ตอนที่ 7.1 ห่วงใย...เหนือความรู้สึก

4903 คำ
“ค...คุณ” เสียงอู้อี้เอื้อนเอ่ยตะกุกตะกัก กายบางยืนแน่นิ่งแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ช่างขัดกับส่วนลึกภายในใจ ที่มันสั่นสะเทือนวูบไหวปั่นป่วนไปหมด ทำไมจู่ๆ หมาบ้าถึงทำแบบนี้...ทำไม...ถึงกอดเขา แถมยังกอดแน่นเสียด้วย ท่ามกลางสายฝนตกกระหน่ำ อากาศรอบด้านเย็นเยียบ ผิวหนังชาแสบด้วยอุณหภูมิที่ลดลงอย่างรวดเร็วจนแทบไม่รู้สึก ว่าที่สถาปนิกหนุ่มกำลังกอดรัดจิตแพทย์หนุ่มไว้เต็มวงแขน อ้อมกอดนั้นแผ่ซ่านไอร้อนจนก่อเกิดเป็นความอบอุ่นให้ร่างกาย ทั้งยังให้ความน่าไว้วางใจอย่างบอกไม่ถูก จิตแพทย์หนุ่มผู้ไม่เคยเงียบ เวลานี้กลับสงบปากสงบคำ ริมฝีปากจิ้มลิ้มเม้มบิดเหมือนคนกลั้นยิ้ม “โง่” อ้าว...เกือบจะดีอยู่แล้วเชียว เสียงบริภาษของเจ้าของอ้อมกอดดังขึ้นข้างหู ภาคภูมิถึงกับเปลี่ยนสีหน้า “ผมโง่ตรงไหน? นี่ผมรู้สึกผิดต่อคุณนะ ถึงได้กลับมาหาปากกาให้ ปล่อยได้แล้วคุณ กอดอยู่ได้” กอด? นี่เขา...เผลอกอดไอ้หมอหน้าเด็กอย่างนั้นเหรอ เมื่อถูกทัก คนตัวสูงรีบคลายอ้อมกอดเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าทำเกินเลยไปค่อนข้างมาก หากแต่ยังไม่ยอมละวงแขน ยังคงใช้มือประคองแผ่นหลังอีกฝ่ายเอาไว้  “นี่ไม่ได้เรียกว่ากอด แค่ห้ามไม่ให้ทำตัวจุ้นจ้าน ไม่รู้หรือไงว่าพายุเข้ามันอันตราย เกิดโดนฟ้าผ่าตายขึ้นมาได้เป็นผีเฝ้าหลุมขยะไม่รู้ตัว” เปรี้ยง! พูดไม่ทันขาดคำ สายฟ้าก็แล่บโผล่พ้นก้อนเมฆออกมา เสียงของมันอึกทึกบาดแก้วหูจนภาคภูมิสะดุ้ง โผซบหน้าหลับตาแน่นใส่อกชยางกูรราวกับถูกแม่เหล็กดึงดูด “เมื่อกี้ไม่ยักกลัว ทำเก่งมาคนเดียวได้ตั้งนาน” คนพูดหยักมุมปาก มองคนในวงแขนที่กอดเขาเสียแน่น เห็นเสี้ยวหน้าข้างหนึ่งของอีกฝ่ายเปรอะเปื้อนจึงเอ่ยต่อ “มอมแมมเหมือนลูกหมาคลุกขยะ” แม้คำพูดจะว่าร้าย ปรามาสใส่ไม่หยุด หากแต่กลับใช้นิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดข้างแก้มขาวขจัดคราบสกปรกออกให้ เมื่อได้สัมผัสกลับเกิดติดใจจนเผลอไผลพินิจมองปรางแก้มเนียน แถมยังเอาแต่ลูบไล้จนย่ามมือ คนอะไรแก้มนุ่มนิ่มอย่างกับโมจิ ภาคภูมิรีบผละออกจากวงแขน เพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงรังเกียจ “งั้นก็อย่ามาใกล้ เดี๋ยวกลิ่นเหม็นจะติด รับไปสิครับ ผมหามาคืนคุณได้แล้วนะ” สัมผัสนวลเนียนเลือนหาย คงเหลือแต่มือแกร่งที่ค้างเติ่งกลางอากาศ    ชยางกูรวางสีหน้าราบเรียบ กระแอมไอ พลางเหลือบมองของแทนใจ ก่อนใช้มือ    ข้างนั้นรับมันกลับคืน “ขึ้นรถ” เขาเก็บมันใส่กระเป๋าเสื้อ เอ่ยสั่งหลังเห็นภาคภูมิเอามือกอดตัวเอง “แล้วมอเตอร์ไซด์...” “ทิ้งไว้นี่ ค่อยให้คนมาเอา” ภาคภูมิพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถ ตามด้วยว่าที่สถาปนิกหนุ่ม ไม่นานรถกระบะโฟร์วีลก็ออกตัวมุ่งหน้ากลับทันที ใช้เวลาไม่นานก็กลับมาถึงบ้าน ภาคภูมิตั้งท่าจะเปิดประตูรถ หากแต่มือที่สั่นระริกนั้นกลับไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้อง ตอนบ้าระห่ำไปลุยฝนคุ้ยหาปากกาในกองขยะยังไม่รู้สึกเจ็บ แต่พอเรื่องคลี่คลายเท่านั้น มือไม้ที่เต็มไปด้วยบาดแผลกลับอ่อนแอเสียอย่างนั้น หมอหนุ่มได้แต่ก้มลงมองฝ่ามือของตัวเอง ซึ่งมีบาดแผลจากเศษแก้วในกองขยะเพิ่มขึ้นมาอีกมากมาย เห็นคนเป็นหมอเงียบไป แถมยังก้มมองมือตัวเองไม่ไหวติง ชยางกูรจึงลงจากรถ เดินอ้อมมาเปิดประตูให้ ภาคภูมิมองคนยืนรอชั่วครู่ ก่อนจะรีบลงจากรถ ทว่าส่วนสูงของรถกลับเป็นอุปสรรคเล็กน้อย คนหมดเรี่ยวแรงแถมยังรู้สึกหนาวจนตัวสั่นเลยขาอ่อนทรุดลงตรงหน้า ชยางกูรมือไวทันคว้าร่างบางเอาไว้ได้ ชายหนุ่มจดจ้องมองคนในอ้อมแขนไม่วางตา แว่นตาเขรอะน้ำฝน แก้มใสเปื้อนคราบโคลน ทั้งหมดไม่ได้ดูน่ามอง แต่ทำไมถึงน่าเอ็นดูนัก “คุณตัวร้อน” “น...นั่นสิ ผมเองก็รู้สึกหนาวๆ เหมือนกัน” ภาคภูมิเบือนสายตาหลบคนที่เอาแต่จ้องตน พร้อมเอ่ยด้วยเสียงตื้อตันคัดจมูก “แต่อย่าด่าผมนะ ว่าไม่รู้จักดูแลตัวเอง รู้น่าว่าที่นี่ไกลมือหมอ ผมไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวได้พักก็คงหาย จะ     ไม่เป็นภาระรบกวนคุณเลยสักนิด” ภาคภูมิรู้ทัน ถูกย้ำไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วว่าห้ามทำตัวเรียกร้องความสนใจ เลยชิงพูดเสียก่อนชยางกูรจะกล่าวหา “ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย” ชยางกูรปฏิเสธ พลางโน้มหน้าเข้าไปใกล้อีกฝ่าย   มากขึ้น “ยาที่คุณซื้อมาให้ผม คุณก็กินได้ใช่หรือเปล่า” “ด...ได้ครับ” “ถ้างั้นก็รีบเข้าไปอาบน้ำ จะได้ออกมากินยา” “คุณ...ก็ปล่อยผมก่อนสิ” ภาคภูมิสุดประดักประเดิด วันนี้เขาถูกชยางกูร  กอดไปกี่ครั้งแล้วนะ ว่าที่สถาปนิกหนุ่มถูกทักท้วง เลยเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอกอดอีกฝ่าย ชายหนุ่มรีบปล่อยภาคภูมิออกจากวงแขน ส่วนคนถูกปล่อยให้เป็นอิสระ รีบวิ่งเข้าบ้านไปทันที ปล่อยให้ใครอีกคนมองตามจนสุดสายตา เสียดายที่ไม่มีใครเห็น ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ มุมปากกำลังยกยิ้ม ซึ่งเกิดขึ้นได้ยากเหลือเกิน “ส่งต่อให้คุณหมอนะคะ น้องทานตะวันไม่พูดกับพิงค์เลย” หญิงสาวเดินออกมาจากห้องนั่งเล่น หลังได้ยินใครสักคนเปิดประตูเข้ามา เธอหันไปมองทางห้องนอน ก่อนจะขอตัวกลับออกไป ภาคภูมิเพิ่งนึกได้ว่าเผลอทิ้งทานตะวันไว้ตอนชยางกูรอาบน้ำด้วย      ความสะเพร่าไม่ทันคิด แต่ความว้าวุ่นใจก็ทำให้ไม่อาจนิ่งเฉยได้ จึงหุนหันพันแล่นออกไปทั้งอย่างนั้น หากแต่เมื่อกลับมาอยู่กับปัจจุบัน ความรู้สึกผิดและความเป็นห่วงกลับก่อตัวมากล้น หมอหนุ่มถอนหายใจ ก่อนจะรีบเข้าไปในห้องนอน “ทานตะวัน” “อาภูมิ!” เด็กน้อยที่นอนคุมโปงอยู่บนเตียงได้ยินเสียงคุ้นเคยเอ่ยเรียก ก็รีบเลิกผ้าห่มออก แล้ววิ่งไปกอดภาคภูมิทันที  “อย่าเพิ่งกอดนะครับ ตัวอาภูมิสกปรกมากเลย” หมอหนุ่มหัวเราะ ก่อนจะดึงร่างเด็กชายให้ออกห่าง “อาขอโทษนะที่ออกไปข้างนอกโดยไม่บอก อาออกไปหาปากกาให้น้าชะน่ะ” “ฝนตก ฟ้าร้องมันอันตรายนะครับ ทานตะวันไม่อยากให้อาภูมิได้รับอันตราย” ภาคภูมิยิ้มให้เด็กน้อย “ตัวแค่นี้เป็นห่วงเป็นด้วย” “ก็ชีวิตอาภูมิสำคัญกว่าปากกาเยอะเลย” “เจ้าตัวเล็ก...คงมีแต่ทานตะวันนี่แหละที่เห็นว่าอาภูมิสำคัญ” ภาคภูมิเอ่ยด้วยความตื้นตัน มือกุมหัวไหล่เด็กน้อย ด้วยใบหน้าซีดเซียวกับแววตาหม่นหมองทำให้เด็กชายทานตะวันเอื้อมมือไปอังที่หน้าผากภาคภูมิ “อาภูมิตัวร้อนจี๋เลย” “สงสัยจะใกล้ไม่สบาย ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวอาภูมิรีบไปอาบน้ำก่อนนะครับ” เด็กชายพยักหน้า ภาคภูมิจึงกลับออกไปข้างนอก เตรียมเสื้อผ้าพร้อมผ้าเช็ดตัวเสร็จ หมายจะเดินเข้าห้องน้ำ ทว่ากลับมีอันต้องชะงัก เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนกำลังง่วนกับการทำอาหารอยู่ในครัว ชยางกูรยามนี้รับหน้าที่เป็น    พ่อครัว ท่าทางทะมัดทะแมงไม่น้อย ดูแล้วคล่องแคล่วเหมือนคนทำอาหารเป็น ภาคภูมิค่อนข้างแปลกตาและแปลกใจ ถึงได้หยุดมอง ทว่ากระแสสายตาคงส่งไปถึงอีกคน ชายหนุ่มถึงกับหยุดมือ ก่อนเงยหน้ามองสบมายังเขา “ยังไม่ไปอาบน้ำอีก” “คุณ...ทำอาหารเป็นด้วยเหรอ” “อืม แต่แค่มื้อนี้มื้อเดียวนะ ผมไม่ใจไม้ไส้ระกำให้คนเจ็บมาทำอาหารให้คนมือดีกินหรอก” พูดจบก็กลับไปทำอาหารต่อ ส่วนภาคภูมิได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้ารับรู้ ก่อนใช้ช่วงเวลาหนึ่งลอบมองอีกฝ่าย แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ กว่าอาหารจะแล้วเสร็จ ก็เป็นเวลาประจวบเหมาะกับอีกคนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยพอดี เวลาหัวค่ำมาเยือน มื้ออาหารเย็นจึงได้เริ่มต้นขึ้น อาหารสามอย่างถูกวางไว้บนโต๊ะ ประกอบไปด้วยไข่เจียวหมูสับ ผัดผักรวม และต้มจืดเต้าหู้ไข่ ภาคภูมิก้มลงสูดดมกลิ่นอาหาร ก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานพร้อมๆ กับคนอื่น เขาตักผัดผักเข้าปากเป็นอย่างแรก เคี้ยวตุ้ยๆ ไม่นานก็หลุดยิ้มออกมา อร่อยแฮะ หมอหนุ่มนึกชม พลางลอบมองคนทำที่กำลังตักไข่เจียวให้หลานชาย    ภาพความสุขแบบเรียบง่ายตรงหน้า พลันทำให้หัวใจคนมองเกิดวูบไหวขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชยางกูรจะมีมุมนี้ด้วย ถ้าไม่ติดที่ปากหมา หน้าดุ ชยางกูรก็ถือได้ว่าเป็นผู้ชายอบอุ่นและดูแล    คนรอบข้างได้ดีคนหนึ่งอยู่เหมือนกัน บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดำเนินไปอย่างสงบสุข โดยเฉพาะยิ่งมีเจ้าตัวเล็กอย่างเด็กชายทานตะวันผู้เป็นเสมือนคนเชื่อมต่อความสัมพันธ์อันดีด้วยแล้ว        การรับประทานอาหารมื้อนี้ก็ยิ่งดูอบอุ่นมากขึ้น ช่วงเวลานั้นคนเป็นหมอทั้งอิ่มเอมรสชาติอาหาร และสุขใจที่ได้เห็นเด็กน้อยพูดคุยอย่างสนุกสนาน ความรู้สึกทั้งหมดจึงถูกเผยออกมาเป็นรอยยิ้มสวย จนทำให้ใครอีกคนถึงกับต้องหยุดมอง มองอย่างเดียวคงไม่เท่าไหร่ แต่มีรอยยิ้มด้วยนี่สิแปลกประหลาด ตลอดมื้อค่ำห้วงบรรยากาศหนึ่งลอยอวลอยู่รอบตัวคนทั้งสอง ไม่มีใครพูด หากแต่กลับรู้สึกได้ไม่แตกต่าง บางจังหวะคนเป็นหมอหัวใจเต้นเร่ายามได้ลอบมองว่าที่สถาปนิกหนุ่มเอาใจหลานชายด้วยการป้อนข้าว หรือไม่ก็ก้มลงพะเน้าพะนอหอมแก้มอยู่ไม่ห่าง แล้วอกก็ยิ่งสั่นเมื่ออีกฝ่ายรู้ตัวว่าถูกมอง แถมยังเอาสายตาคมมองตอบกลับมาด้วย เวลานั้นหมอหนุ่มจึงสุดแสนประดักประเดิด ใช้ส้อมตักน้ำแกง ใช้ช้อนกระแทกฟัน มือไม้พันกันอีรุงตุงนัง โชว์ความเปิ่นให้อีกคนได้อมยิ้มกลั้นขำน้อยๆ อยู่หลายที เมื่อช่วงเวลาอาหารเย็นผ่านพ้นไป เด็กชายทานตะวันก็เริ่มง่วงงุน คงเป็นเพราะตื่นแต่เช้า และทำกิจกรรมมากมายในวันนี้ ภาคภูมิจึงเป็นฝ่ายพาไปเข้านอน เด็กชายซุกตัวในผ้าห่มโดยมีหมอหนุ่มเป็นคนลูบเรือนผมให้เบาๆ เพื่อกล่อม ไม่นานดวงตาใสแจ๋วก็ค่อยๆ ปิดลงและเข้าสู่ห้วงนิทราในที่สุด “ฝันดีนะครับทานตะวัน” ภาคภูมิยิ้มจางมองเด็กชายด้วยความเอ็นดู    ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากมน “คุณ...” ภาคภูมิสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อจู่ๆ ข้อมือถูกดึงรั้ง เขาแหงนหน้ามองใครอีกคนผ่านความมืดสลัว เป็นชยางกูรอย่างไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มร่างสูงไม่ได้พูดอะไรออกมา ได้แต่ดึงรั้งให้ภาคภูมิออกจากห้องนอนไปพร้อมกันอย่างเงียบๆ  สายฝนยังคงตกกระหน่ำ เสียงของมันเคล้าคลอเกิดเป็นบรรยากาศที่แสนดี ชยางกูรพาภาคภูมิมานั่งตรงโซฟา ก่อนจะนั่งลงเคียงข้าง คนเป็นหมอนึกสงสัยและเกือบจะอ้าปากถาม ว่าเหตุใดชายหนุ่มถึงพาเขามานั่งตรงนี้ ทว่าคำเฉลยก็เผยอยู่เบื้องหน้า เมื่อชยางกูรหยิบกล่องปฐมพยาบาลข้างกายขึ้นมาเปิด แล้วดึงมือทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเขาไปวางไว้บนตักตัวเอง “ผมจะทำแผลให้” ภาคภูมิเบิกตาโต คิดไม่ถึงว่าชยางกูรจะใส่ใจกันขนาดนี้ ปกติมีแต่จะต่อว่าด่าทอ ทำไมเวลานี้ถึงกลับมาทำดี อ่อนโยนใส่กันเสียได้ แต่มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี บางทีชยางกูรอาจกำลังเริ่มมองเขาในแง่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว คิดได้อย่างนั้นจึงยอมนั่งนิ่งให้ชายหนุ่มรักษาบาดแผลให้ พร้อมกับความรู้สึกซาบซึ้งตราตรึงอยู่ในอก ตลอดการทำแผล ภาคภูมิคอยลอบมองชยางกูรที่ก้มหน้าทำแผลให้ด้วยความตั้งใจ ได้มองลึกลงไป ชยางกูรก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้นทุกที ยิ่งมาทำดีให้กันแบบนี้ด้วยแล้ว ความประทับใจมันก็ยิ่งก่อเกิดเป็นรูปเป็นร่างจนเด่นชัด ยามผู้ชายคนนี้ไม่ปากร้ายใจยักษ์ ก็ดูน่าหลงใหลไม่น้อยเลยทีเดียว “มองผมขนาดนี้นี่หิวเหรอ” พลันความคิดกลับต้องหยุดชะงัก เมื่อคนตรงหน้าเอ่ยถาม ชยางกูรเหลือบสายตามองมา สายตาคมคายฉายแววเจ้าเล่ห์ พร้อมกระตุกยิ้มมุมปาก เล่นเอาภาคภูมิแทบนั่งไม่ติดที่ เริ่มรู้สึกร้อนเห่อขึ้นใบหน้า “ห...หิวอะไรกันเล่า ผมก็แค่มองว่าคุณทำแผลให้ผมถูกต้องหรือเปล่า” เมื่อได้ฟังคำแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ไปแล้วชยางกูรก็ไม่ได้ติดใจเอาความ ซ้ำยังทำแผลด้วยท่าทีสบายๆ ภาคภูมิที่เสสายตามองไปทางอื่นได้แค่ชั่วครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามองการกระทำของอีกฝ่ายเช่นเดิม เขามองชยางกูรล้างแผลใส่ยาให้อย่างตั้งใจ ก่อนสุดท้ายจะจับมือของเขาขึ้นมาเป่าลม “ขอบคุณมากนะครับ” มือบางละออกมา เมื่อการรักษาเสร็จสิ้นลงแล้ว หากสังเกตให้ดีสักนิด จะเห็นแววตาแสนเสียดายสะท้อนอยู่เต็มไปหมด ภาคภูมิรู้สึกเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆ ที่มีต่อกัน หมดลงไปอย่างง่ายดายและรวดเร็ว ในขณะที่ชยางกูรกำลังง่วนอยู่กับการเก็บอุปกรณ์และนำมันไปเก็บ เขาจึงเอ่ยขึ้น “ผมขอโทษอีกครั้งนะครับ ที่ไปยุ่งวุ่นวายกับของๆ คุณ” ชายหนุ่มร่างสูงในชุดนอนเสื้อยืดสีขาวกางเกงขายาวสีเทาอ่อนหมุนกายกลับมา “ผมยกโทษให้ แต่ห้ามคุณยุ่งกับของๆ ผมอีก” “ไม่ยุ่งแล้วคร้าบบบ” เมื่อได้รับคำสัญญา ว่าที่สถาปนิกหนุ่มจึงปล่อยวาง เรื่องครั้งนี้ถือว่าจบลง เขาเดินเอากล่องปฐมพยาบาลไปเก็บไว้บนชั้น ก่อนจะเข้าไปในครัวเพื่อจัดการกับอะไรบางอย่าง “คุณนี่ดีจังเนอะ มีของแทนใจเอาไว้ให้คิดถึงกันด้วย ถึงตัวจะไม่ได้อยู่ใกล้ แต่ก็ยังมีของสำคัญที่ทำให้รู้ว่ายังมีความรู้สึกดีๆ ให้กันอยู่” ภาคภูมิเอนกายพิงพนักโซฟา ส่วนเขาไม่มีอะไรหลงเหลือ นอกจากความเจ็บปวดที่ใครคนนั้นทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า นอกจากตะวันจะไม่ได้มอบความทรงจำที่ดีให้แล้ว ยังสร้างรอยแผลที่มองไม่เห็นซึ่งต้องทนอยู่กับมันให้ได้อีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่รอยแผลล่องหนนี้จะหายไปจากชีวิตเขาสักที “มันเป็น...ความสุขประมาณไหนนะ” ริมฝีปากจิ้มลิ้มเปรยถามตัวเอง ในขณะที่นอนมองดูเพดานห้อง ของแทนใจจากคนที่รัก มีไว้กับตัวแล้วคงจะทำให้รู้สึกดี เวลาคิดถึงกันเมื่อไหร่ก็หยิบมันขึ้นมาเชยชม ใช้ชีวิตในวันต่อไปอย่างมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ แต่ไม่น้อยสำหรับคุณค่าทางจิตใจ สำหรับเขา...ของแบบนี้ไม่มีใครให้มานานมากแล้ว เลยจำความรู้สึกไม่ได้ ว่าความสุขแบบนี้หน้าตาเป็นอย่างไร บางที...เขาก็อยากได้ของแทนใจจากใครสักคนเหมือนกัน ชีวิตตอนนี้มัน...ว่างเปล่าดีแท้ พลันสมองก็พาลไปนึกถึงรูปวาดดอกหน้าวัวในเศษกระดาษที่ได้จาก    ชยางกูรขึ้นมา มันเป็นของชิ้นแรกที่ชายหนุ่มเอาให้ แม้จะไม่ค่อยเต็มใจวาดก็เถอะ จำได้ว่าวางมันไว้ที่โต๊ะตรงระเบียง ก่อนชยางกูรจะเข้ามาถามหาปากกา คิดได้เช่นนั้นก็เดินออกไปยังระเบียงที่เวลานี้สายฝนซัดสาดจนทั่วทั้งบริเวณเปียกโชก   “ออกไปทำอะไรข้างนอก” เสียงชยางกูรดังแว่ว หลังเห็นภาคภูมิเดินคอตกกลับเข้ามา “ผมทำรูปดอกหน้าวัวที่คุณวาดให้หายไป”  “ชอบมันขนาดนั้นเลยเหรอ” “ก็นานๆ ทีจะมีคนให้อะไรนี่นา” “ผมไม่ได้ให้ คุณร้องงอแงขอผมเอง” “โถ่ ขอขี้ตู่หน่อยก็ไม่ได้” โดนดับฝันเข้าหน่อย เล่นเอาหมอหนุ่มไปต่อ      ไม่เป็น ได้แต่ยืนก้มหน้างุด พลางดึงประตูหลังห้องปิดลงวงกบเบาๆ อย่างนึกเสียดาย ท่าทีห่อเหี่ยวทำเอาคนมองรู้สึกขบขันไม่น้อย  “เอ้อ! คุณ” “......” “บนเกาะนี้มีร้านขายสายชาร์จแบตเตอร์รี่มือถือไหมครับ ผมลืมเอามา” “มีสิ ถ้าคุณอยากได้ พรุ่งนี้ก็ตื่นเร็วๆ หน่อย เพราะผมจะไปตลาดพอดี” จริงๆ แล้วชยางกูรมีแพลนตั้งแต่แรก ว่าจะไปตลาดตั้งแต่เช้าตรู่ ไหนๆ ภาคภูมิมีเรื่องให้ต้องทำ ฉะนั้นไปด้วยกันก็คงไม่เสียหายอะไร ภาคภูมิพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ถ้างั้นผมเข้าไปนอนก่อนนะครับ” “เดี๋ยว...” มือแกร่งกระตุกรั้งข้อมืออีกคนให้เข้าหา แต่คงใช้แรงมากไปหน่อย คนไม่ทันตั้งตัวถึงได้เซถลาเข้ามากระแทกใส่กายสูงเข้าอย่างจัง ภาคภูมิสะดุ้งหน้าตาตื่น เอามือค้ำยันอกแกร่งแทบไม่ทัน พลันจังหวะหนึ่งใบหน้าคมคายดุดันก็โผล่เข้ามาในสายตา ระยะห่างระหว่างกันลดลงจนหัวใจวูบไหว “คุณจะทำอะไร...ผม ผมยังไม่ได้แปรงฟันเลย” คนตัวบางลนลาน หดคอหลงคิดไปไกลเพราะสถานการณ์ตรงหน้าบีบบังคับให้ต้องคิด ยิ่งชยางกูรยื่น         ริมฝีปากมาใกล้ จนอาจเรียกได้ว่าแทบจะแนบชิด คนเป็นหมอก็ใจเต้นไม่เป็นส่ำ สมองรวนเรคิดได้ในทางเดียว เขาหนีช่วงเวลาชวนอึดอัดด้วยการจำนนต่อสภาพด้วยการปิดเปลือกตาลงโดยพลัน ทางด้านคนตัวสูงที่ใช้กายกำยำต้อนอีกคนจนถอยติดผนัง กำลังมอง      อีกฝ่ายด้วยความขบขันแกมเอ็นดู ยิ่งเห็นปรางแก้มขาวขึ้นสีอมชมพูระเรื่อ เขารู้สึกว่ายิ่งละสายตาไปไหนไม่ได้ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสองวันนี้ อาจเรียกว่าเป็นความซึ้งใจคงไม่ผิดนัก บางที...เขาควรลดทอนอคติที่มีต่อคนๆ นี้ลงอีกสักนิด อย่างน้อยคนๆ นี้ก็ไม่ได้ทำตัวเรียกร้องความสนใจอย่างที่คิดไว้ตั้งแต่แรก ว่าที่สถาปนิกหนุ่มระบายยิ้ม จดจ้องคนหลับตาแน่นแถมยังกลั้นหายใจ  จนหน้าดำหน้าแดง สุดท้ายด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะเป็นลมเสียก่อน เลยเลิกแกล้ง เลื่อนริมฝีปากไปกระซิบที่ข้างใบหู “กินยาก่อน” พูดจบก็ยัดถ้วยยาใส่มือขาว ก่อนจะเดินเข้าห้องนอนไปทันที ทิ้งให้ใครอีกคนค่อยๆ ลืมตา หอบหายใจถี่ มองถ้วยยาสลับกับประตูห้องนอนด้วยใบหน้า       เห่อร้อน เช้าวันต่อมา ชยางกูรพาภาคภูมิไปตลาดตามที่พูดไว้ พร้อมกับหลานชายที่ยังคงงัวเงียในชุดนอน เด็กชายไม่ได้งอแงหากแต่ยังง่วงงุน น้าชายจึงคอยอุ้ม ปล่อยให้เด็กน้อยได้ใช้เวลานอนหลับอยู่บนบ่าแกร่ง ชายหนุ่มพาภาคภูมิเดินเข้าไปในซอยที่หมอหนุ่มไม่เคยมา ซึ่งมีร้านขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็กๆ ตั้งอยู่ เลือกซื้อไม่นานก็ได้ที่ชาร์จสมดังตั้งใจ เมื่อได้ของที่ต้องการแล้วคนเป็นหมอจึงเอ่ยขอบคุณคนมาส่ง ชยางกูรรับคำก่อนจะเดินนำเข้าไปในตลาดเพื่อทำธุระของตัวเองบ้าง     เขาเลือกซื้อดอกไม้สีหวานเป็นกำ ผลไม้สองสามอย่าง และอาหารปรุงสุกอีกสองสามถุง เสร็จแล้วจึงเดินออกมาจากตรอกตลาดสด เห็นพระสงฆ์รูปหนึ่งเดินผ่านมาทางนี้พอดี ชายหนุ่มจึงถวายปัจจัยต่างๆ ก่อนย่อกายพร้อมกับปลุกหลานชายให้   นั่งยองด้วย “วันนี้วันพระเหรอคุณ” ชยางกูรไม่ได้ตอบคำถาม เนื่องจากพระสงฆ์กำลังเริ่มให้พร เขาหลับตาแล้วยกมือไหว้ จึงทำให้คนเคียงข้างจำต้องทำตาม กระทั่งการตักบาตรเสร็จสิ้นลง พระสงฆ์และเด็กวัดเดินจากไป ชยางกูรจึงหันมาถามหลานชาย “หิวหรือยังเรา” “หิวแล้วครับ” “อยากกินอะไร” เด็กชายทำท่าคิด ชยางกูรจึงหันไปถามใครอีกคน “แล้วคุณล่ะ อยากกินอะไร” “ผมกินอะไรก็ได้ครับ แล้วแต่ทานตะวันเลย” “ทานตะวันอยากกินโจ๊กหมูใส่ไข่ลวก” เด็กชายหันไปเห็นร้านโจ๊ก ท้องไส้จึงครวญครางเรียกร้องอยากจะกิน ชยางกูรยกยิ้มพร้อมกับลูบศีรษะเจ้าตัวเล็ก “เช้านี้กินโจ๊กแล้วกันนะคุณ” ภาคภูมิพยักหน้า พลางยิ้มไล่หลังสองน้าหลานที่จับจูงมือพากันเดินเข้าร้านโจ๊ก ก่อนจะเดินตามติดไปทันที “ดูเหมือนคุณไม่ค่อยชอบกินอาหารเช้าแบบฝรั่ง” ภาคภูมิเอ่ยถาม ขณะทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ ร้านโจ๊กยามเช้าซึ่งติดกับร้านกาแฟโบราณ เสียงจากสภากาแฟผู้เฒ่าผู้แก่จึงดังคับทั่วบริเวณ แต่มันก็ให้บรรยากาศแบบบ้านๆ ดี คนเป็นหมอตั้งข้อสังเกต เพราะตั้งแต่พบเจอกันมา ชายหนุ่มไม่เคยแตะของพวกนั้น แถมยังสั่งเขาทำอาหารไทยด้วยซ้ำ “ไม่ชอบเลย พวกขนมปัง เนย แยมอะไรพวกนั้น มันทำให้ผมท้องเสียทุกที” ชยางกูรบอก พร้อมกับจัดแจงรับถ้วยโจ๊กจากคนเสิร์ฟ ก่อนวางให้ทั้งหลานชายและภาคภูมิ “นี่เจ้าเด็ดนะ คุณต้องกินกับปาท่องโก๋ ปาท่องโก๋เขากรอบนอก นุ่มใน ไม่อมน้ำมัน” “ขอบคุณครับ” หมอหนุ่มอมยิ้ม ก้มมองโจ๊กหมูใส่ไข่ลวกพร้อมปาท่องโก๋ร้อนๆ หนึ่งตัวที่ได้ว่าที่สถาปนิกหนุ่มสุดหล่อบริการให้ หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย ชยางกูรก็ขับรถพาหลานชายและภาคภูมิมุ่งหน้าไปยังทุ่งทานตะวันที่ซึ่งสร้างไว้เพื่อเป็นสถานที่ระลึกถึงลูกพี่ลูกน้องของตนและมารดาของเด็กชาย “วันนี้วันเกิดพี่ขวัญ แล้วก็เป็นวันเดียวกันกับวันเกิดผมด้วย” ชยางกูรเฉลย เอ่ยบอกกับภาคภูมิที่คงสงสัยมานาน คนทั้งสองยืนเคียงกัน ขณะมองดูเด็กชายทานตะวันวิ่งต้านลมเข้าไปหาหลุมศพผู้เป็นแม่ จากนั้นก็วางดอกไม้สีหวานในมือลงบนแท่นหินอ่อน พูดอะไรบางอย่างกับรูปมารดา ก่อนจะทรุดกายลงกราบ แล้วเลือกนอนตะแคงคุดคู้เคียงมัดดอกไม้ ใช้เวลาอยู่กับมารดาอยู่เงียบๆ ภาคภูมิมองการกระทำของเด็กชายด้วยอาการจุกอก ก่อนเดินเข้าไปหา ยอบกายโอบกอดปลอบประโลมร่างเล็ก “ทานตะวันคิดถึงแม่ขวัญ แม่ขวัญจะคิดถึงกันบ้างไหม” เด็กชายเปรย พร้อมกับไล้นิ้วเล็กๆ ไปทั่วทุกกลีบดอกไม้ “คิดถึงสิ แม่ขวัญคิดถึงทานตะวันมากนะ” หมอหนุ่มพยุงเด็กชายให้ลุกนั่ง “อาภูมิรู้ได้ยังไง” คำถามของเด็กชายเรียกรอยยิ้มจากหมอหนุ่มได้ไม่ยาก ภาคภูมิมองทานตะวันอย่างนึกเอ็นดู พร้อมกับยื่นมือไปทาบไว้บนอกของอีกฝ่าย “แล้วทานตะวันรู้สึกหรือเปล่า ว่าแม่ขวัญก็คิดถึงทานตะวันเหมือนกัน” เด็กชายเอียงคอทำหน้าครุ่นคิด ไม่นานก็ตอบคำถาม “รู้สึกครับ ทานตะวันรู้สึกว่าแม่ขวัญก็คิดถึงทานตะวัน เหมือนที่ทานตะวันคิดถึงแม่ขวัญอยู่ทุกวัน” “เพราะหัวใจระหว่างคนเป็นแม่กับลูกสื่อถึงกันยังไงล่ะ เวลาไหนที่ทานตะวันคิดถึงแม่ขวัญ มันก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่แม่ขวัญคิดถึงทานตะวันเหมือนกัน” หมอหนุ่มยิ้มให้ พลางลูบศีรษะเด็กน้อยย้ำๆ “ถึงเราจะไม่เห็นตัวตนของกันและกัน แต่จริงๆ แม่ขวัญน่ะอยู่กับทานตะวันแล้วก็พ่อภพมาตลอด ไม่เคยห่างหายไปไหนสักวินาทีเดียวเลยนะ” “......” “อยู่ในนี้ไงครับ” นิ้วเรียวจิ้มลงบนอกข้างซ้ายของเด็กชาย “ไม่เห็น...ไม่ได้แปลว่าไม่มีหรอกนะ ตอนนี้แม่ขวัญอาจกำลังเฝ้ามองทานตะวันผ่านสายลม ผ่านผืนฟ้า ผ่านท้องทะเลอยู่ก็ได้ อย่าเศร้าไปเลยนะ เพราะถ้าแม่ขวัญอยู่ แม่ขวัญก็คง      ไม่อยากให้ทานตะวันทำตัวเศร้า เอาแต่คิดถึงเขาแน่ๆ ทานตะวันครับ โลกนี้ยังมีอะไรอีกมากมายที่รอให้ทานตะวันเรียนรู้ แล้วอาภูมิก็เชื่อว่าแม่ขวัญเอง...ก็อยากให้เราได้อยู่เรียนรู้และค่อยๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง...” “......” “เพราะฉะนั้น ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุขเถอะนะ” ความคิดถึงที่มีต่อผู้เป็นมารดามากล้นจนทำให้เด็กชายไม่อาจทนอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ไหว จังหวะหนึ่งจึงโน้มกายเข้าไปกอดคอหมอหนุ่มที่นั่งคุกเข่าตรงหน้าเพื่อหาที่พักพิง คำพูดของภาคภูมิเด็กชายรับฟังและจดจำ แม้ตอนนี้จะยังไม่แน่ใจ ว่าจะสามารถทำได้อย่างที่อีกฝ่ายบอกหรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ หัวใจดวงเล็กก็คล้ายกับถูกเพิ่มพลังให้จนรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมามาก ภาคภูมิกอดเด็กชายเอาไว้แน่น หวังให้ความหวังดีส่งไปถึงหัวใจคนฟัง และในขณะนั้นเองก็มีกระแสลมห้วงหนึ่งพัดผ่านพวกเขาไป ราวกับว่ามีใครอีกคนเอาใจช่วยด้วยอีกแรง หมอหนุ่มเป็นคนไม่ค่อยเชื่อเรื่องลี้ลับ แต่พอได้มาอยู่บนเกาะแห่งนี้ ดูเหมือนอะไรๆ ก็เป็นไปได้เสียหมด ยิ่งกับเฉพาะเรื่องคุณของขวัญ เขายิ่งค่อนข้างเชื่อ... คุณคงกำลังเอาใจช่วยให้ลูกชายผ่านพ้นช่วงเวลาเลวร้ายนี้ไปอยู่สินะ “น้าจัดงานวันเกิดให้แม่ขวัญด้วย ทานตะวันอยากไปไหม” ภาคภูมิลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงชยางกูรดังอยู่ใกล้ๆ เขาตกใจเล็กน้อย เพราะไม่คิดว่าอีกคนจะมานั่งอยู่ใกล้ขนาดนี้ ใกล้จนรับรู้ได้ถึงลมหายใจ ใกล้จนได้สบตากัน ภาคภูมิไม่รู้ว่าชยางกูรมองตนเองด้วยสายตาแบบไหน แต่มันค่อนข้างทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวค่อนข้างมากเลยทีเดียว  “ที่ไหนครับ” เด็กน้อยผละออกจากอ้อมกอด แววตาเป็นประกาย “ที่บ้านเรา” “บ้านริมทะเล?” “ใช่ บ้านริมทะเล” ได้ยินเช่นนั้นภาคภูมิก็ตั้งใจจะห้ามเพราะไม่แน่ใจว่ามันจะเป็นการบังคับเด็กชายเกินไปหรือไม่ เนื่องจากความทรงจำอันเลวร้ายเกิดขึ้นบริเวณนั้น จนทำให้เด็กน้อยไม่อาจทนอยู่ที่นั่นได้ตั้งแต่เกิดเรื่อง ชยางกูรเอ่ยปากชวนแบบนี้ ไม่เท่ากับหักดิบให้หลานชายไปเจอกับความรู้สึกที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาหรอกหรือ ทว่าคิดไปคิดมา นี่ก็ถือเป็นโอกาสดีครั้งแรก ที่จะทำให้เด็กชายได้เผชิญหน้ากับความรู้สึก เพื่อขจัดความกลัวที่มีอยู่ในใจออกไป เห็นหนทางที่ดีขึ้น  คนเป็นหมอจึงขอลองเสี่ยงดูสักครั้ง “ท่าทางน่าสนุกแฮะ ปาร์ตี้วันเกิดน้าชะกับแม่ขวัญ บาร์บีคิวที่สนามหญ้า ชวนพี่หน่อง ชวนลุงเอี่ยมมาด้วยดีไหม!” “ทานตะวันกลัวทะเล เห็นได้ แต่ไม่อยากอยู่ใกล้เลย” พอนึกถึงบ้านหลังนั้น ก็มักจะนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงชายหาดทุกที เด็กชายส่ายหน้าพัลวัน  “แต่ทะเลก็ไม่ได้น่ากลัวไปซะทั้งหมดหรอกนะครับ” “......” นัยน์ตาใสแจ๋วมองปริบๆ ก่อนจะเป็นภาคภูมิที่อธิบายต่อ “ก็ทะเลทำให้เราได้เจอกันนี่นา ทะเลพาอาภูมิมาหาทานตะวัน ถ้าไม่มีทะเล เราคงไม่ได้เจอกันแบบนี้” พูดถึงตรงนี้ นัยน์ตาเหลือบมองใครอีกคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ภาคภูมิไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็รู้สึกดีที่ได้รู้ว่าอีกคนก็มองมาที่เขาเช่นเดียวกัน “อีกไม่นานอาภูมิก็ต้องกลับแล้ว ยังมีอะไรอีกตั้งเยอะแน่ะที่อาภูมิอยากทำกับทานตะวัน อาอยากให้ทานตะวันข้ามผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้ ข้ามผ่านไปในวันที่ยังมีอาอยู่” เขารักและเอ็นดูเด็กคนนี้ตั้งแต่แรกเจอ หากจะทำให้เด็กชายตัวน้อยผ่านพ้นความกลัวไปได้ เขาก็อยากจะช่วยให้ถึงที่สุด เด็กชายคิดทบทวนพลางมองคนเป็นน้าสลับกับภาคภูมิ ไม่เพียงแต่วันนี้จะเป็นวันเกิดแม่ขวัญแล้ว ยังถือเป็นวันเกิดของน้าชะด้วย นานทีปีหนน้าชะถึงจะมาหาเขาที่นี่ ด้วยไม่อยากให้คนเป็นน้าต้องเหงา เด็กชายจึงตอบตกลงในที่สุด   ///  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม