Episode 3

1305 คำ
"หนูตัดสินใจแล้วว่าจะไปสวีเดนค่ะแม่" พอพักเที่ยงมินธิรารีบโทรศัพท์บอกมารดาว่าตัดสินใจจะไปสวีเดนตามคำชวนของเพื่อน (ถ้าหนูตัดสินใจดีแล้ว แม่ก็เคารพการตัดสินใจของหนูจ้ะ แล้วทางโรงพยาบาลว่ายังไงบ้างล่ะ) "หนูยังไม่ได้แจ้งทางโรงพยาบาลเลยค่ะ ตั้งใจว่าจะยื่นเรื่องสัปดาห์หน้า ตอนนี้คงต้องรีบเคลียร์เคสที่ค้างอยู่ให้เรียบร้อยก่อน" (จ้ะ อะไรที่ทำแล้วสบายใจแม่ก็สนับสนุนเต็มที่ เดี๋ยวแม่ต้องวางสายแล้ว พอดีลุงมีมารับมะพร้าวน้ำหอมในสวนน่ะ) "ค่ะแม่ เอาไว้ตอนเย็นค่อยคุยกันใหม่นะคะ" มินธิราวางสายจากมารดา แล้วเปิดลิ้นชักหยิบโปสต์การ์ดรูปปราสาทคาลมาร์ ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสวีเดนขึ้นมาดู โปสต์การ์ดแผ่นดังกล่าวเธอเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมานานถึงสิบเอ็ดปีแล้ว เนื่องจากตอนเรียนมัธยมเธอเคยได้รับทุนการศึกษา ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่สวีเดนอยู่หนึ่งปี นั่นจึงทำให้เธอหลงเสน่ห์และอยากกลับไปเยือนที่นั่นอีกครั้ง แต่จนแล้วจนเล่าก็ยังไม่มีโอกาสเนื่องจากงานที่ยากจะปลีกตัว โกเธนเบิร์ก สวีเดน... "ว่าไงคะอลิซคนเก่งของอา ทำอะไรอยู่คะ" น้ำเสียงทุ้มต่ำของเซนดังขึ้น พร้อมกับแขนยาวๆ ที่อ้าออกรอรับหลานสาวตัวน้อย ที่กำลังนั่งหันหลังคุยกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่อยู่คนเดียว "อาเซน!" หนูน้อยได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็รีบหันหลังกลับไปมอง และเมื่อเห็นว่าใครก็รีบลุกวิ่งเข้าไปสวมก่อนทันที "กอดแน่นขนาดนี้คงจะคิดถึงอามากเลยล่ะสิท่า" ชายหนุ่มว่าพร้อมกับใช้มือยีผมหลานสาวเล่นเบาๆ "คิดถึงสิคะ เพราะอาทิตย์ก่อนอาเซนสัญญาว่าจะพาอลิซไปกินไอศกรีม แต่อาเซนก็ผิดสัญญาไม่ยอมมาหาอลิซ" หนูน้อย อลิซ หรือ อลิเซีย วัยห้าขวบ ผู้มีใบหน้าราวกับตุ๊กตา เอ่ยต่อผู้มาเยือนด้วยน้ำเสียงฟังดูเศร้าๆ "อาขอโทษค่ะ และเพื่อเป็นการไถ่โทษ อาจะพาอลิซไปกินไอศกรีมวันนี้เลยดีไหม" "ดีค่ะ" หนูน้อยตอบรับด้วยความดีใจแกมตื่นเต้นที่จะได้ออกไปเที่ยวข้างนอกบ้าง เพราะนอกจากโรงเรียนแล้ว เธอก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหนอีกเลย "แต่ก่อนจะออกไป อาขอไปคุยธุระกับแดดดี้ของอลิซก่อนนะคะ" "ค่ะ แดดดี้อยู่บนห้องทำงานค่ะ" เธอตอบแล้วเดินกลับไปนั่งเล่นกับตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ต่อ เซนจึงเลี่ยงออกมาแล้วเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของบ้าน ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก... มือหนาเคาะประตูห้องทำงานแล้วผลักเข้าไปอย่างคุ้นเคย เพราะเขาเข้าออกบ้านหลังนี้บ่อยจนแทบจะกลายเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว "ว่าไง" เซนยังไม่ทันได้ปิดประตู ก็มีเสียงห้วนๆ ดังขึ้น เขาจึงรีบปิดประตูแล้วหันไปมองเจ้าของเสียง ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ใบหน้าเย็นชานั้นทำให้เขาแทบอยากจะถอยหลังกลับบัดเดี๋ยวนั้น แต่ทว่าก็ต้องข่มใจสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วก้าวเข้าไปหาผู้เป็นเจ้าของห้อง "ก็ไม่ไง วันหยุดก็เลยแวะมาหาอลิซน่ะ แล้วนายล่ะวันหยุดแท้ๆ แทนที่จะใช้เวลากับลูก กลับมานั่งทำงานในห้อง ปล่อยให้ลูกเล่นอยู่คนเดียวซะงั้น" "ฉันก็ทำแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร เพิ่งจะมาบ่นอะไรตอนนี้" บาสเตียน นักธุรกิจวัยสามสิบสามปี เขาเป็นพ่อหม้ายลูกติด และลูกติดที่ว่านั่นก็คืออลิซ เอ่ยตอบด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้านแม้ได้ยินเสียงบ่นจากผู้มาเยือน ด้วยชีวิตของเขาต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวสะเทือนใจครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่สูญเสียคนในครอบครัวไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อหลายปีก่อน ต่อมาไม่นานก็มีเรื่องของภรรยา ที่แต่งงานมีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคน แต่สุดท้ายก็ต้องเลิกราหย่าร้างกันไป ซึ่งกว่าจะผ่านจุดนั้นมาได้ เขาก็บอบช้ำทั้งกายและใจอย่างหนัก ทำให้พ่อหม้ายหนุ่มกลายเป็นคนเคร่งขรึมและเย็นชา "ฉันทนดูมานานแล้ว ที่ผ่านมาแค่ไม่อยากพูดเท่านั้น เพราะคิดว่าเป็นเรื่องในครอบครัวที่นายต้องจัดการดูแลเอง แต่พอเห็นอลิซตอนนี้แล้ว ฉันไม่อาจทนดูเฉยๆ ต่อไปได้" เมื่อได้ยินเพื่อนสนิทพูดถึงลูกสาวตัวน้อยของตน บาสเตียนจึงละสายตาจากหน้าจอแล็ปท็อปแล้วเงยหน้าขึ้นมองเพื่อน พลางขมวดคิ้วอย่างสงสัย "อลิซเป็นอะไร ทำไมนายถึงจะทนดูต่อไปไม่ได้" "ก็นายไม่มีเวลาดูแลอลิซเลย ไม่ว่าจะวันจันทร์ถึงศุกร์หรือแม้แต่วันหยุด นายก็ขลุกอยู่แต่กับงาน นายดูไม่ออกหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้กันแน่ ว่าตอนนี้อลิซเป็นยังไง ถึงแม้ว่าอยู่ต่อหน้าเราเธอจะดูยิ้มแย้มแต่พอลับหลังเธอมักเหม่อลอย บางครั้งฉันยังเห็นเธอนอนกอดตุ๊กตาหลับไปทั้งน้ำตา ฉันกลัวว่าหากเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เธอจะกลายเป็นเด็กมีปัญหาและขาดความอบอุ่นได้ แม่ก็ไม่มีแล้วพ่อยังบ้างานไม่มีเวลาดูแลอีก" "แต่ที่ฉันทำงานหนักทุกวันนี้ก็เพื่ออลิซไม่ใช่เหรอ" คนถูกบ่นย้อนถาม "ทำเพื่ออลิซงั้นเหรอ ฉันว่านายทำเพื่อตัวเองมากกว่า แล้วนายคิดว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันดีเหรอ ถ้านายคิดว่าดีก็แสดงว่านายมันเป็นคนเห็นแก่ตัวที่เอาแต่ความรู้สึกของตัวเองเป็นที่ตั้ง คิดว่าทำงานหนักๆ จะทำให้ลืมความเจ็บปวดได้ แต่ไม่เคยนึกถึงจิตใจของลูกเลย ว่าเธอจะรู้สึกยังไงที่มีพ่อก็เหมือนไม่มี" เซนระบายความรู้สึกอัดอั้นตันใจออกมาหมดเปลือก ส่วนบาสเตียนจากที่เครียดอยู่แล้วก็ยิ่งเครียดขึ้นไปอีก เพราะอันที่จริงปัญหานี้เขาก็รู้มานานแต่ก็แก้ไม่ตกสักที "ฉันรู้" "รู้แล้วยังไง รู้แล้วไม่ทำอะไรจะมีประโยชน์อะไรล่ะ" เซนว่าเสียงเครียด "ฉันพยายามจะแก้ปัญหาอยู่" น้ำเสียงของบาสเตียนก็เครียดไม่แพ้เพื่อน "ฉันไม่เห็นนายจะพยายามอะไรเลย ตั้งแต่วันที่นายหย่าจนถึงตอนนี้ก็สี่ปีแล้ว ฉันก็ยังเห็นนายจมปลักอยู่กับความทุกข์เหมือนเดิม ไม่เห็นทำอะไรเพื่ออลิซอย่างที่ปากว่าเลยสักอย่าง" "ก็นายไม่ใช่ฉัน! แล้วนายจะเข้าใจความรู้สึกของฉันได้ยังไง" บาสเตียนโต้กลับเสียงแข็งเมื่อถูกกดดันหนักเข้า "ใช่! ฉันไม่ใช่นาย ฉันไม่เข้าใจความรู้สึกของนายหรอกนะ แต่อย่างน้อยฉันก็เข้าใจความรู้สึกของอลิซ ฉันขอแนะนำว่าถ้านายไม่มีเวลาดูแลเธอจริงๆ ก็ควรจะหาพี่เลี้ยงสักคนให้เธอ ลำพังป้าคาร่าคงดูแลอลิซได้ไม่ดีเท่าที่ควรหรอก" พูดจบเซนก็ออกไปจากห้อง ลงไปหาหลานสาวที่รออยู่ด้านล่าง เพื่อจะพาเธอออกไปทานไอศกรีมตามที่สัญญากันไว้ และวันนั้นกว่าที่เซนจะพาอลิซกลับมาส่งที่บ้าน เวลาก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว ทำเอาคนเป็นพ่อยังบาสเตียนที่ไม่รู้ว่าลูกหายไปไหน ถึงกับโกรธเลือดขึ้นหน้าที่เพื่อนทำอะไรไม่บอก แต่เมื่อเห็นใบหน้าจิ้มลิ้มเปื้อนรอยยิ้มของลูกสาว อารมณ์ของเขาก็เย็นลง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม