ตอนที่ 6 อยู่ร่วมบ้าน
ใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์เธอก็ย้ายข้าวของเข้ามาในโรงแรมใหญ่ได้สำเร็จ หลายวันที่ผ่านมาเธอไม่ได้มานอนค้างที่นี่โดยผู้ช่วยของสามีให้เหตุผลว่านำทัพเดินทางไปเจรจาธุรกิจที่ต่างประเทศ แต่ความจริงแล้วเขาเมาเรื้อนเป็นว่าเล่น
“ไม่ใช่ว่าทางเราไม่ไว้ใจนะครับ แต่คนที่จะเข้าไปอยู่ในห้องชุดของนายน้อยได้ต้องตรวจสอบทั้งหมด” บอดี้การ์ดหน้าห้องลงมือตรวจข้าวของทั้งด้วยตาและด้วยเครื่องจับสัญญาณ บ่งบอกว่างานที่เธอต้องทำหินสุด ๆ
“ที่เหลือคุณมวยจะเข้ามาแจ้งเองนะครับ”
“คุณมวยคือใครคะ?”
“หัวหน้าของพวกเราครับ มือขวาและคนข้างกายของนายน้อย”
วิวาห์พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องใหญ่หลังจากประตูบานกว้างเปิดออก สิ่งแรกที่รับรู้ได้คือมันว้าวมาก เกิดมาเธอไม่เคยคิดว่าบนยอดตึกของโรงแรมจะเป็นที่พักของเจ้าของ ห้องขนาดกว้างไม่สามารถคาดเดาจำนวนตารางเมตรได้เลยด้วยซ้ำ หลังจากเดินเข้ามาจากประตูก็เป็นพรมแดงทอดยาวไปจนถึงกลางห้องสิ้นสุดที่หน้าโต๊ะทำงานตัวใหญ่ บริเวณด้านข้างคือมุมของโซฟา กวาดตามองรอบ ๆ ถ้าไม่คิดอะไรก็เหมือนห้องทำงานโล่ง ๆ แต่ดูเหมือนว่าผนังปูนพวกนั้นจะซ่อนประตูห้องไว้ดีไซน์ออกแบบมาได้ดูเหมือนกับผนังห้องสุด ๆ ขวามือมีโต๊ะทำงานอีกตัวคาดว่าน่าจะเป็นเลขาเจ้าของห้อง ส่วนโต๊ะทำงานตัวใหญ่มีแฟ้มเอกสารมากมายกองอยู่บนนั้นเหมือนไม่ได้สะสางมานาน
‘เอกสารของพวกมันแกก็ไปแอบ ๆ ดู มีอะไรน่าสนใจก็ส่งข้อมูลมา’
สองขาค่อย ๆ ก้าวไปตรงหน้าสายตาหมายมั่นที่กองเอกสารบนโต๊ะ แต่ก่อนที่จะได้เดินไปไกลกว่าสองก้าวก็รู้สึกเหมือนว่าประตูห้องด้านหลังเปิดออกแล้วมีสายตาจ้องมองมายังเธอ ค่อย ๆ หมุนตัวกลับไปจึงรู้ว่ามีสายตาดุจเหยี่ยวจ้องมองมาจริง ๆ
“สวัสดีครับ”
เมื่อเห็นคนตรงหน้าค้อมศีรษะให้เธอจึงทำตามแอบชำเลืองไปมองที่เอกสารพวกนั้นอย่างเสียดายก่อนจะจำใจตัดใจหยุดเสียก่อน
“สวัสดีค่ะ คุณคือ?”
“ผมเป็นเลขาของนายน้อยนำทัพครับ ชื่อนักมวย เรียกผมว่ามวยเฉย ๆ เหมือนนายน้อยก็ได้”
วันวิวาห์พยักหน้ารับก่อนจะคลี่ยิ้มส่งไปให้นอกจากคนตรงหน้าจะไม่รับไมตรีแล้วยังเดินผ่านเธอไปเลย ไม่ได้ลืมที่ทุกคนไม่ได้ต้อนรับแต่แค่ยิ้มให้ตามมารยาทก็เท่านั้น
“ที่นี่จะเป็นทั้งที่อยู่อาศัยและเป็นที่ทำงานของนายน้อยครับ ด้านขวามือหลังกำแพงจะมีห้องครัวและห้องฟิตเนส ส่วนด้านซ้ายเปิดประตูเข้ามาจะเป็นห้องนอนและห้องหนังสือ แต่ห้องหนังสือตอนนี้เปลี่ยนเป็นห้องนอนเล็กแล้ว คงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่าใครจะได้อยู่ในห้องนั้น?”
วิวาห์เอียงศีรษะน้อย ๆ ไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณนักมวยจะสื่อ จนเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ความสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตรทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นมองไปโดยปริยาย
“คนที่ไม่สมควรอยู่ในห้องนอนของนายน้อยที่สุดคือคุณวันวิวาห์ครับ” มือขวาหน้านิ่งไม่ติดใจที่ตัวเองพูดออกไปจนอีกคนหน้าเหลอหลา “ขอโทษที่ต้องพูดแบบนั้นนะครับ ถ้าอยากให้ผมมองคุณในทางใหม่ก็ช่วยแสดงออกมาให้เห็นว่าคุณจะไม่มีทางหักหลังนายน้อย”
วิวาห์หาเสียงตัวเองแทบไม่เจอตั้งแต่เกิดมาไม่มีใครฉะหน้าเธอได้หน้านิ่งขนาดนี้มาก่อนเลยจริง ๆ จะใช้ชีวิตรอดไปได้กี่วันกันมีแต่คนคอยจับตามองเธอแทบทุกฝีก้าวขนาดนี้
“เท่าที่คุณวันวิวาห์ทราบมา คิดว่านายน้อยเป็นคนยังไงครับ?”
เจ้าของชื่อเริ่มคิดตามทันที จากเดิมเธอไม่เคยรู้จักผู้ชายคนนี้ และไม่คิดว่าเขามีชีวิตบนโลกนี้ด้วยซ้ำ แต่พอเมื่อสามเดือนก่อนมีชายชุดดำหน้าโหดถึงสองคนเอาแต่จ้ำจี้จ้ำไชให้เธอเรียนรู้ประวัติของทุกคนในตระกูลหวัง แม้จะไม่อยากรู้แต่เดิมพันครั้งนี้คือชีวิตแม่ของเธอ ทั้งที่ไม่เคยอยู่ในสายตา เกิดมาไม่เคยมาเหลียวแลไม่เคยหยิบยื่นทั้งปัจจัยและความรู้สึกเจียดมาทางนี้สักนิดด้วยซ้ำ แต่พออยากได้ประโยชน์ดันนึกถึงเธอกับแม่ที่ตัวเองเขี่ยทิ้ง
3 เดือน ที่ต้องเรียนรู้ทุกอย่างปลีกตัวไปไหนก็ไม่ได้ ชายชุดดำหน้าโหดไม่พอนิสัยยังโหดเหมือนกับยักษ์ แต่ดูจะน้อยไปด้วยซ้ำพวกมันกล้าส่งเธอมาทั้งที่รู้ว่าเธออาจไม่รอดออกไป ยิ่งผู้ชายคนนั้นไม่คิดว่าเธอจะตกอยู่ในสถานการณ์น่าอึดอัดแค่ไหน ไม่สนว่าลูกสาวคนนี้จะตายหรือเปล่า สนแค่สิ่งที่เขาอยากได้และเป้าหมายในการส่งเธอมาแต่งงานครั้งนี้ ชีวิตเธอไม่มีค่าในสายตาพวกนักธุรกิจกลุ่มนี้เลย
“รักสนุกค่ะ”
มือขวาหน้านิ่งพยักหน้ารับ แค่คำเดียวบ่งบอกถึงตัวตนของนายน้อยเขาได้เป็นอย่างดี แต่มันมักมีอะไรมากกว่านั้นเสมอ นายน้อยจะจัดปาร์ตี้สามครั้งอย่างต่ำในหนึ่งอาทิตย์หลังจากบรรลุนิติภาวะมา ชอบเมา กินเหล้าเหมือนน้ำเปล่า ควงแต่ผู้หญิงมีฐานะคอยส่งเสริมบุคลิกของนายน้อยได้ คนธรรมดาแทบไม่มีโอกาสได้เดินผ่าน ใช้ชีวิตสมกับเป็นลูกคุณหนูของจริง
“มีอะไรอีกไหมครับ ที่รู้มา?”
“เขาเป็นรองคณะกรรมการของโรงแรมแห่งนี้ แต่ไม่ค่อยทำงาน อยู่กับผู้หญิงสวย ๆ เป็นส่วนมาก งานอดิเรกแข่งรถ ยิงปืน ควบม้า ใช้ชีวิตไร้สาระไปวัน ๆ เหมือนคนไม่คิดอะไร ใช้เงินพ่อแม่ให้ผ่านไปมื้อ ๆ”
นักมวยจุดยิ้มมุมปากแต่มันแค่แป๊ปเดียวและวิวาห์เองก็ทันได้สังเกต เขาพยายามกลั้นยิ้มเพราะคนที่โดนวิจารณ์กำลังมองมาด้วยสายตาน่ากลัวสุด ๆ
“ใช้เงินพ่อแม่ให้ผ่านไปมื้อ ๆ เหรอ”
“อุ๊ย!” วันวิวาห์สะดุ้งเบา ๆ ก่อนจะหมุนตัวไปตามเสียง เธอก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา จนรับรู้ถึงแรงชนที่ไหล่ลมพัดผ่านตัวไปแล้ว “ขะ...ขอโทษค่ะ ฉันพูดตามที่รู้มา”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไร อย่างน้อยเธอก็รู้ว่าผัวเธอมีนิสัยยังไง จะได้ไม่ต้องช้ำใจทีหลัง ดีออก”
ดวงตากลมโตขนตาเป็นแพงอนยาวค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองคนนั่งหลังโต๊ะทำงาน อย่างที่รู้มาผู้ชายคนนี้เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่พอหน้าตายังเหนือชั้นคำว่าหล่อไปสุด ๆ มีเงินเป็นถุงเป็นถังผู้หญิงข้างกายก็ไม่ขาด เธอเป็นเมียแต่งเพียงคนเดียวตามกฎมันควรสบายใจ แต่ไม่เลย ผู้ชายตระกูลนี้แต่งงานกับเมียแต่งได้เพียงครั้งเดียวแต่ไม่ได้ห้ามเรื่องมีบ้านเล็กบ้านน้อย ให้ความรู้สึกเหมือนคนสมัยก่อนยิ่งมีทายาทเยอะตระกูลยิ่งมั่นคง เพียงแต่บรรดาเมียพวกนั้นไม่มีที่ยืนในสังคมได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนคิดที่จะเลือกเป็นน้อยเลย กลิ่นเงินมันหอมหวานนัก
“คุณมีเมียกี่คนคะ?” วิวาห์กลั้นหายใจถาม เผื่อวันข้างหน้ามีคนเดินมาตบหน้าเข้าให้ เธอจะได้ไม่งง
สองหนุ่มหล่อหันหน้ามองกันทันที แม้วันวิวาห์จะมีท่าทีเกรงกลัว หน้าตาใสซื่อ แต่ไม่ใช่คนโง่เลย
“แบบนี้สินะไอ้มู่หยางมันถึงเลือกเธอ” นำทัพขยับแก้วไวน์ที่มือขวาพึ่งรินใส่แก้วขึ้นมาจิบ สายตาคมดุเหมือนเหยี่ยวจ้องมองไปยังคนตรงหน้า ดูซิจะตอบคำถามนี้ยังไง
“ฉันไม่รู้เรื่องค่ะ”
วันวิวาห์อ่านสายตาผู้ชายสองคนนี้ออกทันที คงด่าเธอในใจว่า ‘ตอแหล’ นั่นแหละ แต่แค่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้น แต่สายตามันหลอกกันไม่ได้นี่นา เธอไม่ได้โกรธเพราะตัวเองยังรู้สึกว่าคำตอบเมื่อกี้ออกจะ ‘ตอแหล’ แบบซึ่งหน้าจริง ๆ