‘แค่นี้ก่อน ต้องรีบไปทำงาน’ เขาเลี่ยงตอบคำถาม
‘อย่าลืมหาที่ชาร์จแบต อยากเม้าด้วยจะแย่’
พิมพ์ใจตอบกลับมาแค่นั้น เพราะเข้าใจในตัวพี่ชายจึงไม่อยากเซ้าซี้ ภาคภูมิถอนหายใจ ก่อนจะปิดหน้าแชทแล้วเลือกเปิดอีเมล์ ในกล่องขาเข้าไม่ได้มีจดหมายน่าสนใจใดใด มีเพียงรายงานผลการปฏิบัติงานประจำวันของคลินิกจากเลขาฯ กับบทความงานวิจัยเกี่ยวกับโรคจิตจากต่างประเทศที่เพื่อนจิตแพทย์ส่งมาบอกเล่า เพื่อศึกษาและถกประเด็นกันเป็นประจำเท่านั้น
เขาอ่านและตอบอีเมล์เหล่านั้นกลับไป ก่อนจะพับเก็บโน้ตบุ๊ค ทว่ามือบางกลับต้องชะงัก เมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หมอหนุ่มล้วงหยิบกระดาษ แผ่นหนึ่งออกจากกระเป๋ากางเกง จ้องมองภาพวาดดอกหน้าวัวอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันไปค้นหาความหมายของมันจากวิกิพีเดีย
“คนไทยถือว่าดอกหน้าวัวเป็นดอกไม้อัปมงคล ใช้ในงานศพ ไม่เหมาะที่จะมอบให้ในงานวันเกิด...” หมอหนุ่มอ่านออกเสียงมาถึงตรงนี้ก็หน้าตึงฉับพลัน
ว่าแล้ว...ความหมายมันไม่เคยดีหรอก
เขาคิดในใจแต่ก็ยังอ่านต่อให้จบ
“แต่ถ้าจะให้เป็นดอกไม้แทนความรักแล้วละก็ มันกลับมีความหมายที่ดี ไม่แพ้ใครเลยซึ่งความหมายนั่นก็คือ ‘ความรักที่มั่นคงและอดทน’”
ความรักที่มั่นคงและอดทน...
นี่คือสิ่งที่ชยางกูร...เห็นในตัวเขาอย่างนั้นเหรอ
หัวใจช้ำรักสะท้านไหว เกิดความคิดหนึ่งเด่นชัดขึ้นในสมอง...ผู้ชายคนนี้ลึกซึ้งเหลือเกิน
หลายต่อหลายครั้งที่ชยางกูรป่าวประกาศต่อหน้าเขาว่าตัวเองนั้นรักคนในหัวใจมากแค่ไหน ก็เป็นหลายต่อหลายครั้งที่ภายในอกของคนฟังเช่นเขายอมรับหมดความรู้สึกว่าทั้งประทับใจและอิจฉาใครคนนั้นอยู่ลึกๆ
เขาก็แค่อยากมีคนที่รักมั่นแบบนี้บ้าง
ภาคภูมิจมอยู่ในภวังค์ความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงแจ้งเตือนดังออกมาจากคอมพิวเตอร์ โปรแกรมวีดิโอคอลมีแจ้งเตือนเป็นชื่อใครคนหนึ่งยังมุมขวาของหน้าจอ เป็นคนที่ไม่ได้มีรักมั่นไว้เพื่อเขา เป็นคนที่ทิ้งเขาไปอย่างเลือดเย็น
จิตแพทย์หนุ่มชั่งใจอยู่นานจนสายเรียกเข้าดับไปถึงสองครั้ง พอครั้งที่สามดังขึ้นมา เขากดรับด้วยความอยากรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไร หน้าจอเปลี่ยนเป็นภาพเคลื่อนไหว คนปลายทางดูเหมือนจะตกใจที่เขากดรับ ถึงได้เบิกตาโตพูดไม่ออกหลายวินาที
“มีอะไรก็รีบพูดมา ผมมีเวลาให้คุณไม่มาก” ภาคภูมิทำหน้าเรียบเฉย ตะวันละล่ำละลัก
“ผมติดต่อคุณไม่ได้เลย ตั้งแต่หลายวันก่อน บ้าเอ๊ย! ผมจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”
“อย่ามาโกหกให้ผมเชื่ออะไรอีกเลย คุณจะเป็นบ้าได้ยังไง งานแต่งก็ออกจะทำหน้าระรื่น อ่อ...ยินดีด้วยแล้วกันนะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็แค่นี้”
“เดี๋ยวๆๆ ภูมิฟังตะวันก่อนนะ ที่ตะวันแต่งงานกับเจสสิก้า เป็นเพราะเธอขู่จะฆ่าตัวตาย พ่อแม่ของเธอเลยขอร้องผมให้แต่งงานกับเธอ คิดเอาไว้ว่าถ้าสภาพจิตใจเธอดีขึ้นเมื่อไหร่ ก็ค่อยหย่า แต่ผมสาบาน ว่าผมไม่ได้รักเธอแล้วจริงๆ นะ ผมรักภูมิ ได้ยินไหมว่ารักภาคภูมิ”
“พอเถอะตะวัน ผมไม่มีวันเชื่อคุณอีกแล้ว ยังไงตอนนี้คุณก็แต่งงานกับเธอไปแล้ว ผมว่าคุณควรให้เกียรติเธอ แล้วก็ใช้ชีวิตร่วมกับเธอซะ อีกอย่าง...ถ้าคุณรักผมจริง คุณคงไม่ทิ้งผมไปหาเธอตั้งแต่แรก”
“ผม...ผมหลงผิด”
“หลงเก่งเนอะ หลงตั้งสามปี หาทางกลับไม่เจอสักที” ภาคภูมิอดแดกดันใส่ไม่ได้ แววตาหม่นหมองลงเมื่อมองเห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นปิดหน้าปิดตา ท่าทางตะวันคงเหนื่อยล้าจริงๆ
“เราจะจบกันแค่นี้จริงๆ เหรอภูมิ”
“......”
“ตะวันเจ็บว่ะ”
“แล้วคิดว่าภูมิไม่เจ็บเหรอ สามปีที่ต้องทนอยู่กับความทรมาน ตะวันคิดว่าภูมิผ่านมันไปได้ง่ายๆ เหรอ ภูมิรักตะวัน รักจนไม่เผื่อใจไว้เจ็บเลย จนวันหนึ่งตะวันเดินจากไป โลกของภูมิเหมือนพังทลายเลยรู้ไหม...”
ริมฝีปากเม้มแน่นเพื่อสะกดกลั้นความเจ็บปวด ก่อนจะยกมือปาดน้ำตาออกจากใบหน้า อุตส่าห์ทำใจแข็งได้ตั้งนาน สุดท้ายก็พังลงไม่เป็นท่า
“ภูมิ...อย่าร้องไห้ ตะวันทนเห็นไม่ได้”
“เราจบกันแค่นี้เถอะนะ ขอให้คุณมีความสุขกับชีวิตที่เหลือก็แล้วกัน”
“ภูมิ! ตะวันจะไม่ยอมปล่อยภูมิไปง่ายๆ แน่…” ตะวันกระชากเสียงเพื่อรั้ง เมื่อเห็นว่าภาคภูมิทำท่าจะจบบทสนทนา “สามปีมานี้ตะวันคิดทบทวนมาตลอด ทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ตะวันไม่โกรธตัวเอง ภาคภูมิ...มีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะบอก”
“......” นัยน์ตาเคยใสบัดนี้แดงก่ำด้วยฤทธิ์น้ำตา ภาคภูมิเป็นคนโง่เง่าที่ยังคงรอฟังตะวันเสมอ แต่นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะโง่
ตะวันตอนนี้ก็ตาแดงก่ำไม่แพ้กัน ซ้ำดวงหน้าเคยหล่อเหลาเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า หนวดเคราผุดเป็นตอ เหมือนกับว่าเจ้าตัวไม่ได้ดูแลตัวเองเลยแม้แต่นิด
“ตะวันทั้งโง่และบ้าที่ทำคนพิเศษหลุดมือ จริงๆ ภาคภูมิไม่ใช่ตัวประหลาด ตะวันต่างหากที่ประหลาด คิดว่าผู้ชายท้องได้เป็นเรื่องน่ากลัว แต่ตอนนี้...”
“......”
“ผมอยากมีลูกกับคุณนะ”
คนฟังถึงกับยิ้มหยันหลังได้ยินคำสารภาพ
“จะมาคิดได้อะไรเอาตอนนี้ มันสายไปแล้วตะวัน ชีวิตต่อจากนี้ของผม รอคอยแค่คนที่เห็นค่ามันตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้เท่านั้น”
ภาคภูมิไม่ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายได้พูดต่อ เขาปิดหน้าจอพับลงทันที ก่อนจะชันเข่าขึ้นมากอดแล้วซบหน้าลงบนเข่าด้วยความเหนื่อยล้า
ต้องมีสิ...ต้องมีสักคนที่ไม่ทำหน้าตกใจแล้วบอกว่าเขาคือตัวประหลาด
จบลงแล้วความรักนับสิบปี...แม่งเป็นการล่ำลาที่แย่มาก
“เป็นอะไร”
“!!”
จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นยังเบื้องหลัง ทำเอาคนที่กำลังพยายามสงบสติอารมณ์สะดุ้ง ลุกขึ้นพร้อมกับหันไปเผชิญหน้ากับคนที่ยืนอยู่ตรงกรอบประตูเชื่อมต่อระหว่างห้องนั่งเล่นและระเบียงด้านหลัง หมอหนุ่มตัวบางลนลานพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าชยางกูรมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ความกังวลกลัวว่าอีกฝ่ายจะได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับอดีตคนรักทำให้ร้อนรน จังหวะหนึ่งเผลอไผลก้าวถอยหลังจนร่างชิดระเบียงบ้าน ไกลออกไปเป็นป่าเขาและลำธารน้ำเล็กๆ ส่วนสูงที่มีมากทำให้ขอบระเบียงอยู่ในระดับใต้สะโพกเท่านั้น บ้านหลังเล็กเป็นแบบใต้ถุนยกสูงเล็กน้อย หากตกลงไปคงได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้นแรงตกใจส่งให้ช่วงบนหงายหลังไร้ทิศทาง
ภาคภูมิหน้าเหวอ กางแขนปัดป่ายคว้าอากาศ จำนนตัวเองวินาทีต่อวินาทีคิดว่าตกลงไปแน่ ฉับพลันจังหวะนั้นกลับมีมือหนึ่งคว้าเอวเอาไว้ ก่อนร่างทั้งร่างจะลอยหวือกลับเข้ามาและตกอยู่ในวงแขนแกร่งของคนช่วย
“ถ้าเป็นนางเอกนิยายคงจะโรแมนติกกว่านี้ แต่คุณไม่ใช่” ชยางกูรแซะแซวคนทำตัวกระโดกกระเดกในอ้อมกอด
“พระเอกนิยายก็ไม่ปากร้ายเท่าคุณเหมือนกัน”
คำโต้เถียงของคนจมูกแดงทำให้คนฟังหลุดขำ เกือบตกระเบียงคอหักตายแต่ยังกลับมาเถียงได้ฉอดๆ ภาคภูมิค้อนใส่โดยการผลักอกอีกฝ่ายให้ออกห่าง ก่อนจะหลบซ่อนใบหน้าเพื่อปกปิดรอยชอกช้ำ หลังถูกอีกฝ่ายจดจ้องแถมยังก้มหน้าลงมาใกล้
“ร้องไห้เหรอ?”
“เปล่านี่ ผมแค่คัดจมูก คุณกลับมามีอะไรหรือเปล่า”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหลบเลี่ยง คนตัวสูงก็ไม่คิดเซ้าซี้ เขาถอยห่างออกมา ก่อนจะถามภาคภูมิ
“ผมมาหาปากกาเขียนแบบ วันก่อนจำได้ว่าวางไว้บนโต๊ะในห้องนอน คุณเห็นหรือเปล่า”
“ถามหาทำไมเหรอ?” ภาคภูมิเอ่ยตะกุกตะกัก
ปากกาหมึกเยิ้มแท่งนั้นน่ะเหรอ เขาทิ้งมันลงถังขยะ แถมพนักงานโรงแรมก็มาเก็บขยะทุกอย่างไปเมื่อเช้าแล้วน่ะสิ!
“ผมจะเอาไปวาดแบบ อยู่ไหน ผมต้องการมัน”
ชายหนุ่มคาดคั้นจะเอาให้ได้ พร้อมกับเดินเข้าไปหาในห้องนอนอีกครั้ง ที่จริงชยางกูรมาถึงนานแล้ว และทันเห็นภาคภูมิกำลังวีดิโอคอลคุยกับใครอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเพราะต้องการแค่ปากกาแล้วจะกลับไปทำงานต่อ ทว่าหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ จะปลุกหลานชายขึ้นมาถามก็เกรงใจ
ภาคภูมิเริ่มเหงื่อแตก เดินปรี่ตามแผ่นหลังกว้าง ลอบมองชยางกูรสาละวนหาปากกาด้วยความเป็นกังวล ทำไมชายหนุ่มทำเหมือนกับว่ามันสำคัญนักนะ
“เจอไหม?” ว่าที่สถาปนิกหนุ่มขมวดคิ้ว เงยหน้าถามอีกคน หลังก้มดูตามใต้โต๊ะ
“เอ่อ...ผม...”
“......”
“ทิ้งมันไปแล้ว น...น้ำหมึกมันไหลเยิ้มออกมาเลยนะ ดูรอยน้ำหมึกบนโต๊ะสิ มันพังแล้วล่ะคุณ”
“ทิ้งตรงไหน”
ทันทีที่ได้รับคำตอบ เสียงทุ้มก็เริ่มแข็งกร้าวขึ้นมาทันที ภาคภูมิค่อยๆ ชี้นิ้วไปยังถังขยะเล็กๆ ข้างโต๊ะ หากแต่ตอนนี้มันกลับว่างเปล่า มีเพียงถุงพลาสติกที่หุ้มไว้ให้ใหม่
“...คนของโรงแรมมาเก็บขยะไปทิ้งแล้วเมื่อเช้า”
“เหี้ยเอ๊ย!! รู้ไหมว่าทำอะไรลงไป!!”
คำตอบของภาคภูมิ ทำให้ชยางกูรถึงกับสบถหยาบเดือดดาลผลักอกภาคภูมิจนร่างบางเซไปกระแทกโต๊ะ ก่อนรีบกดโทรศัพท์ไปที่โรงแรม ถามพนักงานด้วยเสียงกร้าวราวกับคนสติใกล้หลุด
“ไปเจอผมที่นั่นภายในห้านาที!” ว่าที่สถาปนิกเลือดขึ้นหน้า สั่งเสียงเข้มใส่พนักงานทำความสะอาดที่รับหน้าที่นำขยะจากโรงแรมและบ้านทานตะวันไปทิ้ง
“เดี๋ยวผมซื้อใหม่ให้ก็ได้ แค่ปากกาด้ามเดียวเอง” ภาคภูมิไม่เข้าใจว่าทำไมชยางกูรถึงเป็นเดือดเป็นร้อนขนาดนี้ มันก็แค่ปากกาที่ดูแล้วก็ไม่ได้มีลักษณะพิเศษอะไร คงหาซื้อได้ไม่ยากไม่ใช่หรือ
ขายาวก้าวเกือบพ้นกรอบธรณีหยุดชะงัก หลังได้ยินดั่งคำเหยียดหยามสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต
แค่ปากกาด้ามเดียว...แต่มันเป็นหัวใจทั้งดวงของเขา
ชายหนุ่มไม่อาจสะกดกลั้นความโกรธได้ ตวัดกายหมุนกลับไปคว้าต้นแขนของร่างบางพร้อมกระชากให้ออกเดินไปพร้อมกัน
“ผมไม่ต้องการด้ามอื่น ถ้าหามันไม่เจอ อย่าหวังว่าจะได้กลับบ้าน”
///
“โอ๊ย!” คนถูกเหวี่ยงร้องลั่น หลังก้นจ้ำเบ้ากระแทกพื้นเข้าอย่างจัง
“หาเดี๋ยวนี้!” ชยางกูรชี้นิ้วใส่หน้า สั่งภาคภูมิให้เริ่มหา ด้านหลังพวกเขามีพนักงานชายสองคนทำหน้าตาตื่นเกร็งลนลานรีบคุ้ยเขี่ยขยะตามคำสั่ง
จิตแพทย์หนุ่มหน้าเสีย พลางกวาดตามองไปโดยรอบ หลังถูกกระชากให้ซ้อนรถมอเตอร์ไซด์ไม่ถึงห้านาทีก็มาถึงที่นี่ ที่ดินว่างเปล่าของโรงแรมตรงนี้ใช้ทำเป็นที่ทิ้งขยะ ส่วนใหญ่ใช้ฝังกลบและส่วนน้อยใช้เผา โดยแบ่งไปตามชนิดของขยะ
ที่กว้างขนาดนี้จะหาเจอได้ยังไง
“ผมเอาขยะบ้านคุณหนูทานตะวันมาทิ้งไว้แถวนี้ครับ” เด็กหนุ่มพนักงานเดินเข้ามาหาภาคภูมิ พลางชี้นิ้วกวาดไปที่บริเวณหนึ่งใกล้ๆ “เรารีบหากันเถอะครับ ดูท่าอีกไม่นานพายุจะเข้าอีกแล้ว”
ภาคภูมิทำตามที่เด็กหนุ่มว่า ลุกขึ้นยืนอย่าวทุลักทุเลเพราะรู้สึกเจ็บปวดบริเวณสะโพก มือขาวปัดกางเกง ก่อนจะเริ่มมองหาด้วยความไม่เข้าใจ เสี้ยวจังหวะหนึ่งเหลือบมองแผ่นหลังกว้างของหมาบ้าดีเดือด ที่เวลานี้กำลังตามหาปากกาด้ามนั้นด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
ทำไมถึงดูร้อนใจขนาดนั้น...หรือมันจะเป็นของสำคัญที่มีค่าต่อจิตใจ
มันคงไม่มีเหตุผลอื่นแล้วล่ะ ใครมันจะบ้ามาหาปากกาพังๆ ในกองขยะนับสิบไร่อย่างนี้ ถ้ามันไม่สำคัญจริงๆ
คิดเห็นเป็นเช่นนั้น จิตแพทย์หนุ่มก็เริ่มเดือดร้อนขึ้นมาบ้าง ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่คิด เขาคงกลายเป็นจำเลยให้ชายหนุ่มได้เกลียดชังไปตลอดชีวิตแน่
ร่างบางละทิ้งความคิดทุกอย่างเพียงแค่นั้น ก่อนจะเริ่มตามหาบ้าง
ด้วยถูกลากกระชากมาโดยกะทันหัน จึงทำให้ไม่มีเวลาเตรียมตัว การค้นหาปากกาในกองขยะจึงทำได้อย่างยากลำบาก มีเพียงกิ่งไม้กับมือเปล่าเท่านั้นที่ใช้คุ้ยเขี่ย นานนับชั่วโมง มือขาวก็เปรอะเปื้อน ซ้ำพลาสเตอร์ปิดแผลก็หลุดออก แผลแก้วบาดที่ยังไม่สมานดีจึงเริ่มปริออกอีกครั้ง
กินเวลาไปกว่าสองชั่วโมงก็ยังไม่มีใครเจอ จนกระทั่งสายฝนเม็ดใหญ่ โปรยปราย เลยทำให้การค้นหาหยุดชะงัก เด็กหนุ่มพนักงานหันมาถามหาความเห็นจากเจ้านายร่างสูงทันที
ครืน...
เสียงท้องฟ้าคำรามครางครืนแว่วมาใกล้ ตอนนี้ยังคงเป็นต้นฝน แต่อีก ไม่นานพายุคลั่งคงผ่านมา ชยางกูรอยากจะเดือดกร้าวใส่สภาพอากาศ หากแต่ยับยั้งสติอารมณ์ได้แค่การกำหมัดแน่น จะว่าไปมันก็แค่ปากกาด้ามเดียว เขาไม่ควรพาคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องมาเผชิญกับปัญหาด้วย
“กลับเถอะ” คำสั่งยุติภารกิจถูกเอื้อนเอ่ย เจ้าของร่างสูงใหญ่เดินกลับไปยังรถมอเตอร์ไซด์ ยอมจำนนต่อโชคชะตา
บางที...มันอาจไม่ใช่ของเขาแต่แรก
เขาคงเป็นเจ้าของมันได้แค่ชั่วครู่ ก่อนมันจะกลับไปอยู่ในที่ทางที่สมควร
ภาคภูมิรีบวิ่งกลับไปหาชยางกูรที่รถ พลางมองใบหน้าเรียบเฉยหากแต่ แววตาสะท้อนความเจ็บปวดของชยางกูร
“อย่าเพิ่งสิ ตรงนั้นยังไม่ได้หาเลย อย่าเพิ่งยอมแพ้”
“พอเถอะ ขึ้นรถ”
“แต่...”
“ก็แค่ของสำคัญจากคนที่รัก ของขวัญชิ้นเดียวที่มันซื้อให้ ทำงานหนักไม่รู้ตั้งกี่เดือน ถึงจะมีปัญญาซื้อปากการาคาเกือบหมื่นนี่”
“......” ภาคภูมิเบิกตาโต ลมหายใจติดขัดไปชั่วขณะ ที่มาของปากกาแท่งนั้นทำเอาเขาอึ้ง
เพิ่งรู้ว่าคือของแทนใจ ของสำคัญของคนที่ไม่คิดจะลืม
“ขึ้นรถ”
ปกติหากถูกโกรธหรือโมโหใส่ ภาคภูมิจะถูกด่าว่าแถมยังถูกลงไม้ลงมือใส่ ทว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดใดต่อความผิดของเขาเลย ชยางกูร ไม่พูดอะไรตลอดทางกลับบ้าน และเขาเองก็ได้แต่นั่งซ้อนท้ายฝ่าสายฝนมาด้วยกันอยู่เงียบๆ พอมาถึงก็ต่างคนต่างอยู่ราวกับว่าอยู่กันคนละโลก การกระทำเหล่านี้ยิ่งสร้างความรู้สึกผิดให้กับตัวต้นเหตุอย่างภาคภูมิมากที่สุด
พายุที่โหมกระหน่ำในบ่ายแก่วันนี้ทำให้การทำงานที่ไซต์ถูกยุติลงไปโดยปริยาย พอกลับมาถึงบ้าน ชยางกูรก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ในขณะที่เด็กชายทานตะวันนอนคว่ำใส่หูฟังเปิดเพลงเพื่อกลบเสียงฟ้าร้อง พลางต่อจิ๊กซอว์อยู่เงียบๆ คงเหลือคนมีความผิดติดตัวที่ยืนไม่สบายใจอยู่ตรงหน้าประตู
ภาคภูมิกระวนกระวายเพราะเอาแต่นึกถึงความรู้สึกของชยางกูร เขามันงี่เง่าที่เอาของแทนใจอีกฝ่ายทิ้งไปโดยไม่ไตร่ตรอง คิดแค่เอาสะใจ ไม่ได้คิดว่าของสิ่งนั้นจะสำคัญต่ออีกฝ่ายมากแค่ไหน ความรู้สึกผิดท่วมท้นล้นอก คนเป็นหมอจึง ไม่อาจอยู่เฉยได้อีกต่อไป เขาตัดสินใจวิ่งออกจากบ้าน ขึ้นควบมอเตอร์ไซด์แล้วบิดคันเร่งมุ่งหน้าไปทางที่จากมาเมื่อครู่ด้วยความร้อนรน
ร่างบางขาวสะอาดเวลานี้มอมแมมทั้งคราบฝนและคราบขยะ มือสองข้างคุ้ยเขี่ยขยะไปทั่ว คนเมืองกรุงไม่รู้ฤทธิ์พายุคลั่ง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาหาปากกาด้ามนั้นอย่างมุ่งมั่น ไม่รู้ตัวเลยว่าอีกไม่นานฝนฟ้ากำลังจะคะนองรุนแรง
ทางด้านว่าที่สถาปนิกหนุ่มที่เพิ่งชำระล้างร่างกายเสร็จก็ออกมานั่งข้างหลานชายตัวเล็ก เขาลูบเลือนผมเด็กน้อยพลางมองจิ๊กซอว์ที่เริ่มถูกต่อเป็นรูปเป็นร่างได้เกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์
“หลานน้าเก่งจัง”
“อาภูมิช่วยด้วย อาภูมิบอกว่าอยากให้ทานตะวันกลับมาสดใสเหมือนในรูปอีกครั้ง ทานตะวันเลยรีบต่อ อยากกลับมาสดใสให้พ่อ น้าชะ อาภูมิยิ้มได้ ไม่ต้องห่วงนะ อีกไม่นานทานตะวันจะกลับมา” เด็กน้อยมองน้าด้วยดวงตาใสแจ๋ว คนจิตใจด่ำดิ่งไม่ได้ต้องการจมอยู่กับความทุกข์แต่อย่างใด ทานตะวันทั้งรู้ตัว ทั้งเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เพียงแต่บางครั้งมันควบคุมบังคับจิตใจให้สดใสไม่ได้เท่านั้นเอง เพื่อให้ผู้ใหญ่สบายใจ เด็กชายจึงเอ่ยบอกถึงความตั้งใจไปทั้งหมด
“น้าชะจะรอ จะเพิ่มพลังเร่งปุ๋ยความสุขให้เดี๋ยวนี้” ชยางกูรระบายยิ้ม ก่อนจะดึงตัวหลานชายขึ้นมากอด
ทานตะวันหัวเราะร่วนกอดชยางกูรตอบแนบแน่น เด็กชายเงียบไปชั่วอึดใจ เมื่อนึกถึงใครอีกคน
“น้าชะอย่าโกรธอาภูมิเลยนะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องปากกา อาภูมิทิ้งมันเพราะมันพังแล้ว ไส้ทะลักเปื้อนโต๊ะไปหมด”
“อืม เข้าใจแล้ว ไม่โกรธก็ได้” แค่ใจมันหายไปก็เท่านั้น
“แล้วน้าชะก็ต้องเพิ่มพลังเร่งปุ๋ยความสุขให้อาภูมิด้วย”
“ทำไมล่ะ?”
เด็กชายผละกายออกห่างจากน้าชาย แล้วเปลี่ยนมานั่งตัก
“ก็อาภูมิอุตส่าห์ตื่นแต่เช้าไปซื้อยาให้น้าชะ รู้ไหมว่ารอพยาบาลนานแค่ไหน แถมยังไปตลาดซื้อของมาทำกับข้าวให้พวกเราอีก อาภูมิบอกขี่มอเตอร์ไซด์ ไม่คล่องแต่ก็ยังพยายาม แถมตอนเที่ยงก็ยังทอดหมูให้น้าชะเป็นพิเศษเลย บอกว่ากลัวน้าชะไม่อิ่ม แต่พอน้าชะกลับมาบ้านก็เอาแต่ว่าอาภูมิไม่หยุด ทานตะวันสงสารอาภูมิ”
“......”
“กลัวอาภูมิไม่อยากอยู่ที่นี่”
เด็กชายทำหน้าเศร้า ไม่ใช่ว่าเด็กอย่างเขาจะคิดไม่เป็น เห็นไปถึงความตั้งใจของคนมาใหม่ด้วยซ้ำ ตอนอยู่ด้วยกันเพื่อนพ่อคนนี้ก็ดูสดใสร่าเริงดี แต่พอเจอหน้าน้าชะทีไร ความสดใสกลับลดเลือนหายไปหมด ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ที่ทำให้อาภูมิเป็นแบบนี้
เหตุผลหลักคงมาจากหน้าดุๆ การกระทำโหดๆ ของน้าชะแน่เลย
“อาภูมิดีกับน้าชะ แต่ทำไมน้าชะถึงไม่ดีกับอาภูมิเลย”
หัวใจคนฟังสั่นคลอน ทบทวนการกระทำของตัวเองที่ผ่านมา ก็เป็นจริงดังคำหลานพูด เขาไม่เคยทำดีกับภาคภูมิ ซ้ำยังชังเสียด้วยซ้ำไป
“ไปซื้อยากันตั้งแต่เช้าเลยเหรอ”
“ครับ อาภูมิบอกว่ากลัวน้าชะไม่สบายอีก” กว่าจะไปถึงที่อนามัยก็เล่นเอาเหนื่อย เพราะอาภูมิขี่มอเตอร์ไซด์ในความเร็วแค่สามสิบเพียงเท่านั้น “ไปถึงก็นั่งรอรับยาตั้งนาน” เด็กชายพึมพำเล่าความจริง
ชยางกูรนั่งฟังหลานชายพูดด้วยความรู้สึกหนึ่งสะท้อนอยู่ในอก ไม่นานก็ร้อนรนเมื่อเหลียวมองหาใครอีกคนไปทั่วบ้าน หากแต่กลับไม่เจอ
“เขาไปไหน”
“เห็นอาภูมิวิ่งออกไปนอกบ้าน”
ชยางกูรลุกพรวดขึ้นทันทีหลังได้ยินคำตอบ เขากำชับหลานชายให้อยู่แต่ในบ้าน ก่อนจะสวมเสื้อกันฝนแล้ววิ่งฝ่าลมพายุออกไปยังไซต์งาน คนงานยังคงตั้งวงกินอาหารเย็นกันอยู่ที่นั่น เขาฝากให้ลูกสาวนายช่างใหญ่ให้ไปอยู่เป็นเพื่อนหลานชาย ก่อนตนจะขอยืมรถกระบะของนายช่างเพื่อกลับไปยังกองขยะ
รถกระบะโฟร์วีลทะยานเร็ว พุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางสายตาดุดันเหลือบไปเห็นสายฟ้าฟาดตรงกลางทะเลก็ยิ่งร้อนรน ท้องฟ้ามืดครึ้มด้วยเมฆอัดแน่น หันไปทางใดก็มีแต่บรรยากาศอึมครึมแฝงด้วยอันตราย
เปรี้ยง!
เสียงมาพร้อมกับแสงฟาดลงบนเนินเขาใกล้ๆ ภาคภูมิตกใจรีบยอบกายลงนั่งทันที มือบางเปรอะเปื้อนยกขึ้นปิดหู ดวงตาเคยใสหลับแน่น กรอบแว่นลางเลือนด้วยน้ำฝน
“อยู่ไหนนะ” จิตแพทย์หนุ่มยังคงค้นหาเจ้าปากกาด้ามนั้น ไม่สนใจหรือหวาดกลัวภัยธรรมชาติเลยสักนิด
จวบจนกระทั่งวินาทีหนึ่ง ร่างกายอ่อนล้าแหงนมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเม็ดฝน ความหนาวเหน็บกัดกินทั่วทุกอณูสรรพางค์กาย
“เจ้าป่าเจ้าเขา หรือคุณของขวัญ ช่วยผมด้วยเถอะครับ ผมผิดไปแล้ว มันเป็นความสะเพร่าของผมเอง ถ้าผมหาไม่เจอ ผมต้องรู้สึกผิดต่อคุณชะไปจนวันตายแน่ๆ”
ภาคภูมิภาวนาทั้งๆ ที่เป็นคนไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ ทว่าทันใดนั้นสิ่งที่ได้กลับคืนกลับไม่ใช่สิ่งที่คาดหวัง หากแต่เป็นพายุคลั่งที่นำพาเอากิ่งไม้ขนาดใหญ่ลอยปลิวมาทางนี้ วินาทีนั้นเขาถึงกับชะงักนิ่ง กิ่งไม้ใหญ่โตเกินตัวกลิ้งหลุนๆ ด้วยความเร็วเข้ามาใกล้ เขาหลับตายอมรับชะตากรรม ด้วยไม่รู้ว่าจะวิ่งหลบไปทางไหนและทันหรือไม่
แต่แล้วกลับมีรถกระบะคันหนึ่งพุ่งเข้ามาจอดขวางมันเอาไว้เสียก่อน
เอี๊ยดด!!
เสียงล้อรถบดพื้นดังสนั่น เป็นเหตุเรียกสายตาจากคนเริ่มกลัว ภาคภูมิหรี่ม่านตามองแสงไฟจากหน้ารถ แต่กว่าจะรู้ว่าใครเป็นคนช่วยเอาไว้ ร่างสูงใหญ่ตรงหน้าก็ปรี่เข้ามากระชากตัวเขาเอาไว้ก่อนแล้ว
"มาที่นี่อีกทำไม ไม่รู้หรือไงว่ามันอันตราย! รู้ไหมว่าคุณแม่งโคตรตัวปัญหา!"
ชยางกูรเกาะกุมหัวไหล่บางทั้งสองข้าง เอ่ยถามคนตรงหน้าเสียงกร้าวทว่าสีหน้ากลับสะท้อนด้วยความรู้สึกหนึ่ง ซึ่งชายหนุ่มไม่ยอมรับว่าคือความเป็นห่วง นัยน์ตาคมกวาดมองร่างภาคภูมิที่เต็มไปด้วยคราบสกปรก เนื้อตัวมอมแมมตั้งแต่หัวจรดเท้า
ภาคภูมิถูกชยางกูรเขย่าคาดคั้นจนทำให้แว่นสายตาร่วงตก ปรายสายตาก่อนความคมชัดจะเลือนหาย กลับมีแสงไฟจากรถยนต์ช่วยให้ทันเห็นว่ามันตกไปอยู่ตรงจุดไหน ร่างบางผลักชยางกูรออกห่าง ก่อนจะรีบปรี่ไปก้มเก็บมันมาสวมดังเดิม
ทันใดนั้นสายตาเหลือบไปเห็นปากกาด้ามหนึ่งในถุงพลาสติกใส
"ผมเจอแล้ว! เจอแล้วคุณชะ นี่ไงๆ" จิตแพทย์หนุ่มเบิกตากว้าง รีบแกะเอาปากกาออกมาแล้วผุดยืน
มือเปรอะเปื้อนยื่นของสำคัญกลับคืนให้ หน้าตามอมแมม ตัวเปียกม่อล่อกม่อแลก ไม่ได้สนใจคำก่นด่า สาปส่ง
"......"
"ผมขอโทษนะ ขอโทษจริงๆ...ผมไม่รู้ว่ามันสำคัญ"
ชยางกูรจดจ้องมองหน้าภาคภูมิไม่วางตา ใบหน้าขาวดูอิดโรย ก่อนก้มลงมองปากกาในมืออีกฝ่าย มือที่เต็มไปด้วยบาดแผล พลาสเตอร์สีเนื้อที่พี่เขยของเขาเป็นคนติด ตอนนี้หลุดลุ่ยหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
“ผมขอโทษ มันคงสำคัญกับคุณมาก คุณสุดที่รักอุตส่าห์ซื้อให้ รับไปสิ ตัวด้ามมันยังคงใช้ได้อยู่สินะ ผมนี่โง่จริงๆ เอาไว้ผมซื้อไส้มาเปลี่ยนให้นะ...!!”
เสียงพูดเลือนหายเมื่อจู่ๆ ร่างทั้งร่างถูกใครอีกคนคว้าเข้าไปกอดเต็มวงแขน
“คุณเป็นหมอที่โง่ที่สุดจริงๆ”
แถมหัวใจก็ยังแกร่ง ถูกทำให้เจ็บขนาดนี้ยังมาเป็นห่วงความรู้สึกเขาอยู่ได้