อาการของหมาบ้าดีขึ้นในเช้าตรู่วันถัดมา เพราะได้รับการดูแลตลอดเวลาจากจิตแพทย์หนุ่ม เมื่อคืนหลังจากที่ฟาดแรงอารมณ์โต้เถียงกันแล้ว ไม่นานว่าที่สถาปนิกก็ผล็อยหลับไปต่อหน้า เปลือกตาปิดสนิท ใบหน้าคมคร้ามวางเฉย ลมหายใจผ่อนหนักเบาเป็นจังหวะ ความเมาบวกกับพิษไข้รุมเร้าทำให้ชายหนุ่มไม่อาจต่อล้อต่อเถียงได้อีก คนเป็นหมอจึงถดกายออกจากวงแขนแน่นหนาและลุกออกจากฟูก หวังจะไปนอนกับเด็กชายที่บนเตียง หากแต่ความเป็นห่วงที่โผล่พ้นขีดความโกรธขึงก็ไม่อาจทำให้ภาคภูมิเพิกเฉยต่ออาการป่วยของอีกคนไปได้ คืนทั้งคืนจึงอยู่เช็ดตัว เฝ้าไข้ชยางกูรจนถึงเช้า
ร่างสูงใหญ่งัวเงียลุกออกจากที่นอน หลังเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่าอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงจะได้เวลาเริ่มงาน เขาจัดการทำธุระส่วนตัวไม่ถึงห้านาทีก็อยู่ในชุดพร้อมลุย ทว่ากลิ่นหอมของอาหารที่ลอยเข้ามาเตะจมูกก็ทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก และยอมเสียเวลาเดินไปทางห้องอาหาร
“น้าชะ” เด็กชายทานตะวันทักทาย เมื่อเห็นน้าชายเดินเข้ามาในโซนห้องอาหาร เป็นเหตุให้ใครอีกคนที่กำลังยืนหันหลัง ง่วนอยู่กับการตักอาหารใส่ถ้วยหันกลับมามอง
คนทั้งสองที่จบกันด้วยไม่ดีเมื่อคืนมองหน้ากันอย่างเสียไม่ได้ ก่อนคนทำหน้าที่เป็นแม่ครัวจะเบือนหน้ากลับไปเสียเฉยๆ ไม่มีรอยยิ้มหรือแม้แต่การโกรธเคืองใดใด ทว่าคนมาใหม่ก็ทันได้เห็นสีหน้าซีดเซียวดูอ่อนล้า จู่ๆ ความรู้สึกผิดก็แว่บเข้ามาในความรู้สึก
เขารู้ว่าเมื่อคืนทำตัวแย่ใส่อีกคนแค่ไหน ซ้ำยังเป็นภาระให้ต้องดูแลอีกต่างหาก
“ยังพอมีเวลา ทานข้าวก่อนนะครับ” เสียงทุ้มเล็กที่เคยเจื้อยแจ้วยามนี้ถูกเปล่งออกมาราบเรียบ พร้อมกับกายบางที่หมุนกลับมา สองมือวางจานข้าวผัดไข่และต้มจืดสาหร่ายหมูสับถ้วยเล็กไว้บนโต๊ะ
“น้าชะกินข้าว อาภูมิทำอร่อยจนทานตะวันกินหมดไปชามเบ้อเริ่ม” เด็กน้อยเลียช้อน ท่าทางน่าเอ็นดูนั้นทำให้คนเป็นน้าเริ่มรู้สึกผ่อนคลาย ยอมนั่งลงเคียงข้างแล้วยกมือไปยีเรือนผมเบาๆ เขามองอาหารหน้าตาน่าทานอยู่ครู่หนึ่ง พินิจพิเคราะห์คาดเดารสชาติ หากแต่ชื่นชมหน้าตาของมันล่วงหน้าไปแล้ว
“ทานเถอะ ผมไม่ได้ใส่ยาถ่ายหรอก” หมอหนุ่มกระเซ้าหน้าค่อนข้างเอาเรื่อง พอได้เห็นคนเอาแต่ใจเมื่อคืนทำหน้าเหมือนไม่อยากกิน อารมณ์โกรธเคืองก็เริ่มตีรวนกลับเข้ามา
ชยางกูรส่ายหน้า คว้าน้ำมาดื่มหมดแก้ว ก่อนจะเริ่มจัดการอาหารตรงหน้า คำแรกที่เข้าปากเขากับหยุดเคี้ยว พยายามวางหน้าเรียบเฉย หากแต่นึกทึ่งในรสมือของภาคภูมิอยู่ในใจ
ไม่คิดว่าจะทำอาหารอร่อยได้ขนาดนี้ ทั้งๆ ที่เป็นผู้ชาย แต่กลับมีความเป็นแม่ศรีบ้านศรีเรือนไม่น้อย
ขณะที่กินไปได้อีกคำ มือขาวก็โผล่เข้ามาในม่านสายตา พร้อมกับถ้วยยา
“ผมไปขอยาจากสถานีอนามัยมา” ภาคภูมิบอก ก่อนทานตะวันจะพูดต่อ
“อาภูมิขี่มอเตอร์ไซด์เก่ง”
“ทานตะวันก็นั่งซ้อนท้ายเก่งครับ” คนเป็นหมอยิ้มตาหยี มองเด็กชายด้วยความเอ็นดู
“คุณเอาหลานผมออกไปได้เหรอ?” ชยางกูรสงสัย
ได้ยินมาว่าหลานชายของเขาไม่กล้าแม้แต่จะออกนอกบ้าน เห็นแค่ทะเลอยู่ไกลๆ สติก็กระเจิดกระเจิงแล้ว ภาคภูมิทำอย่างไร หลานชายของเขาถึงกล้าซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์ไปด้วย
“อาภูมิเอาผ้าปิดตาให้” เด็กชายเฉลย ทว่าคำตอบกลับสร้างความไม่พอใจให้คนเป็นน้าเลยสักนิด ใบหน้าดุดันกลับมาขึงขังง คิ้วเข้มขมวดมุ่น มองคนที่ยืนทำความสะอาดเคาน์เตอร์บาร์ด้วยความไม่พอใจ
“อันตราย รู้หรือเปล่าว่าคุณพาหลานผมไปเสี่ยง เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นมาคุณจะรับผิดชอบยังไง”
“น้าชะอย่าดุอาภูมิ ทานตะวันอยากไปเอง ไปเที่ยวตลาดได้ของกินมาเยอะแยะเลย อาภูมิใจดีซื้อขนมให้กินด้วย” ทานตะวันรีบพูดแทรก สะกิดแขนน้าตนเองให้หันมาสนใจ มืออีกข้างชูอมยิ้มที่ได้มาจากตลาด
“ผมให้เขาใส่หมวกกันน็อค ใส่สนับเข่าด้วยนะ”
“ทั้งเข่า ทั้งข้อศอกเลย”
“ผมจะให้เขาอยู่คนเดียวได้ยังไง มีน้า น้าก็ไม่ได้ทำตัวน่าเชื่อถือ หลับเหมือนซ้อมตายเสียขนาดนั้น เกิดอะไรขึ้นกับหลาน คุณจะรู้สึกตัวหรือเปล่าเถอะ อีกอย่าง...ทานตะวันต้องออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง เขาจะต้องเริ่มฝึกกลับไปใช้ชีวิตให้เหมือนเดิมได้แล้ว”
“ทานตะวันแอบมองทะเลได้แล้ว แต่ได้นิดหน่อย ตอนที่น้ำเป็นสีฟ้า และท้องฟ้ามีก้อนเมฆสีขาว” ทานตะวันอธิบายเสริม ระหว่างนั่งซ้อนท้ายแล้วกอดเอว พี่เลี้ยงจำเป็นลัดเลาะไปตามถนนรอบเกาะ เด็กน้อยแอบแหงนหน้ามองทิวทัศน์ผ่านช่องว่างระหว่างผ้าปิดตากับสันจมูก
วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีอย่างที่อาภูมิบอกเล่า ยามทะเลสงบและท้องฟ้าสดใสจะทำให้ทานตะวันหวนกลับไปนึกถึงตัวตนของตัวเอง ว่าครั้งหนึ่งเคยชอบธรรมชาติและบรรยากาศทะเลหน้าร้อนมากแค่ไหน เขาเติบโตที่นี่ เจอทะเลแทบทุกวัน และเล่นกับมันแทบทุกครั้ง จนเหมือนเป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว
ได้ออกไปรับลม มองมันชั่วครู่...ทานตะวันก็ชักจะเริ่มคิดถึงทะเลขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ
“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่คราวหลังจะไปไหนต้องระวังกันให้มาก จะออกไปก็ต้องมาบอกผมก่อน” ชยางกูรยอมลดละ เพราะเห็นแก่ความเป็นห่วง ก่อนจะกลับไปจัดการอาหารเช้าและยาในถ้วย หลังจากนั้นก็เตรียมตัวออกจากบ้าน
ชายหนุ่มนั่งยองตรงกรอบประตูบ้านพร้อมกับดึงหลานชายเข้ามา พลางหอมแก้มใสทั้งสองข้าง ทำหน้าที่แทนธนภพอยู่กรายๆ เขาลูบเรือนผมเจ้าตัวเล็กก่อนเอ่ยออกมา
“น้าไปทำงานก่อน ที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ นี่เอง มีอะไรให้รีบโทรหา น้าชะจะรีบมาทันที”
“ครับ”
หลังได้รับคำจากหลานชาย คนเป็นน้าก็ลุกขึ้นยืน หลายวินาทีเลยทีเดียวที่ชายหนุ่มยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เหมือนต้องการพูดอะไรออกมา สุดท้ายเลือนสบสายตากับภาคภูมิที่ยืนอยู่เบื้องหลังด้วยสายตานิ่งเรียบ หากแต่คนถูกมองกลับรู้สึกร้อนวูบวาบ เพียงเพราะคำพูดเพียงคำเดียว
“ขอบคุณนะ”
ชยางกูรหมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เมื่อคืนตลอดจนเช้าวันนี้ หากไม่มีภาคภูมิช่วยไว้ อะไรๆ คงแย่ พูดเพียงแค่นั้นก็เดินจากไปทันที ปล่อยให้ใครอีกคนนิ่งงันชั่วครู่หัวใจเกิดสะท้านไหวขึ้นฉับพลัน
“อาภูมิเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ทานตะวันถาม หลังน้าชายออกจากบ้านได้ครู่หนึ่ง ที่ถามก็เพราะเห็นอีกฝ่ายไม่ไหวติงสักที เอาแต่ยืนทำตาโต หน้าแดงก่ำ
“ป...เปล่าครับ เอ่อ...เรากลับเข้าไปต่อจิ๊กซอว์กันดีไหม?” หมอหนุ่มประดักประเดิดหันเหความสนใจ
“ไปครับ!” เด็กชายชูมือขึ้นสูง พร้อมกับวิ่งเข้าไปประจำที่ ลากกระดาษแข็งใต้โต๊ะห้องนั่งเล่นออกมา ก่อนจะเปิดฝากล่องจิ๊กซอว์พันชิ้นที่วางอยู่ใกล้ๆ จัดการเตรียมทุกอย่างเสร็จสรรพก็หันมามองภาคภูมิตาใสแป๋ว
จิตแพทย์หนุ่มหัวเราะให้กับเจ้าตัวเล็ก ดูท่าจะอยากรีบต่อให้มันเสร็จเป็นรูปเป็นร่าง เขาเดินตามเข้าไปนั่ง ก่อนจะช่วยกันตามหาชิ้นส่วนนับพันภายในกล่องมาต่ออย่างสนุกสนาน เด็กชายดูจะชื่นชอบกิจกรรมนี้เป็นอย่างมาก นั่งต่อ นั่งหานับชั่วโมงก็ไม่มีทีท่าว่าจะเบื่อ กระทั่งเวลาล่วงเลยเข้าช่วงเที่ยง คนเป็นหมอขอยอมแพ้ นอนเอนหลังพิงโซฟาเพื่อขอพักสายตา พลันทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นภาพวาดในกรอบรูปที่ติดอยู่ตรงผนังห้อง
"รูปนี้สวยจัง ใครวาดเหรอครับ?" เขามองไปรอบๆ กวาดตาหารูปถ่ายหรือภาพวาดอื่นๆ ไม่มีอะไรติดอยู่บนฝาผนัง นอกจากรูปๆ นี้ ศิลปะสีน้ำมันบนผ้าใบในกรอบนั้น คือรูปดอกทานตะวันสีเหลืองสดกำลังชูคอล้อแสงอาทิตย์ ไกลสุดลูกหูลูกตาเป็นทะเลสีคราม
มันให้ความรู้สึกสดใส สดชื่น
"น้าชะวาดให้ทานตะวันเป็นของขวัญวันเกิดครับ"
"ตาคนหน้าดุคนนั้นน่ะเหรอ?" เขาพึมพำเบาๆ กับตัวเอง
ไม่น่าเชื่อ…ทำอะไรอ่อนโยนกับเขาเป็นด้วยแฮะ
ในขณะที่นึกทึ่งกับความสามารถของคนดุดัน จู่ๆ เสียงมือถือของเด็กชายก็ดังขึ้น ทานตะวันเดินเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะกลับออกมาพร้อมเครื่องมือสื่อสาร
“ครับ ได้ครับน้าชะ จะคุยกับอาภูมิไหม? ครับ” เด็กชายกดวางสายหลังจบบทสนทนาเพียงสั้นๆ ก่อนหันมาบอกกับภาคภูมิ “น้าชะบอกให้อาภูมิเอากับข้าวไปให้ที่ทำงานครับ”
“ห้ะ?”
///
“นี่ครับ”
ภาคภูมิยื่นปิ่นโตสีฟ้าอ่อนในมือให้คนที่กำลังยืนคุยกับนายช่างวิศวะ ขณะคนงานกำลังทยอยเข้าไปในเต็นท์เพื่อรอรับอาหาร การมาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงดึงความสนใจจากนายช่างทั้งสอง เมื่อเห็นว่าเป็นคนที่บ้าน นายช่างใหญ่จึงยุติการคุยงานเพียงเท่านั้น ก่อนขอตัวเดินออกไปเพื่อให้เวลากับคนสองคน
เขาไม่รู้หรอกว่าความสัมพันธ์ของชยางกูรกับหมอหนุ่มตัวขาวคนนั้นเป็นอย่างไร แต่ดูท่าจะค่อนข้างสำคัญไม่น้อย ไม่อย่างนั้นชยางกูรคงไม่โทรหาเพื่อให้อีกฝ่ายนำอาหารมาให้ถึงที่แบบนี้หรอก
“นึกว่าชาติหน้าถึงจะได้กิน ไม่เห็นเหรอว่ามือผมไม่ว่าง เอาไปจัดวางให้ที่โต๊ะนู่น”
“นี่ผมสงสัย ว่าตกลงผมเป็นจิตแพทย์หรือแม่บ้าน” เขาเอ่ยพลางเดินตามคนตัวสูงต้อยๆ ทุกวันนี้ไม่ทำอาหารก็ล้างจาน ไม่ล้างจานก็กล่อมเด็กนอน ไม่กล่อมเด็กนอน ก็ต้องมาเอาใจเด็กโข่งตรงหน้าอีก นี่ถ้าไม่ติดว่าเป็นน้องพี่ภพซึ่งมีบุญคุณกันมา เขาคงไม่ทำอะไรให้ขนาดนี้หรอก
“ผมกินข้าวของไซต์งานไม่ได้”
“เห็นไหม เป็นคนเรื่องมากไง เลยอยู่ที่ไหนก็ลำบาก” หมอหนุ่มหยัดมุมปากบริภาษใส่แผ่นหลังกว้าง ทว่าฉับพลันเจ้าของแผ่นหลังกลับหยุดชะงักเพราะคำพูดของอีกฝ่าย เป็นเหตุให้คนเดินตามชนเข้าอย่างจัง ทั้งหน้าผาก ทั้งปลายจมูกแดงเรื่อด้วยแรงกระแทก
“มันเผ็ดเกิน”
จริงๆ ชยางกูรเป็นคนชอบอาหารไทย กินได้หมดทุกอย่าง แต่กับอาหารใต้แท้ๆ ที่มีความเผ็ดสูง เห็นทีต้องขอยอมแพ้
“อ้าว...งั้นหรอกเหรอ” ภาคภูมิคลำหน้าผากป้อยๆ “ถ้างั้น เดี๋ยวผมไปเตรียมสำรับให้คุณที่โต๊ะแล้วกันเนอะ ผมทำหมูทอดกระเทียมมาให้เพิ่มอีกหนึ่งอย่าง ผมกลัวคุณเบื่อข้าวผัดอะ เดี๋ยวขอข้าวหุงจากที่ไซต์ก็แล้วกัน”
คนเป็นหมอนึกเห็นใจ เพราะรู้ว่าชายหนุ่มทำงานตั้งแต่เช้า คงทั้งร้อน ทั้งหิว ดูได้จากเหงื่อที่โทรมกาย อีกอย่างเมื่อคืนชยางกูรไม่สบายหนัก วันนี้ร่างกายคงไม่เป็นปกติเท่าไหร่นัก
“นั่งเลยคุณ แล้วนี่ก็ยานะ ที่เหลือคุณพกไว้เลยแล้วกัน ทานตามที่เขียนไว้บนซองเลย” คนตัวบางจัดแจงอย่างคล่องแคล่ว ทั้งดึงเก้าอี้ให้นั่ง ทั้งแกะปิ่นโตแยกออกเป็นอย่างๆ วิ่งไปขอข้าวสวยจากคนตักอาหารมาให้ ก่อนวางน้ำเปล่าพร้อมยาเสร็จแล้วจึงยืนมองอยู่ใกล้ๆ ด้วยแววตาแสนซื่อ
จิตแพทย์บริการให้อย่างดีจนว่าที่สถาปนิกนึกฉงนอยู่ในใจ ทั้งที่ถูกใช้ให้เอาอาหารมาให้ อีกฝ่ายกลับดูค่อนข้างเต็มใจเสียอย่างนั้น เขามองกับข้าวกับปลาสลับกับใบหน้าขาว ก่อนจะลงมือกินอาหารเที่ยง จังหวะหนึ่งคนเป็นหมอก็ปรี่ไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ
"ผมเห็นรูปดอกทานตะวันในห้องทานตะวัน นั่นฝีมือคุณเหรอ? สวยจังเลย เพิ่งรู้ว่าสถาปนิกก็วาดรูปสวยๆ เป็นด้วย" เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้น พร้อมประกายแววตาสดใส ชยางกูรยังคงก้มหน้าก้มตากินต้มจืดสาหร่ายกับหมูทอดกระเทียมอยู่เงียบๆ
"นี่ๆ วาดให้ผมสักรูปสิ อยากเอาไปประดับที่คลินิก” คนเป็นหมอชื่นชมงานศิลปะอย่างจริงจัง เพราะมันทำให้เขาได้จินตนาการและดื่มด่ำกับความสวยงาม แล้วสไตล์ของชยางกูรก็เป็นแบบที่เขาชอบพอดี
“ผมไม่ว่าง” ชายหนุ่มบอกปัด เขาเรียนออกแบบภายใน ไม่ได้เรียนวาดรูปเพื่อความสวยงาม แต่ถ้าหากจะวาดจริงๆ มันต้องเกิดจากความพึงพอใจของเขาเท่านั้น งานทุกชิ้นที่ผ่านมาเป็นงานที่มีให้เฉพาะกับคนสำคัญ
ซึ่งภาคภูมิยังห่างไกลกับคำนี้มาก
///
“เอาไว้ถ้าคุณว่างก็ได้นี่ ผมไม่รีบ จะให้ผมจ้างก็ได้นะ”
“อย่าเซ้าซี้มากได้ไหม คนจะทำงาน กลับบ้านไปได้แล้วไป” ชยางกูรทำหน้าหน่าย เอ่ยปากไล่ภาคภูมิ หลังทานข้าวเสร็จ คนเป็นหมอก็ยังเซ้าซี้เดินตามต้อยๆ ขนาดมาถึงจุดก่อสร้างก็ยังไม่ยอมห่างไปไหน
“ถ้าผมเป็นดอกไม้บ้าง คุณว่าผมเป็นดอกอะไร"
“นี่ไม่ฟังกันเลยหรือไง”
“ดอกอะไรเล่า บอกมาสิ ถ้าบอกเดี๋ยวผมกลับเลย”
"หน้าวัว" สถาปนิกฝึกหัดตอบแทบไม่ต้องคิด
"แรงมาก"
ชยางกูรเบือนหน้าไปทางอื่น หลังเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มสลดลงจนเหมือนหมาหงอย พอพ้นสายตาอีกฝ่าย มุมปากพลันยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อคนงานเริ่มทยอยเข้ามายังจุดก่อสร้างนั่นแปลว่างานในบ่ายนี้กำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง ด้วยไม่อยากให้ภาคภูมิยังอยู่ที่นี่ เขาหยิบปากกาลูกลื่นในกระเป๋าเสื้อจรดลงกระดาษโน้ตได้ฟรีที่มีโลโก้โรงแรมติดอยู่ตรงมุม ก่อนยื่นให้คนขี้ตื๊อ
"เอาไปใส่กรอบซะ"
“ดอกหน้าวัวจริงดิ? ผมหน้าเหมือนวัวเหรอ”
“มันมีความหมายมากกว่านั้น”
“หมายความว่ายังไงล่ะ?” หมอหนุ่มทำหน้ามุ่ย มองรูปวาดในมือที่ไม่ได้สวยงาม ไม่มีแสงเงา ไม่มีการลงสี แค่เห็นก็รู้แล้วว่าชยางกูรไม่ได้ให้ความสนใจ ไม่ได้ให้ความสำคัญในสิ่งที่เขาปรารถนา
“ไปหาเอาเอง ผมต้องทำงาน” พูดเพียงแค่นั้นก็เดินผละออกไปทันที ภาคภูมิเห็นดังนั้นจึงยอมปล่อยวาง เก็บกระดาษแผ่นเล็กใส่กระเป๋า ก่อนจะเดินกลับบ้านพร้อมกับปิ่นโตเปล่าในมือ
การทำงานภาคบ่ายเริ่มต้นขึ้น ชยางกูรกับหัวหน้าวิศวกรนามว่าจอห์นกำลังพูดคุยกันถึงแบบของสระว่ายน้ำไร้ขอบที่หันหน้าออกทะเลในมุมสูง
“สระว่ายน้ำที่คุณชะออกแบบมาผมว่าไม่น่าจะเหมาะกับเชิงเขานะ เพราะพื้นที่บนนี้ส่วนใหญ่มีลักษณะโค้งมน เราควรทำสระให้ได้รูปตามลักษณะภูมิศาสตร์มากกว่าเพื่อความปลอดภัย สระกระจกสี่เหลี่ยมผืนผ้ายื่นออกไปจากตัวเขา ผมว่ามันอันตรายเกินไป ที่นี่ฝนตกชุกตลอดทั้งปี ผมเกรงว่าแนวเขากับดินจะเอาสลิงไม่อยู่” คนมากประสบการณ์ออกความเห็นอย่างตรงไปตรงมา
“ถ้าอย่างนั้นผมจะออกแบบใหม่ให้สระอยู่บนพื้นดินทั้งหมด แต่ยังคงลูกเล่นให้ตัวสระด้านทะเลเป็นกระจก” อันที่จริงไฮไลท์ของโรงแรมเฟสใหม่คือ สระว่ายน้ำกระจกที่ยื่นออกจากเชิงเขา เพื่อให้ได้ภาพวิวแบบ 360 องศา แต่ในเมื่อทางฝั่งงานสร้างไม่เห็นด้วยเพราะมีความเสี่ยง ฝ่ายออกแบบอย่างเขาน้อมรับและพร้อมแก้ไข
“ดีครับผมเห็นด้วย ถ้าใช้พื้นที่ตรงนี้...จะได้สระหน้ากว้างที่คุณสามารถทำให้มันเป็นกระจกประมาณห้าเมตรครึ่ง มากสุดไม่เกินเจ็ดเมตร ความยาวประมาณแปดถึงเก้าเมตร ผมไม่แน่ใจ เราต้องคำนวณพื้นที่กันอีกทีหนึ่ง เดี๋ยวจะให้ไอ้เก่งลองลงรางวัด” วิศวกรใหญ่พูดพร้อมกับกวักมือเรียกช่างเก่ง ระหว่างนั้นชยางกูรตั้งใจจะเอาปากกาเขียนแบบมาวาดโครงร่างคร่าวๆ ที่คิดไว้ในหัว ทว่ากลับนึกขึ้นมาได้ว่าหลายวันก่อนเขาทิ้งมันไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือ
“นายช่างครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปเอาปากกาเขียนแบบที่บ้านก่อนนะครับ”
ชยางกูรตั้งท่าจะเดินจากไป หากแต่มีเสียงร้องทักจากไอ้เก่งดังขึ้นมาเสียก่อน
“ที่บ้านมีดีอะไรน้า ถึงอยากกลับเพื่อไปเอาปากกาแค่แท่งเดียว เมื่อเที่ยงเจอกันยังไม่พอล่ะสิท่า เอ...หรือฤทธิ์ยาดองเมื่อคืนยังไม่จาง เป็นไงนาย...เสร็จป่ะ” ไอ้เก่งละจากหน้าที่มากระแซะข้างคนตัวสูง
“เสร็จ”
“เฮ้ย! บ๊ะๆๆ ร้อนแรง เสร็จกี่รอบล่ะนายช่าง”
“มึงนี่แหละจะเสร็จตีนกู” พูดจบก็เดินจากไปทันที ส่วนไอ้คนที่เซ้าซี้ถามหาเอาความสัมพันธ์ของคนหล่อก็ได้แต่หุบปากฉับ แถมยังโดนหัวหน้าเฉ่งเสียยกใหญ่
อีกด้านหนึ่ง..
เมื่อมาถึงบ้าน ภาคภูมิเห็นเด็กน้อยทานตะวันงีบหลับกลางวันจึงไม่อยากรบกวน ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน เด็กชายก็ดูเป็นคนหลับง่าย กินง่ายปกติ ไม่เหมือนดังคำเล่าของธนภพเลยสักนิด บางทีนี่อาจเป็นสัญญาณที่ดีที่จะเกิดขึ้นในเร็ววัน
เมื่อมีเวลาว่างเป็นของตัวเอง คนเป็นหมอจึงใช้ช่วงนี้อยู่กับตัวเอง นั่งพักยังเก้าอี้เอนตรงระเบียงด้านหลังห้อง พลางเปิดโน๊ตบุ๊คของตัวเองเพื่อเช็คความเป็นไป ทั้งเรื่องงาน ทั้งครอบครัว ก่อนอื่นเปิดโปรแกรมแชทที่ไม่ได้เปิดมานานเพราะโทรศัพท์แบตหมด ชื่อแรกที่ปรากฏคือน้องสาวของตัวเอง สามสิบกว่าข้อความที่มาจากเธอ ล้วนแล้วแต่เป็นการทักทายถามหา หลังๆ เป็นประโยคแสดงความเป็นกังวลที่เขาหายไป
ภาคภูมิพิมพ์ตอบไปในทันที ไม่นานเธอก็ตอบกลับมา
‘จะบ้าเหรอ! หายไปนานขนาดนี้ พิมพ์นึกว่าพี่ภูมิตายไปแล้ว!! จะโทรหาโรงแรมก็จำชื่อโรงแรมไม่ได้’
เขาหัวเราะคิกคักอยู่คนเดียว ก่อนจะตอบกลับ
‘ปากดีมาก หายไปสามสี่วันเอง พ่อแม่เป็นไงบ้าง’
‘สองคนนั้นไม่ต้องห่วงหรอก คงคิดว่าพี่ทำงานเหมือนเคย เลยไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่ ตอนนี้ก็ไปออกทริปทำบุญเก้าวัดที่สุโขทัยนู่น แล้วพี่ล่ะเป็นไงบ้าง สบายดีหรือเปล่า’
หลังได้รับคำถาม ภาคภูมินิ่งไปชั่วอึดใจ
‘ก็ดี พี่ภพกับลูกชายของเขาน่ารักมาก ต้อนรับเป็นอย่างดี’
‘อย่าหลงเสน่ห์พ่อม่ายลูกติดล่ะ เมียเขาเพิ่งตาย ถ้าจะสนก็รอให้เรื่องมันซาก่อน’
“เพ้อเจ้อ” ภาคภูมิหลุดขำพลางส่ายหน้า
‘พี่ภูมิ’
‘ว่า?’
‘แต่ถ้าเขาดีจนทำให้เรารู้สึกดีตามไปด้วย พี่ก็อย่าปิดกั้นตัวเองเลยนะ พี่เป็นคนดี สมควรจะได้เจอกับสิ่งที่ดี ไม่ใช่ไอ้คนใจโลเลคนนั้น’
คำพูดของพิมพ์ใจทำเอาคนอ่านถึงกับชะงัก รอยยิ้มเลือนหายจากใบหน้า นานนับนาทีกว่าเขาจะกดแป้นพิมพ์อีกครั้ง
‘อย่าเลยพิมพ์ พี่ภพดีเกินไป อีกอย่างเขาไม่สนใจพี่หรอก เขาไม่ได้ชอบผู้ชาย’
‘พูดแบบนี้แสดงว่าถ้าเขาไม่ดีเกินไป แล้วชอบผู้ชายได้ พี่ภูมิจะเปิดใจให้เขา?’
พอประโยคนี้เด้งขึ้นมา และทันทีที่อ่านมันจบ หัวใจภาคภูมิถึงกับกระตุกไหว สมองไม่รักดีพาลนึกถึงรอยยิ้มและความอบอุ่นของธนภพที่มีต่อเขา
รุ่นพี่คนนั้นเป็นแฟมิลี่แมนที่เมื่อใครได้มาใกล้ชิดก็คงจะหลงใหลได้ไม่ยาก
ไม่แปลกหรอกที่เขาจะ...รู้สึกดี
แต่มันก็เป็นแค่ความรู้สึกดีในฐานะรุ่นพี่รุ่นน้องเพียงเท่านั้น ส่วนคำถามของพิมพ์ใจเขาตอบไม่ได้ เพราะไม่เคยคิดไปถึงขั้นนั้น แล้วก็จะไม่ยอมให้มันไปถึงโดยเด็ดขาด อีกอย่างธนภพรักภรรยาของเขามาก คงไม่มีวันเบี่ยงเบนมาสนใจคนเพศเดียวกันเป็นแน่ เขามั่นใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะไม่มีวันพัฒนาเป็นอื่นเด็ดขาด