มือปราบจั๋วทำทีเหมือนจะเดินไปสำรวจรอบเรือนของภรรยา ทว่าแอบกระโจนออกกำแพงด้านหลังเพื่อแอบไปติดตามนักพรตทั้งห้าที่เพิ่งทำพิธี เขาแกะรอยสอบถามคนตามท้องถนนไปได้ไม่นานก็ตามทัน
“พวกเจ้าทำได้ดี เอาเงินค่าจ้างไป” โหยวอียื่นตั๋วแลกเงินให้คนทั้งสี่
“ขอบคุณใต้เท้า” พวกเขาถอดชุดนักพรตแล้วพับคืนเอาไว้
ส่วนนักพรตคนที่เป็นหลักในการทำพิธีกลับรับเงินเอาไว้แล้วไม่ได้ผลัดเปลี่ยนชุด โหยวอีพูดและปฏิบัติกับคนผู้นั้นด้วยความสุภาพ
“ท่านนักพรต ข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยเหลือ หากครั้งนี้จับคนร้ายได้จริงโอกาสหน้าข้าจะใช้บริการของท่านอีก”
“ยินดีๆ ข้าขอกลับอารามของข้าก่อนก็แล้วกัน” นักพรตใบหน้าคมคายรับทั้งเงินและการคารวะจากหัวหน้ามือปราบ โดยมีเด็กหญิงตัวน้อยที่ตามมาด้วยสะพายกระเป๋าไม้สานไว้ด้านหลังยกมือขึ้นคารวะอำลา
จั๋วเหรินหาวรู้ว่าเป็นฝีมือของโหยวอีที่ร่วมมือกับใต้เท้าฉงจึงได้ลงมาทักทายเมื่อคนทั้งหมดจากไป
“ไม่ยักกะรู้ว่าหัวหน้าโหยวถึงกับจ้างคนมาเล่นงิ้วโดยไม่บอกกล่าวข้า”
โหยวอีหัวเราะหึๆ เมื่อได้ยินเสียงรองหัวหน้าหน่วยที่หนึ่ง คนสนิทของตนดังมาจากผนังด้านนอก “ข้าต้องหาเหตุผลให้เจ้าเข้าไปอยู่ในจวนฉงได้อย่างแนบเนียน หากไม่ทำเช่นนี้ก็จะกลายเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“ท่านไปหานักพรตเจ้าเล่ห์ผู้นี้มาจากที่ใดกัน? ทั้งการสวดมนต์และพิธีกรรมช่างทำได้น่าเชื่อถือยิ่งนัก ข้าลองไปเดินหาร่องรอยเพราะคิดว่าน่าจะจับผิดเขาได้บ้างแต่กลับไม่พบสิ่งใด?”
โหยวอีทำตาโต “นี่เจ้าไม่เชื่อหรือว่าเขามีเวทย์มนต์จริงๆ”
“เรื่องประหลาดเช่นนั้นเชื่อได้ยากเย็นนัก”
“เอาเถอะๆ โอกาสหน้าข้าจะพาเจ้าไปดูพิธีกรรมที่เขาทำ อารามของนักพรตผู้นี้อยู่แถวเนินเขานอกเมือง แต่น่าแปลกอยู่อย่าง...หากจู่ๆ ไปหาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้าทำอย่างไรก็หาทางเข้าไม่พบ”
สีหน้าหัวหน้าโหยวดูจริงจังจนจั๋วเหรินหาวต้องพยักหน้า หากโหยวอียืนยันเช่นนั้นก็แสดงว่านักพรตผู้นี้คงจะมีความสามารถในการทำพิธีอยู่จริง
“แล้วคำทำนายนั่นเป็นของจริงหรือไม่?”
โหยวอีหัวเราะร่วน “จะเป็นของจริงได้อย่างไร? นั่นเป็นเรื่องที่ข้าแต่งขึ้นแล้วให้ท่านนักพรตช่วยบอกให้คนในจวนฉงเชื่อต่างหาก”
จั๋วเหรินหาวชะงัก “ตกลงว่านักพรตมีเวทย์มนตร์จริง แต่ท่านกลับใช้เขาเพื่อโกหกเช่นนั้นหรือ?”
“จริงๆ เท็จๆ เท็จๆ จริงๆ หากไม่ใช้วิธีเช่นนี้งานของเราก็ไม่ราบรื่น เจ้ารีบกลับไปหาภรรยาของเจ้าเถอะ อย่ามัวมาวุ่นวายกับข้าอยู่เลย”
จั๋วเหรินหาวเดินออกมาจากด้านหลังของเรือนนอน ฉงหยวนหยวนมองเห็นเขาก็ผงะเล็กน้อย นางคอยชะเง้อหาเขาอยู่นาน ครั้นไม่เห็นก็วนเวียนอยู่รอบเรือน แต่งงานกันมาถึงวันที่สาม จั๋วเหรินหาวก็ยังมิได้สนใจจะพูดคุยสิ่งใดกับนางอย่างที่บุรุษอื่นทำเมื่อมีโอกาส เขาออกไปทำงานแล้วกลับมาร่วมโต๊ะอาหาร ถามคำตอบคำ ในยามเข้านอนก็ลากเอาเตียงที่นางซ่อนไว้ข้างใต้ออกมา นอนโดยไม่สนใจจะถามไถ่พูดคุยกับนางสักนิด
“เจ้าเดินหาข้าอยู่หรือ?”
“เอ่อ....” นางอึกอักหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อยด้วยความอายที่เขาจับได้
“ข้าออกไปตามดูนักพรตที่มาทำพิธีเมื่อครู่ ที่แท้เป็นท่านพ่อของเจ้ากับหัวหน้าโหยวจัดมาเพื่อให้หาเหตุผลให้พวกเรามาอยู่ที่นี่”
“อ้อ....” ฉงหยวนหยวนนึกไม่ออกว่าตนเองจะพูดสิ่งใดออกไปดี เพราะเขาสุขุมพูดน้อยและดูไม่ค่อยสนใจนางนัก
หญิงสาวที่ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดในเมืองหลวงแคว้นหมิงในปีนี้รู้สึกอึดอัดขาดความมั่นใจลงไปมาก นางลอบสังเกตสามีกำมะลอของตนว่าเขาก็ดูเป็นบุรุษที่ปกติดี แต่เหตุใดจึงมิได้ให้ความใส่ใจกับนาง?
“เจ้าเข้าไปจัดในเรือนเถอะ อย่าให้ดูผิดปกติ เตียงนอนของข้าเดี๋ยวค่ำๆ จะให้คนแอบเอาเข้ามาทางประตูเล็กด้านหลัง ข้ามิได้อยากร่วมเตียงกับเจ้า เราแยกกันนอนน่ะดีแล้ว”
คุณหนูแปดผู้เคยชี้ไม้ชี้มือจัดการคนทั้งเรือนได้แต่ฟังเขาสั่งและพยักหน้า กับคนผู้นี้นางนึกไม่ออกจริงๆ ว่าควรจะพูดหรือแสดงกริยาท่าทีอย่างไร? ลึกๆ นางก็นึกโมโหเมื่อได้ยินประโยคที่เขาเอ่ยว่ามิได้อยากร่วมเตียงกับนาง ดูเหมือนเขาจะระมัดระวังตนเองเสียยิ่งกว่าผู้เป็นสตรีด้วยซ้ำไป
“ฮูหยินแปด หงุดหงิดสิ่งใดหรือเจ้าคะ?”
ปังฮุ่ยเห็นว่าในจวนสกุลฉงก็มีภรรยาของฉงจื่ออี้คุณชายใหญ่ที่ถูกเรียกว่าฮูหยินน้อยอยู่แล้ว นางจึงเรียกคุณหนูแปดว่าฮูหยินแปดจะได้เข้าใจง่าย จากนั้นคนอื่นก็เรียกตาม
“ปังฮุ่ย เจ้าว่าบุรุษโดยทั่วไปหากได้ใกล้ชิดกับข้าจะมีท่าทีเช่นใด?”
“ก็ต้องอยากอยู่ใกล้ชิดและพูดคุยกับคุณหนูน่ะสิเจ้าคะ?”
“แล้วหากว่า มีคนที่ทำสิ่งตรงกันข้ามล่ะ ดูเหมือนเขาจะหวงแหนร่างกายตนเองเกรงว่าข้าจะเข้าไปใกล้ แตะต้องเนื้อตัวของเขา”
ปังฮุ่ยทำตาโต “อย่าบอกนะเจ้าคะว่าท่านเขยเป็นเช่นนั้น” นางขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเอียงคอ “เสียงที่พวกข้าสองคนได้ยินในวันเข้าหอล่ะเจ้าคะ?”
“หึ! เขาก็แค่ช่วยถอดที่ครอบผมให้ข้า แล้วก็เสื้อผ้าที่หลายชั้นนั่น จากนั้นก็ปลีกตัวไปอาบน้ำนอน ไม่สนใจหันมามองข้าเสียด้วยซ้ำ นี่เจ้าคิดว่าข้ากับเขาทำเช่นนั้นกันจริงหรือ?”
“เจ้าค่ะ ก็เสียงชวนคิดไปเช่นนั้นนี่เจ้าคะ?”
ฉงหยวนหยวนส่ายหน้าสายตาจ้องสาวใช้ทั้งสองเขม็ง
ปังหมิ่นยิ่งฟังก็ยิ่งงง “ในเมื่อฮูหยินแปดกับคุณชายจั๋วก็แค่แต่งงานกันปลอมๆ เขาไม่แตะต้องฮูหยินไม่ดีหรือเจ้าคะ?”
ในจวนสกุลฉง มีเพียงท่านพ่อท่านแม่ นางและสาวใช้ทั้งสองที่รู้อุบายนี้
“ดีน่ะดี! แต่ข้าก็เริ่มไม่ค่อยมั่นใจแล้วว่า ที่ทุกคนกล่าวยกย่องว่าข้างดงามเป็นที่ปรารถนาของบุรุษทั้งหลายนั้นเป็นความจริงหรือไม่? มือปราบผู้นี้ช่างประหลาดนัก ทีแรกข้าก็คิดว่าเขาน่าจะเสแสร้งทำตัวเป็นสุภาพบุรุษ แต่ผ่านมาถึงสามวันข้าก็รู้แล้วว่าเขาไม่ได้สนใจข้าจริงๆ แม้กระทั่งการพูดคุยกับข้าก็ทำเหมือนสั่งลูกน้องในหน่วยงานของเขา”
จั๋วเหรินหาวยังคงไม่ใส่ใจจะเดินเข้ามาในเรือนนอนเพื่อดูห้องนอนของเขากับนาง ชายหนุ่มมุ่งมั่นจะจับคนร้ายให้ได้จึงหาโอกาสไปตีสนิทกับพ่อบ้านเฉาซึ่งเป็นบุรุษวัยห้าสิบที่ยังคงดูกระฉับกระเฉง
“พ่อบ้านเฉา หากว่าข้าต้องการเดินดูรอบๆ บริเวณบ้านมีบ่าวคนใดพอจะเรียกให้ช่วยมาแนะนำได้บ้าง?”
“ประเดี๋ยวข้าเรียกบ่าวที่คล่องงานให้ขอรับ”
************************