามไป ไม่โวยวายหรือโต้ตอบอะไรทั้งนั้น ทุกจังหวะการก้าวเดินเขาเจ็บแปลบแต่ก็ฝืนทน เพราะเป็นคนอยากมาเอง “สวัสดีครับคุณชะ ไม่ได้เจอกันนาน สบายดีนะครับ” หนุ่มใต้มีอายุ รูปร่างผอมสูง เดินปรี่เข้ามาพร้อมยกมือไหว้ แม้อีกฝ่ายจะเด็กกว่า “สบายดีครับ” ชยางกูรไหว้ตอบ พลางกวาดตามองไปโดยรอบครู่หนึ่ง “เห็นเรือของโรงแรมนึกว่าคุณธนภพเสียอีก แต่ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้เธอถึงจะกลับ เลยแปลกใจนิดหน่อย ที่แท้ก็เป็นคุณนี่เอง ดีใจนะครับที่ได้พบ น้องชายของคุณขวัญโตเป็นหนุ่มวัยทำงานแล้ว เอ...ว่าแต่นี่...” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง จังหวะหนึ่งเบนสายตาไปมองคนแปลกหน้าซึ่งพึ่งเดินมาสมทบ “โถ่คุณชะ เป็นหนุ่มหล่อมาดเท่ขนาดนี้ ไอ้ผมก็นึกว่าจะพาคนรักมาเที่ยวฟาร์มมุก สวัสดีครับ คุณคงเป็นเพื่อนของคุณชะ ผมประวิทย์ เป็นหัวหน้าเฝ้าฟาร์มหอยมุกที่นี่” ประวิทย์ยิ้มให้ด้วยคิดว่าภาคภูมิเป็นเพื่อนของชยางกูร ภาคภูมิยิ้มตอบ พลางยกมือไหว้คนแก่กว่า กำลังจะอ้าปากแนะนำตัว หากแต่ถูกใครอีกคนเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน “คุณวิทย์เข้าใจถูกแล้ว ผมพาคนรักมาเที่ยวฟาร์มมุก อยากหามุกสวยๆ เอาไว้เป็นของแทนใจ” เขาไม่พูดเปล่า ยังโอบภาคภูมิเอาไว้อย่างสนิทสนมรักใคร่ ร่างทั้งร่างตกอยู่ในวงแขนแกร่ง ภาคภูมิสะดุ้งโหยงตวัดมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ทว่าชายหนุ่มกลับส่งยิ้มละมุนมาให้ พร้อมกับบีบกระชับหัวไหล่เขาเสียแน่น “อ...อ๋อเหรอครับ โอ้! ผมมีตาหามีแววไม่ ยินดีต้อนรับนะครับคุณ...” “ภาคภูมิครับ” ชยางกูรตอบแทนทันควัน “อ้อครับ! ยินดีต้อนรับนะครับคุณภาคภูมิ ได้เห็นคนรักของคุณชะก็วันนี้ คุณเป็นคนแรกเลยนะที่คุณชะพามาที่นี่ คงรักจริงแน่ๆ ไม่งั้นคงไม่พามาเลือกของแทนใจกันถึงถิ่นขนาดนี้ มาครับมา มาดื่มน้ำดื่มท่ากันก่อน ตากแดดนานๆ แบบนี้ผิวจะเสียเอา” ประวิทย์เชื้อเชิญพร้อมเดินนำหน้าไปก่อน เห็นอย่างนั้น คนถูกกอดก็รีบเอาศอกกระทุ้งคนฉวยโอกาสทันที “คุณบอกแบบนั้นกับเขาได้ยังไง เขาเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว!” ไม่เข้าใจทำไมชยางกูรถึงต้องทำอย่างกับว่าพวกเราเป็นคนรักกัน ทั้งที่ความจริงมันตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง “คิดหน่อยสิ นานทีปีหนผมถึงจะมาที่นี่ ครั้งล่าสุดคือปีก่อนที่มาเพราะ     พี่ขวัญคะยั้นคะยอ ไม่เคยมาเพราะอยากมา จู่ๆ มาตอนนี้จะให้ขับเรือ เดินดุ่มๆ แล้วบอกว่าพาเพื่อนมาเที่ยวอย่างนั้นเหรอ มันไม่มีพิรุธไปหรือไง? ต้องเป็นคนสำคัญเท่านั้นล่ะ ถึงจะสมเหตุสมผล” มันก็จริงอย่างที่ชยางกูรพูด ผู้ชายสองคนมาที่นี่ควรมีเหตุผลอะไรไม่ให้สงสัยกันล่ะ แต่ก็ไม่คิดว่าชยางกูรจะเล่นใหญ่เบอร์นี้นี่ “คนงานหายไปไหนหมดครับ ทำไมเหลือกันแค่นี้” ชยางกูรเอ่ยถาม หลังมานั่งพักที่ชานระเบียงโป๊ะเรือซึ่งมีพื้นที่กว้างขวาง มีหลังคาไว้กันแดด ด้านหลังถูกแบ่งกั้นเป็นห้องๆ ทำเป็นสำนักงานและห้องเทคนิคเอาไว้ผ่าตัดและฝังแกนมุกเพื่อเพาะพันธุ์ “เสาร์ – อาทิตย์นี้เราหยุดให้พนักงานพักครับ เพราะก่อนหน้านี้ทำงานหนักกันทุกวันมาตลอดเดือนแล้ว คุณภพไม่อยู่ด้วย เลยสั่งปิดฟาร์มชั่วคราว เจ้าพวก   คนหนุ่มมันได้ทีก็ข้ามฝั่งไปภูเก็ตตั้งแต่เมื่อวานเย็นแล้ว เหลือก็แต่คนงานสี่ห้าคนที่ ไม่รู้จะไปไหน บ้านอยู่ใกล้ ว่างๆ ก็มาแวะดูนี่แหละครับ” ประวิทย์เชิดหน้าไปทางคนงานที่กำลังทำความสะอาดหอยตรงกระชัง “มีใครบ้างล่ะคุณวิทย์” “ก็มีพวกไอ้ต่อ ไอ้บาส ไอ้บอล ไอ้ดรีม ไอ้พวกวัยรุ่นแหละครับ พวกมันมีหน้าที่ขนส่งหอยมุกข้ามฝั่งอยู่แล้ว คงมีที่เที่ยวที่กินที่ฝั่งภูเก็ตนั่นแหละ มีอะไรหรือเปล่าครับคุณชะ” ประวิทย์ฉงน พูดมาถึงตรงนี้ถึงได้เอะใจ “เปล่าหรอกครับ ก็แค่สงสัยว่าไม่มีคนอยู่อย่างนี้ ใครจะเฝ้าฟาร์ม” “อ๋อ ผมนี่แหละครับเฝ้า จริงๆ มีไอ้สามารถอีกคนที่ผลัดเปลี่ยนกับผม แต่เผอิญว่าลูกมันไม่สบาย นายชลเลยอนุญาตให้มันพาลูกไปหาหมอที่ฝั่งนู้น แถมยังออกค่าใช้จ่ายให้หมดด้วย” “ชล? ใช่คนที่มารับพี่ภพไปกรุงเทพหรือเปล่าครับ?” ภาคภูมิเอ่ยถามขึ้นมาบ้าง ชยางกูรพยักหน้ารับ “นายชลใจดีมากครับ ลูกน้องคนไหนเดือดร้อนก็ช่วยเหลือตลอด ไอ้พวกวัยรุ่นพวกนั้นถึงกับยอมรับให้เป็นลูกพี่ใหญ่ของพวกมัน บางทีเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย พากันไปก๊งเหล้าก็มี อยู่กับนายชลมีกินมีใช้ มีโบนัส พอเลี้ยงครอบครัวได้สบายเลย” คำพูดของคนเฝ้าฟาร์มทำเอาสองคนที่เหลือถึงกับเหลือบมองกัน “แล้วพี่ภพล่ะ พี่ภพมาบ้างหรือเปล่า?” ชยางกูรแสร้งถาม ยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มราวกับไม่ได้ใส่ใจในคำตอบมากนัก “ไม่ค่อยมาครับ เพราะคุณภพอยู่สายบริหาร เทียวไปต่างประเทศก็บ่อย เธอต้องไปดูอัญมณีด้วยตัวเอง นี่ก็ใกล้จะเปิดตัวธุรกิจนี้อย่างเป็นทางการแล้ว เธอยิ่งไม่ได้มาดูฟาร์มมุก อย่างว่าล่ะครับ ผลผลิตฟาร์มมุกไม่ได้ถี่ ซ้ำยังเลี้ยงค่อนข้างยาก เธอเลยยกหน้าที่ดูแลฟาร์มให้กับคุณชลธีทั้งหมด” “งั้นแสดงว่าคุณชลก็เป็นคนคุมทุกอย่างที่นี่เหรอครับ” ภาคภูมิเป็นฝ่ายถามบ้าง “ใช่ครับ คุณธนภพแทบจะยกกิจการนี้ให้คุณชลด้วยซ้ำ เธอไว้ใจและเชื่อใจคุณชลมาก ทั้งเงินเดือนพนักงาน ทั้งรายได้จากที่นี่ คุณชลคุมมันทั้งหมด จะรายงานให้คุณภพทราบก็ต่อเมื่อเธอถามเท่านั้น” “แล้ว...ไข่มุกมีมูลค่าขนาดนี้ มีหายบ้างหรือเปล่าครับ?” “โอ๊ย! ไม่มีหรอกครับ พวกเราอยู่กันแบบพี่น้อง พื้นที่นี้ก็เป็นพื้นที่ปิด คนนอกเข้ามาไม่ได้แน่นอน” ภาคภูมิขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยิน ความไม่สบายใจก่อตัวขึ้น หากอำนาจการคุมกิจการฟาร์มหอยมุกตกอยู่ในมือของคนๆ เดียว แถมยังไม่มีใครสามารถล่วงล้ำเข้ามาที่นี่ได้อีก นี่ไม่เท่ากับว่าชลธีอะไรนั่นกำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งอย่างนั้นหรือ เขาคิดว่าธนภพไว้ใจคนอื่นเกินไป ภาคภูมิคาดการณ์ไปต่างๆ นานา ก่อนเหลือบมองไปทางชยางกูร ชายหนุ่มร่างสูงขณะนี้มีสีหน้าตึงเครียดไม่ต่างกัน ดูออกจะมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ด้วยไม่อยากให้มีพิรุธจนเกินไป เขาจึงแสร้งทำทีเป็นสนใจกระชังหอยมุกใกล้ๆ เดินกะเผลกไปตรงรอยต่อระหว่างโป๊ะและกระชัง นั่งยองแล้วหันมาหาประวิทย์
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม