Chapter 5
ความเจ็บปวดที่งดงาม
สามเดือนต่อมา…
ในวันหยุดที่มีเพียงสัปดาห์ละหนึ่งวัน ภายในห้องนอนเดิมหากแต่ถูกบิวท์อินใหม่ทั้งหมดนับจากแต่หย่าขาดจากภรรยา..บนเตียงกว้างที่ทุกอย่างใหม่หมดแม้กระทั่งผ้าปูที่นอน ปราชญ์ยังคงนอนคว่ำหน้าซุกลงกับหมอนแม้จะลืมตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นอีกหนึ่งวันที่เขาตื่นขึ้นมาท่ามกลางใจที่เปลี่ยวเหงา ใจหายทุกครั้งเมื่อนึกถึงภาพในวันวาน ไม่มีอีกแล้วกับคำว่าครอบครัว แม้จะผ่านมานานนับเดือนตั้งแต่หย่าขาดกับอลิน แต่เขายังคงทำใจไม่ได้ ไม่อาจหลอกตัวเองได้ว่ายังคงคิดถึงเธอ เก็บเอาไว้จนลึกสุดใจแม้วันนี้ใจของหล่อนจะหมดรักที่มีให้แล้วก็ตาม
"ปาป๊าขา ตื่นหรือยังคะ"
เสียงเรียกมาพร้อมเสียงเคาะประตูห้อง ชายหนุ่มผงกหัวขึ้นมาแล้วยันกายลุกนั่ง ถอนหายใจยาวแล้วปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้คนที่ยืนรออยู่ข้างนอกได้เข้ามา
เพียงบานประตูเปิดกว้างก็เห็นเจ้าของรอยยิ้มจนแก้มปริยืนกอดตุ๊กตาหมีอยู่หน้าประตู ก่อนอีกฝ่ายจะทำท่ากระโดดโลดเต้นเข้ามาข้างใน
"คุณลุงธารณ์ให้ลลินมาตามปาป๊าไปทานข้าวค่ะ บอกว่าทุกคนมีเรื่องจะคุยด้วย"
"ปาป๊าเพิ่งตื่นครับ หนูไปบอกทุกคนว่าให้ทานไปก่อนเลยไม่ต้องรอ"
"ปาป๊าก็รีบไปแปรงฟันสิคะ ลลินจะนอนดูการ์ตูนรออยู่ที่นี่"
ไม่รอให้อนุญาต สาวน้อยกระโดดขึ้นไปบนเตียงของบิดาที่วันนี้ใช้นอนเพียงลำพัง ก่อนจะกลิ้งเกลือกไปมาไม่ยอมลงไปข้างล่างเสียแล้ว"
เหมือนปราชญ์จะนึกขึ้นมาได้...จู่ๆ ใจเขาก็ประหวัดไปถึงดากานดา เพราะปกติลูกสาวของเขาจะติดคุณอาจนกายแทบไม่ห่างกันเลยก็ว่าได้ ห่างกันเฉพาะเวลาไปโรงเรียนเท่านั้น
"คุณอายังไม่ตื่นเหรอครับ ปกติจะนอนดูการ์ตูนอยู่ในห้องโน้นไม่ใช่เหรอ"
"ไปแล้วค่ะ ตั้งแต่เช้า"
คำตอบของลูกสาว ทำให้คนฟังชะงักมือที่กำลังกดหาช่องการ์ตูน นึกแปลกๆ ในหัวใจที่ตื่นมาแล้วไม่เห็นหน้าดากานดา
"ไปไหนเหรอครับ"
"คุณอาบอกว่าจะไปหางานทำค่ะ"
"อ่อ...เหรอครับ นึกว่ายังไม่ตื่นเสียอีก"
เขาเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าเคยคุยกับหล่อนไปแล้วรอบหนึ่ง เรื่องที่หล่อนห่วงเด็กๆ กลัวว่าจะไม่มีคนเลี้ยง มารดาของเขาและมารดาของหล่อนมีร้านทองให้ดูแลอีกหลายสาขา เขาเคยดุหล่อนว่าถ้าไม่ไปหางานทำก็ให้ช่วยกิจการที่บ้าน ไม่ต้องห่วงเรื่องของเขามากกว่าเรื่องของตัวเอง ดากานดานั้นจบเภสัช เขาเคยเปรยว่าหากอยากเปิดร้านขายยาก็ให้ไปหาประสบการณ์ด้วยการเป็นลูกจ้างของคนอื่นดูก่อน จากนั้นค่อยนำประสบ การณ์เหล่านั้นมาบริหารร้านของตัวเอง
นอกจากดากานดาแล้ว เขารู้ว่าทุกคนต่างห่วงเขาในข้อนี้ ไม่อยากให้จ้างพี่เลี้ยงเพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเด็กๆ อยากให้ดากานดาเป็นพี่เลี้ยงไปจนกว่าลูกชายคนเล็กของเขาจะเติบโตจนรู้ภาษา แต่เขาก็ไม่อาจทำได้หากจะปิดกั้นอนาคตของหล่อนเอาไว้ ไม่อยากให้หล่อนเอาชีวิตมาผูกติดกับคนที่ประสบความล้มเหลวในชีวิตคู่ เขาคือผู้ชายที่ประสบความล้มเหลวอย่างแท้จริง ไม่อาจรักษาสภาพชีวิตคู่ให้ยืนยาวตลอดรอดฝั่งได้
ไฟท้ายรถของคนไข้รายสุดท้ายค่อยๆ แล่นไกลห่างออกไปเรื่อยๆ สกุณาเป็นคนสุดท้ายที่ยังอยู่จนกระทั่งคนไข้รายสุดท้ายกลับไป งานของหล่อนยังไม่จบเพราะจะต้องปิดบัญชีของวันนี้ให้เสร็จก่อน เมื่อภายในคลินิกกลับเข้าสู่ความเงียบงันเพราะเหลือเพียงหล่อนกับปราชญ์ หลังจากนั่งชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ความคิด
บางอย่างก็พลันสว่างวาบเข้ามาในหัว
'เลิกกับเมียแล้ว ถ้าเราจะคั่วก็คงไม่ผิดสินะ'
หล่อนลุกเดินเข้าไปภายในห้องตรวจ เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ปราชญ์กำลังจะลุกเดินออกมาข้างนอก เมื่อสกุณาบอกเขาว่าเคลียร์คนไข้หมดแล้ว
"มีอะไรเหรอนก"
แผงคิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นพยาบาลสาวเดินเอามือกุมท้องทำหน้านิ่วคล้ายทรมาน
"นกรู้สึกไม่สบายตั้งแต่ช่วงเย็นแต่ก็ทนช่วยคุณหมอเพราะเห็นว่าคนไข้เยอะ ก็เลย...อยากให้คุณหมอตรวจดูอาการว่านกป่วยเป็นอะไรค่ะ"
"ไม่สบาย? อาการเป็นยังไงบ้างล่ะ"
"ปวดท้อง แล้วก็...เหมือนจะมีไข้ค่ะ"
"ปวดแบบไหน เธอกินข้าวตรงเวลาหรือเปล่า"
"คุณหมอจะไม่...ลองตรวจดูก่อนเหรอคะ นกอธิบายไม่ถูก เพราะมันร้าวไปทั่วเลยค่ะ"
ปราชญ์ทำท่าคล้ายลังเล เขาเหลียวซ้ายแลขวาเพราะรู้สึกแปลกๆ เนื่องจากไม่เคยตรวจดูอาการของใครในขณะที่อยู่เพียงลำพังกับคนไข้ ทุกครั้งเขาจะป้องกันข้อครหาด้วยการให้เจ้า หน้าที่มายืนอยู่ด้วยทุกครั้งเวลาคุยกับคนไข้ เพราะคนเราสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ หากคนไข้ตลบหลังว่าถูกหมอลวนลาม ชื่อเสียงของ
เขาจะต้องกลายเป็นชื่อเสียแน่นอน
สกุณารู้งาน เมื่อมีโอกาสให้คั่วหล่อนจะไม่ปล่อยเอาไว้ รีบขึ้นไปนอนหงายบนเตียงเพื่อให้คุณหมอทำการตรวจคลำร่างกายเบื้องต้น หาสาเหตุว่าปวดท้องที่จุดไหนกันแน่
'เมื่อไหร่กานดาจะเอาข้าวมาส่งนะ'
เขานึกถึงคนที่ชอบดุบ่อยๆ ขึ้นมาทันที แม้หล่อนจะดูจุ้นจ้านและน่ารำคาญไปบ้าง แต่เวลานี้เขากลับต้องการหล่อนอย่างถึงที่สุด เพราะไม่อยากอยู่เพียงลำพังกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกจ้างนอกเวลางาน แน่นอนเขาเป็นหมอที่เจอคนมาหลาก หลายรูปแบบ ย่อมดูออกว่าสกุณากำลังใช้โอกาสที่เขากลับมาโสดเพื่อเข้าหา
ขั้นแรกเขาทาบสเต็ทลงไปบนเนินอกเพื่อตรวจฟังจังหวะหัวใจ ในขณะที่สกุณานอนนิ่งมองหน้าคุณหมอรูปหล่อด้วยความใหลหลง ความที่แอบชอบเขามานานตั้งแต่ตอนยังไม่หย่ากับภรรยา เมื่อวันนี้เขากลับมาโสด ความหวังที่ดูจะริบหรี่ก็เริ่มเรืองรองขึ้นมาอีกครั้ง
"กดตรงนี้เจ็บมั้ย"
นิ้วแกร่งกดไล่ตำแหน่งไปจนทั่วช่องท้องเพื่อประเมินอาการ...ปราชญ์ถึงกับวิเคราะห์ไม่ถูก เมื่อคนไข้ของเขากลับบอกว่าปวดร้าวไปทั่วช่องท้อง ราวกับว่าหล่อนต้องการประวิงเวลาเพื่อให้เขาวิเคราะห์หาต้นตอให้นานกว่านี้ หากเป็นเช่นนี้ให้ตรวจ
ละเอียดลึกซึ้งกันทั้งคืนก็คงจะหาสาเหตุไม่เจออย่างแน่นอน...
'นี่มัน...รถพี่นกนี่นะ...ทำไมวันนี้กลับดึกจัง...'
ดากานดาดับเครื่องรถมอเตอร์ไซด์เมื่อขับมาจอดอยู่หน้าคลินิก สายตามองไปยังรถคุ้นตาอย่างนึกแปลกใจที่ป่านนี้ยังคงไม่กลับไปทั้งที่ดึกมากแล้ว หล่อนค่อยๆ ขยับกายลงจากรถอย่างช้าๆ เพราะขาที่เจ็บจากการขับชนสุนัขจนรถล้ม โชคดีที่อาหารอยู่ในกล่องจึงไม่หกเลอะเทอะ ไม่อย่างนั้นปราชญ์จะต้องอดข้าวไปอีกหนึ่งมื้ออย่างแน่นอน
"อูยยย หมาบ้า ดีนะที่เราขับมาช้าๆ ไม่อย่างนั้นคงได้เป็นหนักกว่านี้แน่"
หล่อนเดินกระเผลกไปผลักบานประตูที่ยังไม่ถูกล็อกเพื่อเข้าไปด้านใน พบเพียงความเงียบงันเพราะคนไข้กลับกันไปหมดแล้ว หญิงสาวหิ้วกับข้าวเดินตรงไปที่ด้านหลังด้วยความคุ้นชิน ตั้งใจจะเตรียมอาหารไว้รอก่อนจะขึ้นไปเคาะเรียกให้ปราชญ์ลงมาทานมื้อเย็นที่เลยเวลามามากแล้ว
จังหวะที่เดินผ่านห้องตรวจ หูได้ยินคล้ายเสียงคนคุยกันเบาๆ อยู่ในนั้น สองขาต้องชะงักแล้วมองลอดมู่ลี่เข้าไป เห็นปราชญ์อยู่ข้างในกับใครบางคน เพียงเท่านั้น หล่อนรีบแหวกมูลี่แล้วโผล่หน้าเข้าไปทักทาย
"อาหารมาแล้วค่ะคุณพี่หมอ"
'เด็กบ้า! โผล่มาไม่ดูตาม้าตาเรือ'
สกุณาผลุนผลันลุกนั่งด้วยความตกใจ ท่ามกลางความโล่งใจของปราชญ์ นึกขอบใจดากานดาที่มาได้จังหวะเวลาพอดี
"พี่นกเป็นอะไรคะ"
"ปวดท้องน่ะ พอดีเลย ตรวจเสร็จพอดี"
ปราชญ์ชิงตอบแทน เขาผละออกห่างจากสกุณา ก่อนจะเดินออกมาข้างนอกแล้วตรงไปยังตู้ยา หยิบยามาสามอย่างเพื่อจัดให้สกุณานำกลับไปทานที่บ้าน
เมื่อมีมารมาขัดขวางสกุณาจึงต้องหยุดทุกอย่างเอาไว้ก่อน หล่อนเดินตามปราชญ์ออกมายังเคาท์เตอร์ยา และยังไม่ทันทำอะไรต่อ เขาก็ชิงตัดบท
"กลับบ้านได้เลยนะนก เรื่องปิดบัญชีเดี๋ยวผมให้กานดาดูแลต่อเอง"
"แต่..."
"ปวดท้องหนักไม่ใช่เหรอ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะไม่ต้องห่วงทางนี้ แล้วก็...อย่าลืมทานยาตามที่หมอสั่งนะครับ"
ชายหนุ่มยื่นยาส่งให้อีกฝ่าย เป็นการบอกเป็นนัยๆ ว่าเขาไม่อยากให้อยู่ต่อ สกุณาไร้ข้อโต้แย้งเพราะโกหกออกไปแล้ว จะให้หายปวดท้องกะทันหันก็กระไรอยู่ กลัวเขาจับได้ว่านั่นคือมารยา
"ถ้าอย่างนั้น...นกกลับก่อนนะคะ"
"อืม...ถ้าพรุ่งนี้มาไม่ไหวก็ไม่ต้องมานะ เดี๋ยวผมให้
กานดามาแทนชั่วคราว"
"ค่ะ เดี๋ยวนกโทร.หาคุณหมออีกที"
สกุณาเก็บข้าวของแล้วสะพายกระเป๋าเดินออกไปข้างนอก...ทั้งสองยืนมองจนเห็นสกุณาขับรถออกไปจากหน้าร้าน ปราชญ์จึงเดินไปล็อกประตูเพื่อความปลอดภัย...และในขณะที่หมุนกายหันกลับมา เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าตามร่างกายดากานดานั้นไม่เหมือนเดิม
"หัวเข่าไปโดนอะไรมาน่ะกานดา ถึงเป็นแผลแบบนั้น!"
"รถล้มค่ะ"
"ล้มที่ไหน! แล้วที่บ้านรู้หรือยัง"
"ชนหมาค่ะ โชคดีที่กานดามาไม่เร็วมาก ก็เลยแค่หัวเข่าถลอก ได้คนแถวนั้นมาช่วยดู ที่บ้านยังไม่รู้ค่ะ กานดากลัวพี่ปราชญ์หิวก็เลยรีบมาที่นี่ก่อน"
"เธอห่วงคนอื่นมากกว่าตัวเองอีกแล้วนะ มานี่เลย"
น้ำเสียงออกแนวตำหนิ มาพร้อมกับตะกร้ากับข้าวที่ถูกแย่งมาถือไว้ มืออีกข้างคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเล็ก ลากคนขาเจ็บให้เดินกระเผลกๆ ตามไปด้านใน
"ไปนั่งรอในห้องนั้น พี่จะเอ็กซเรย์ดูว่าข้างในปกติดีมั้ย ซี่โครงหักหรือเปล่าก็ไม่รู้"
ออกคำสั่งแล้วก็เดินลิ่วไปยังครัวที่อยู่ด้านหลังสุด เพื่อนำ
ตะกร้ากับข้าวไปวางไว้ก่อน สักพักเขาก็เดินย้อนกลับมา คนเจ็บ
ได้แต่ยืนทำตาปริบๆ เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาจังจริง
"กานดาไม่ได้เป็นอะไร ทำไมต้องเอ็กซเรย์ด้วยคะ"
"อย่าดื้อสิครับ ถอดเสื้อในออกเร็วๆ"
"หา!"
"ตกใจอะไร พี่จะตรวจดูภายใน เอ้ย ตรวจดูอวัยวะข้างในของเธอ"
อยู่ดีๆ ก็สั่งให้โนบราซะอย่างนั้น ดากานดายกแขนขึ้นกอดอก ยืนนิ่งไม่ยอมทำตามที่เขาบอก
"เร็วสิกานดา เดี๋ยวต้องทำแผลอีกนะ ถ้าเป็นเด็กจะหวดให้น่องลาย ดื้อตาใสแบบนี้"
"พี่ปราชญ์ออกไปก่อนสิคะ กานดาอาย"
การที่หล่อนหน้าแดงซ่านพร้อมรอยยิ้มเอียงอาย เขาจึงเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังเสียมารยาท การที่จะให้หล่อนถอดชั้นในออกในขณะที่เขายืนมอง เป็นใครก็ต้องอายเป็นธรรมดา...จนกระทั่งการเอ็กซเรย์ผ่านไปด้วยดี ขั้นตอนต่อมาดากานดาก็ถูกบังคับให้ไปล้างแผล และหล่อนซึ่งกลัวกับฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ ถึงกับออกอาการงอแงไม่ยอมให้ปราชญ์ทำแผลอย่างง่ายดาย
"พี่ปราชญ์ไปทานข้าวเถอะค่ะ มันดึกมากแล้ว กานดาขอทำเองได้มั้ยคะ"
"อยู่เฉยๆ เถอะน่า เดี๋ยวพี่ทำให้ ปล่อยให้เธอทำเองเดี๋ยวไม่สะอาด"
ปราชญ์จับขาของหล่อนขึ้นมาพาดไว้บนหน้าตักแล้วใช้มือกดเอาไว้ไม่ให้ขยับหนี ต้องบังคับกันเป็นเด็กเล็กๆ ที่กลัวหมอจนออกอาการงอแง
"โอ๊ย เจ็บ!"
"ยัง"
"ซ้อมเจ็บไงคะ กานดากลัวพี่ปราชญ์ทำแรง"
"ยายบ๊องเอ๊ย ถูให้เลือดซิบมากกว่าเดิมซะดีมั้ย"
ปราชญ์อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ บางครั้งเขาก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ว่าช่วงเวลาที่อยู่กับดากานดานั้นมีความสุขมากเพียงใด หล่อนทำให้เขายิ้มได้เสมอ แม้จะมีเรื่องทุกข์อยู่ในใจก็ตาม
เพียงสำลีชุ่มๆ แตะลงบนแผลสดๆ คนเจ็บก็ร้องลั่นจนปราชญ์ต้องชะงักมือ
"พี่ปราชญ์...กานดาเจ็บ..."
"อดทนอีกนิดนะ...เดี๋ยวก็หายเจ็บ"
"เจ็บ พอแล้ว..."
"เจ็บนิดเดียวเดี๋ยวก็หาย อดทนหน่อยสิกานดา"
เสียงหล่อนออดอ้อนน้ำตารื้น ขณะที่อุ้งมือแกร่งยังคงกดท่อนขาเรียวเอาไว้ ดากานดาขบกรามแน่นเบือนหน้าไปทางอื่น ได้แต่นั่งนิ่งอย่างยอมจำนน ปล่อยให้คุณหมอทำแผลให้อย่างเงียบๆ ช่วงเวลานั้นมีความรู้สึกหลายอย่างประเดประดังเข้ามาจนรู้สึกสับสน ทั้งความรู้สึกปลื้มปริ่มอยู่ในหัวใจที่เขาลงทุนทำแผลให้ด้วยตัวเอง จนอดที่จะลอบมองใบหน้าคมคร้ามอยู่เป็นระยะด้วยหัวใจที่พองโตไม่ได้
"แค่นี้เธอยังเจ็บจะเป็นจะตาย ถ้าเจออย่างอื่นที่เจ็บกว่านี้เธอไม่ร้องลั่นเลยเหรอ"
คนฟังตาลุกวาว เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาสบตา ก่อนเผยยิ้มล้อเลียนซ่อนเล่ห์ แววตาของเขาทอประกายพราวระยับ
"ไม่ต้องทำหน้างงหรอก เอาไว้ถ้ามีผัวเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้เอง"
"พี่ปราชญ์ เดี๋ยวเถอะ!"
หล่อนไม่ขำด้วยในขณะที่เขาหัวเราะชอบใจ หญิงสาวทำท่าชักท่อนขาหนี แต่เขากลับจับเอาไว้จนแน่น และหล่อนก็ไม่อาจสู้แรงที่มีมากกว่าได้
"อยู่นิ่งๆ สิครับ ยังไม่เสร็จเลย"
"กานดาจะไม่ขอมีผัว จะอยู่เป็นโสดไปจนแก่ตาย"
"โธ่...ยายเป๋อ แค่เธอหาวไม่ปิดปากก็ขายไม่ออกแล้ว ผู้ชายที่ไหนจะตาบอดจับไปทำเมียฮึ"
"พี่ปราชญ์! อยากอดข้าวใช่มั้ย"
เสียงหัวเราะดังแว่วอยู่ในห้องทำแผล แม้จะโกรธแต่ถ้อยคำของปราชญ์ก็ทำให้ดากานดาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ นั่นคือเรื่องจริงที่เขาชอบตำหนิอยู่บ่อยๆ ว่าหล่อนไม่มีมารยาท หาวไม่ยอมปิดปากจนเขาบ่นว่าไปไหนด้วยแล้วนึกอับอายชะมัด
ท่ามกลางความมืดที่ห่มคลุมทั่วทุกพื้นที่ ภายในพื้นที่ส่วนตัวที่ไฟยังคงส่องสว่าง สองหนุ่มสาวนั่งทานข้าวด้วยกันอยู่ตรงมุมเล็กๆ ไร้ซึ่งคนนอกรบกวน คือความสุขที่ช่วยเติมเต็มพื้นที่ว่างในหัวใจให้ก่อเกิดเป็นความรู้สึกแปลกใหม่ทีละน้อยโดยที่เขาและหล่อนไม่รู้ตัว...รัก...ที่กำลังแปรเปลี่ยนจากคำว่าพี่ชายและน้องสาวมาเป็นสถานะอื่น ซึ่งต่างฝ่ายต่างกำลังหลอกหัวใจตัวเองว่าทุกวันนี้อยู่ในสถานะอะไร กำแพงจึงถูกสร้างขึ้นมาขวางกั้นเพื่อไม่ให้เข้าถึงใจกันและกันมากไปกว่านี้