ยุคจ้านกว๋อ
แคว้นฉิน
ค่ายทหารแม่ทัพทมิฬ
ต้าฉินในเวลานี้อยู่ในรัชสมัยของฉินเจาเซียงอ๋อง พระนามเดิมก่อนขึ้นครองแคว้นว่า“อิ๋งจี”ซึ่งแคว้นทั่วหล้าต่างเรียกขานพระองค์ว่า“เจาอ๋อง”
ในรัชสมัยของพระองค์มีการทำสงครามขยายอาณาเขตอยู่ตลอดเวลา โดยพระองค์มีเหล่าขุนพลระดับเทพอยู่ข้างกายหลายคนและหนึ่งในขุนพลเหล่านั้นมี “อินลี่ซาน” เป็นหนึ่งในขุนพลเทพคู่ราชบัลลังก์
อินลี่ซาน ชื่อและแซ่ของแม่ทัพผู้กล้าหรือแม่ทัพทมิฬ นามนี้เลื่องลือไปทั่วทุกแคว้น ขุนศึกคู่บัลลังก์ของต้าฉิน เป็นหนึ่งในแม่ทัพซึ่งใช้ชีวิตอยู่แต่การทำสงครามมาโดยตลอด
จวนแม่ทัพใหญ่ในเมืองหลวงเสียนหยางมีให้กลับแต่แม่ทัพหนุ่มกลับไม่ไปเหยียบย่างมานานกว่าหกปีแล้ว ยังคงใช้ชีวิตอยู่แต่ในกองทัพ ทำสงครามเพื่อแผ่นดินต้าฉินมาโดยตลอดไม่เคยคิดอาลัยแก่ชีวิตของตัวเองแม้แต่น้อย
เพราะถึงจะกลับไปจวนสกุลอินที่อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่มีคนสำคัญเฝ้ารอคอยแม่ทัพอินลี่ซานกลับมาแต่อย่างใด ด้วยบิดาของอินลี่ซานนามว่า อินหยวนได้พลีชีพเพื่อต้าฉินในสนามรบตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น
ส่วนฮูหยินหมี่หรือนามเดิมคือหมี่เซี่ย เป็นราชนิกูลสกุลหมี่ของแคว้นฉู่และยังเป็นน้องสาวของหมี่ปาจื่อหรือนามเดิมคือหมี่เย่ว พระราชมารดาของเจาอ๋อง ซึ่งเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นพระองค์ปัจจุบัน ได้ติดตามพี่สาวมาอยู่ที่แคว้นฉินด้วย และนางได้เกิดมาตกหลุมรักแม่ทัพอินหยวน
ด้วยเหตุนี้หมี่ปาจื่อ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นปาจื่อ สนมระดับ 8 ของอดีตอ๋องฉินคือฉินฮุ่ยเหวินอ๋อง กราบทูลให้อดีตอ๋องฉินพระองค์ก่อนมอบหมี่เซี่ยให้สมรสกับอินหยวน จากสกุลอินซึ่งเป็นพระญาติใกล้ชิดอีกสายหนึ่งของสกุลอิ๋งในแคว้นฉิน
และสมรสพระราชทานจึงได้เกิดขึ้นทำให้แคว้นฉินและแคว้นฉู่มีความสัมพันธ์ที่เป็นไปในทิศทางที่ดีมากขึ้นและหลังจากนั้นสายเลือดสกุลอินก็ถือกำเนิดขึ้นนั่นก็คืออินลี่ซาน
ท่านชายใหญ่ของจวนสกุลอินและก็มีเพียงอินลี่ซานเท่านั้นที่เป็นทายาทของอินหยวน ด้วยเพราะบิดานำกองทัพออกทำศึกและพลีชีพเพื่อแผ่นดินในสนามรบ
ในขณะที่ฮูหยินหมี่เมื่อทราบข่าวการพลีชีพเพื่อแผ่นดินของสามี นางเศร้าโศกเสียใจต่อการจากไปของสามีเป็นอย่างมากแต่ก็พยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อดูแลบุตรชายเพียงคนเดียว ตามคำสั่งเสียสุดท้ายของอินหยวนก่อนจะออกไปทำศึกจนตัวตาย
จวบจนกระทั่งอินลี่ซานมีอายุสิบปี ฮูหยินหมี่ได้ล้มป่วยลงและจากไปอย่างสงบในเวลาต่อมา จึงทำให้ท่านชายใหญ่ของสกุลอินที่เหลือเพียงหนึ่งเดียวต้องเติบโตมาอย่างเดียวดายนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ท่ามกลางความโดดเดี่ยวเดียวดายที่ต้องเติบใหญ่มาเพียงลำพังห้อมล้อมไปด้วยบ่าวไพร่และบริวาร ภายหลังหมี่ปาจื่อได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นเสวียนไทเฮาหรือที่ผู้คนต่างเรียกขานว่าหมี่ไทเฮา เมื่อพระโอรสได้ขึ้นครองแคว้นสืบต่อจากพระบิดา เสวียนไทเฮาซึ่งเป็นป้าแท้ๆ ของอินลี่ซานจึงรับตัวของหลานชายให้เข้ามาอยู่ภายในพระราชวังหลวงเพื่อเลี้ยงดูแทนน้องสาวที่จากไป
เสวียนไทเฮาเลี้ยงดูอินลี่ซานเคียงคู่มากับเจาอ๋องพระโอรสของพระองค์มาด้วยกัน และรักใคร่หลานชายดั่งพระโอรสแท้ๆ เช่นเดียวกัน จึงทำให้อินลี่ซานรักและเคารพเสวียนไทเฮามากยิ่งนัก และรักเคารพเจาอ๋องดุจดั่งพี่ชายแท้ๆ ซึ่งอินลี่ซานมีอายุน้อยกว่าเจาอ๋องห้าปี
ภายหลังอินลี่ซานร้องขอเสวียนไทเฮาเข้าไปฝึกฝนและใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพเพื่อสืบสานต่อปณิธานของอินหยวนผู้เป็นบิดาสืบต่อไป ด้วยต้นสกุลอินได้นั้นถวายสัตย์สัญญากับต้นสกุลอิ๋งเอาไว้ว่า จะถวายความจงรักภักดีร่วมรบพลีชีพและเลือดเนื้อเพื่อแผ่นดินของต้าฉินให้เป็นปึกแผ่นสืบต่อไปชั่วลูกสืบหลาน
และอินลี่ซานก็ไม่ทำให้อินหยวนผู้เป็นบิดาผิดหวัง ชีวิตในกองทัพที่เข้าไปสัมผัสตั้งแต่อายุ 12 ปี ทำให้เติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง เก่งกล้าเกินคนเป็นยอดขุนพลขั้นเทพที่เลื่องลือในรัชสมัยของเจาอ๋องที่ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด จนได้รับฉายาแม่ทัพทมิฬ จากการทำศึกกับเผ่าอี้ฉู่ที่ยอดขุนพลอินลี่ซาน ได้เข้าไปปราบปรามเผ่าอี้ฉู่อย่างหนักสามารถยึดดินแดนของอี้ฉู่ได้ถึง 25 เมือง
ด้วยเหตุนี้ทำให้เผ่าอี้ฉู่ยอมจำนนต่อต้าฉินแต่โดยดี ทำให้ได้รับฉายาดังกล่าวนับตั้งแต่นั้นมารวมไปถึงกองทัพของอินลี่ซานก็ถูกเรียกขานว่า กองทัพทมิฬไปด้วยเช่นกัน
ภายหลังแม่ทัพหนุ่มได้ไปตกหลุมรักเด็กสาวจากตระกูลฮัว ซึ่งเป็นธิดาของเจ้าเมืองฮัวอี้แห่งหยงกวน เมื่อครั้งยกทัพออกทำศึกกับแคว้นต้าฉีและใช้เมืองหยงกวนเป็นที่ตั้งทัพของต้าฉิน จึงทำให้แม่ทัพผู้กล้าได้ถูกเชิญไปร่วมพิธีปักปิ่นของธิดาเจ้าเมืองหยงกวน และนั่นจึงทำให้อินลี่ซานได้พบกับฮัวฟู่หรงธิดาเจ้าเมืองฮัวอี้ของเมืองหยงกวน
อินลี่ซานและฮัวฟู่หรงได้ตกหลุมรักซึ่งกันและกันทันทีที่ได้พานพบเป็นครั้งแรก และหัวใจของแม่ทัพหนุ่มได้บังเกิดความรักขึ้นภายในหัวใจของเขา แม้เวลาออกทำศึกก็ยังเฝ้าคิดถึงสตรีที่หลงรักอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา
ด้วยความรักที่เกิดขึ้นภายในหัวใจอย่างรุนแรงของอินลี่ซานที่มีต่อฮัวฟู่หรง ธิดาของเจ้าเมืองฮัวอี้ ซึ่งมีอายุในขณะนั้นเพียงแค่15 ปีเท่านั้น ในขณะที่อินลี่ซานมีอายุในขณะนั้น 23 ปี
แม่ทัพผู้กล้าได้เข้าเฝ้าเจาอ๋องเพื่อร้องขอพระองค์ให้มอบสมรสพระราชทาน เพื่อต้องการนำฮัวฟู่หรงมาเป็นฮูหยินข้างกายและอินลี่ซานก็สมหวังในความรัก
เมื่อเจาอ๋องประทานสมรสพระราชทานให้กับอินลี่ซานซึ่งเป็นทั้งพระญาติและรักเอ็นดูเสมือนน้องชายของพระองค์ ท่ามกลางความสุขสมหวังเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความรักของคู่บ่าวสาว หลังจากได้ประกอบพิธีกราบไหว้ฟ้าดินเป็นที่เรียบร้อย
ทว่ากลับมีข่าวด่วนจากชายแดนได้ส่งม้าเร็วกลับมารายงาน ว่าเมืองหยงกวนที่เพิ่งจะรอดพ้นจากการบุกยึดของต้าฉีได้เพียงไม่นานนั้น บัดนี้ถูกเผ่าซงหนูบุกเข้ายึดครองเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยฉวยโอกาสที่เจ้าเมืองฮัวอี้และตระกูลฮัวเดินทางมาร่วมงานสมรสพระราชทานที่จวนสกุลอินในเมืองหลวงเสียนหยางบุกเข้ายึดเมืองหยงกวน อันเป็นเมืองหน้าด่านของต้าฉิน ด้วยเหตุนี้เจาอ๋องจึงมีพระบัญชาให้อินลี่ซานยกกองทัพทมิฬซึ่งตั้งทัพอยู่ที่เมืองอู่หลงติดกับเมืองหลวงเสียนหยางเดินทัพบุกยึดเมืองหยงกวนกลับคืนมาและให้ออกเดินทางทันทีที่ได้รับพระราชโองการ
คู่บ่าวสาวที่เพิ่งกราบไหว้ฟ้าดินผ่านไปได้ไม่กี่ชั่วยามจำต้องพลัดพรากจากกัน ทั้งที่ยังไม่ทันได้เข้าร่วมหอด้วยกันเสียเลยด้วยซ้ำ อินลี่ซานจำต้องยกทัพตามพระราชโองการของเจาอ๋องเพื่อยึดเมืองหยงกวน ซึ่งเป็นเมืองเกิดของฮูหยินคนงามของเขากลับคืนมาสู่ต้าฉินให้ได้ดั่งเดิม คู่บ่าวสาวได้แต่ยืนกอดกันด้วยความรักที่มีอยู่เต็มหัวใจของคนทั้งคู่
ภาพเหตุการณ์ที่อินลี่ซานตัดปอยผมของฮูหยินคนงามมาเก็บไว้แนบอกเพื่อนำติดตัวไปด้วยในขณะทำสงครามกับเผาซงหนู สร้างความสะเทือนใจต่อบ่าวไพร่และผู้ที่มาร่วมงานสมรสพระราชทานในครั้งนี้กันอย่างถ้วนหน้า
ท่ามกลางหยาดน้ำตาของฮูหยินคนงามที่เฝ้ายืนมองสามีต้องออกทำสงครามทั้งที่ยังสวมชุดเจ้าบ่าวอยู่เช่นนั้น ควบม้าศึกนำหน้ากองทัพทมิฬบุกยึดเมืองหยงกวนกลับคืนมา
ภายหลังจากอินลี่ซานได้รับชัยชนะสามารถยึดเมืองหยงกวนกลับคืนมาได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งใช้เวลาในการทำสงครามบุกยึดเมืองหยงกวนกลับคืนมาเพียงแค่ห้าเดือนเท่านั้น
และทันทีที่สงครามกับเผ่าซงหนูสิ้นสุดลงแม่ทัพผู้กล้าไม่รอช้ารีบควบม้ามุ่งหน้ากลับเมืองหลวงเพื่อกลับมาหาฮูหยินของเขาด้วยความรักและคิดถึงจนใจแทบขาด
อีกทั้งเป็นห่วงนางจนแทบเป็นบ้าเมื่อจวนสกุลอินส่งข่าวมารายงานว่า ฮูหยินของเขากำลังล้มเจ็บด้วยอาการของไข้ลมหนาวและอาการไม่สู้ดีเสียเท่าใดนัก เกรงว่าร่างกายของนางจะไม่ไหวอีกต่อไป ข่าวดังกล่าวทำให้อินลี่ซานกระโดดขึ้นบนหลังม้าควบออกจากค่ายทหารเดินทางออกจากเมืองหยงกวนทันที
อินลี่ซานควบม้าเร็วกลับเมืองหลวงอย่างบ้าคลั่ง จนม้าตายกลางทางไปหลายตัวและใช้เวลาเดินทางจากเมืองหยงกวนเพียงแค่สิบวันเท่านั้นก็เดินทางมาถึงเมืองเสียนหยาง ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วระยะทางจากเมืองหยงกวนและเมืองเสียนหยางห่างไกลนับพันลี้ต้องใช้เวลาเดินทางนานนับเดือนเลยทีเดียว
ทว่าสวรรค์กลับประทานความโหดร้ายให้แก่แม่ทัพผู้กล้าอย่างยิ่งยวด ทันทีที่เดินทางมาถึงและรีบไปหาฮูหยินคนงามที่หอคอยซึ่งใช้เป็นสถานที่เก็บศาสตราวุธและคัมภีร์โบราณมากมายซึ่งตระกูลอินเก็บสะสมเอาไว้มาอย่างช้านานนับตั้งแต่สร้างแผ่นดิน แม่ทัพหนุ่มกลับพบแต่เพียงความว่างเปล่าที่หลงเหลืออยู่
เมื่อฮูหยินคนงามของเขาหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งเพียงรอยเลือดกองใหญ่เอาไว้บนลานหินกว้างตรงหน้าบริเวณหอคอยเอาไว้เท่านั้น โลหิตแดงฉานที่ไหลนองอย่างมากมายทำให้อินลี่ซานถึงกับบ้าคลั่งเมื่อล่วงรู้ว่า ฮูหยินของเขาจะต้องประสบอันตรายบางอย่างเป็นแน่ แม่ทัพหนุ่มออกค้นหาฮูหยินของเขาจนแทบจะพังจวนสกุลอินไปเลยก็ว่าได้แต่ก็พบกับความว่างเปล่า
ทว่าอินลี่ซานไม่ยอมหยุดการค้นหาฮูหยินของเขาแต่อย่างใด แม่ทัพหนุ่มใช้กองทหารส่วนตัวบุกค้นหาไปทั่วเมืองเสียนหยางอย่างบ้าคลั่งเพื่อตามหายอดดวงใจ แต่ผลที่ได้รับคือการสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยของฮูหยินฮัว ที่หายตัวไปอย่างไม่รู้สาเหตุ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนวันเวลาล่วงเลยผ่านไปจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปีจวบจนกระทั่งหกปีผ่านไป แม่ทัพทมิฬก็ยังไม่ลดละความพยายามยังคงออกค้นหาฮูหยินของเขาอย่างมีความหวัง
ความหวังที่หลงเหลืออยู่ตลอดระยะเวลาหกปีที่ผ่านมานั้น คือการล่วงรู้ข่าวฮูหยินของเขาแม้ว่าจะเหลือเพียงร่างอันไร้วิญญาณ ก็ตาม หรือเพียงแค่โครงกระดูก หรือแม้กระทั่งเหลือเพียงเถ้าธุลีขาว ไม่ว่านางจะอยู่ในสภาพอย่างไร อินลี่ซานก็จะต้องนำนางกลับคืนสู่อ้อมกอดของเขาให้จงได้