กรี๊ดดดดดดดดดด
ฉันนั่งตัวเกร็งอยู่บนเบาะ มือบีบสายเข็มขัดนิรภัยเอาไว้แน่น กรีดร้องอย่างหวาดกลัวตั้งแต่นาทีแรกที่ริกกี้เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างบ้าดีเดือด คิดจะฆ่าตัวตายหรือไงเนี่ย
“โค้งๆ กรี๊ดดดด”
ฉันแหกปากลั่น ริกกี้เหยียบทะลุโค้งแบบท้ายรถเฉียดกับขอบกั้นเหวนิดเดียว หัวใจฉันเต้นโครมครามเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก หันกลับไปมองจุดหวิดตายอย่างใจหายใจคว่ำ ให้ตายเถอะ เมื่อกี้มันบ้าบิ่นชะมัด ยังไม่ทันหายตกใจกับโค้งแรก รถก็วูบเอียงไปอีกด้าน ฉันหันกลับมาอย่างอกสั่นขวัญแขวนตอนนั้นรถก็ปาดเข้าโค้งอีกฝั่งด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง
ไอ้บ้าริกกี้ไม่แตะเบรกด้วยซ้ำ สับเท้าเหยียบคันเร่งพึบพับอย่างกับพวกนักแข่งมืออาชีพที่เคยเห็นในหนัง สีหน้าเรียบนิ่ง แววตาที่จ้องมองไปด้านหน้าถึงจะดูเครียดนิดๆ แต่ไม่มีวี่แววหวั่นเกรงสักนิด นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย
“กรี๊ด!”
ฉันกรีดร้องออกมาแทบจะต่อเนื่อง ถนนบนเขาคดโค้งและซิกแซกเหมือนงูขดบวกกับความเร็วกระชากวิญญาณของรถที่ริกกี้เป็นคนขับ ฉันแทบสลบกลางอากาศหลายรอบ หวาดเสียวยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะตีลังกาอีก เมื่อไหร่เรื่องบ้าบอคอแตกนี่มันจะจบลงสักที
เอี๊ยด!!
ชั่วขณะที่ฉันภาวนาให้เรื่องนรกแตกนี่หายไปทันใดนั้นรถก็หยุดกระชาก ฉันลนลานปลดสายเบลท์ งัดประตูรถที่เหมือนจะแน่นผิดปกติออกอย่างรีบร้อน พรวดพราดวิ่งออกจากรถ แต่ไม่รู้ว่าจะมีคนเดินเข้ามาล้อมรถริกกี้เยอะขนาดนี้ ฉันไม่มีเวลามองหน้าใครด้วยซ้ำ วิ่งผ่านคนพวกนั้นออกมาก่อนทนไม่ไหว พุ่งอาหารที่ทานเข้าไปออกมาจนหมด
อ้วกกกกกกก
“โอ๊ะโอ.... ระวังหน่อยสิสาวน้อย”
ตอนที่ฉันคิดว่าไม่ไหวแล้วและกำลังจะหงายหลังล้มตึงมือใครบางคนก็จับเข้าที่ต้นแขนทั้งสองข้างประคองฉันเอาไว้ ฉันหันขวับไปมองอย่างแตกตื่น ก่อนสบสายตาเข้ากับเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสุกใส ทำไฮท์ไลท์ผมด้านหน้าเป็นสีแดง ดูท่าทางไม่ธรรมดาเลยสักนิด ฉันผงะอย่างตกใจ รีบขยับตัวออกห่างเขาทันที
“มะไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“จะไปไหน!”
ฉันเพิ่งเห็นริกกี้เดินดุ่มๆ แหวกผู้คนที่มาชื่นชมการอัดรถของเขาเข้ามากระชากข้อมือฉันที่กำลังจะเดินหนีเอาไว้ ทุกสายตามองตามริกกี้อย่างสนใจ แต่ริกกี้เหมือนจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำถึงรู้เขาก็ไม่ใส่ใจ
“ริกกี้....” ฉันมองหน้าเขาอย่างไม่ไหวจริงๆ ข้อมือที่โดนยึดเอาไว้ก็ไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนเหมือนทุกที แค่ยืนนิ่งๆ หน้าก็ซีดเนื้อตัวอ่อนเปลี้ยไปหมด อย่าให้ฉันต้องนั่งรถกับเขาอีกเลย แค่คิดก็เหมือนความดันจะขึ้นแล้ว
“แล้วเฮียมาทำอะไรที่นี่” ริกกี้หันไปสนใจผู้ชายที่อยู่กับฉันก่อนหน้านี้ คนรู้จักงั้นเหรอ?
“ก็ เห็นน้องกำลังแย่เลยช่วยดู ว่าแต่เด็กนี่ใคร... นายไม่ชอบให้มีคนนั่งคู่ไปด้วยก็เลยสงสัยนิดหน่อยน่ะ”
ผู้ชายคนนั้นส่งสายตากวนๆ ให้ริกกี้ก่อนหันกลับมาสำรวจฉันตั้งแต่หัวจรดเท้า ดวงตาสีฟ้าคมดุดันคู่นั้นทำเอาฉันหวาดเสียวอย่างบอกไม่ถูก
“ยัยนี่มีเรื่องกับผมนิดหน่อย เฮียไม่ต้องห่วง ถ้ามันเป็นภัยผมจะเชือดทิ้งทันที”
“เห้ยอย่าพูดจาโหดร้ายขนาดนั้นดิวะ เด็กกลัวหมดแล้ว”
ฉันก้มหน้านิ่ง พอได้ยินริกกี้พูดแบบนั้นอารมณ์ที่หดหู่อยู่แล้วก็ยิ่งห่อเหี่ยวลงไปอีก เหมือนฉันเป็นสัตว์หรือตัวอะไรสักอย่างที่ไม่สลักสำคัญ ไม่มีค่าพอให้เสียดาย แต่ฉันไม่เคยอ้อนวอนเขาให้พามาที่นี่ ลืมไปแล้วเหรอริกกี้ว่านายเป็นคนตามฉันมาเอง ฉันจ้องหน้าหล่อร้ายของหมอนั่นอย่างขุ่นเคือง
“เฮ้ยริกกี้ ดูนี่หน่อย...”
ผู้ชายที่เคยล้อเลียนฉันกับริกกี้เดินเข้ามาพร้อมกับแท็บเล็ตในมือ เรียกความสนใจของริกกี้ไปจากฉันทันที
“มีไรแฮค”
“ความเร็วที่แกใช้มันถือว่าดี แต่แค่นี้เอาชนะคู่แข่งไม่ได้ว่ะ....”
ริกกี้หันไปคุยกับเพื่อน ฉันรีบฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังยุ่งเดินหนีออกมาทันที รู้สึกคอแห้งด้วย อยากหาน้ำดื่มแต่ก็นึกได้ว่าไม่ได้พกเงินมาสักบาท
“ไปนั่งเล่นที่เต็นท์ดีกว่าปะ”
ระหว่างที่ฉันกำลังเดินตุปัดตุเป๋ไม่รู้จะไปทางไหนดี ท่อนแขนก็ถูกคว้าไปจับจากด้านหลัง ฉันหันขวับไปมองอย่างตกใจ
นี่มันคนเมื่อกี้หนิ! ผู้ชายตัวโตที่ทำไฮท์ไลท์ผมแดง.... เขาตามฉันมาเหรอ? ไม่เห็นรู้ตัวเลยสักนิด หรือว่าฉันมัวแต่เหวี่ยงริกกี้จนไม่ทันสังเกตเองก็ได้ แต่ช่างเถอะ ยังไงเขาก็ทำฉันตกใจกลัวอยู่ดี
“เอ่อ... คือ”
ฉันดึงแขนออก เค้นเสียงปฏิเสธแต่คำพูดมันดันติดอยู่ในลำคอ เพิ่งรู้ว่าตัวเองอ่อนแอขนาดนี้ เวลาอยู่ต่อหน้าคนที่ดูอันตรายแล้วฉันใจหดหายหมด ทั้งกลัวทั้งกดดันไม่กล้าที่จะโต้ตอบออกไป
บรรยากาศที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโลกคนละใบกับที่ฉันเคยอยู่
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ไม่มีใครทำอะไรเธอหรอกเพราะไม่อยากมีปัญหากับริกกี้”
เขาพูดขึ้นเหมือนรู้ว่าฉันกำลังคิดมาก น้ำเสียงที่ฟังดูคล้ายล้อเลียนปนยกย่องริกกี้แบบนั้นทำฉันประหลาดใจอย่างบอกไม่ถูก มองใบหน้าของคนที่ดูยังไงก็แก่กว่าริกกี้อย่างสงสัย
“ว่าแต่เธอชื่ออะไร”
ฉันลังเลอยู่นานกว่าจะตัดสินใจบอกชื่อตัวเอง
“คะนิ้ง”
“เพราะดี ฉันเฮียหมู.... เรียกเฮียเฉยๆ ก็ได้” เขาหยุดพูดกลางคัน ดวงตาเฉี่ยวคมมองลึกเข้ามาในแววตาฉันเหมือนจะค้นหาอะไรสักอย่างก่อนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสงสัย
“แปลก....”
จู่ๆ เฮียหมูก็อุทานออกมา หรี่ตามองฉันด้วยท่าทางครุ่นคิดไปด้วย
“อย่างเธอไม่ใช่คนที่น่าจะถูกดึงเข้ามาอยู่ที่นี่.... มันต้องมีสาเหตุใช่ไหม?” เฮียหมูยกยิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนกำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่เต็มหัว เขาทำให้ฉันเริ่มจะมวนๆ ท้องอีกแล้ว ถ้าไม่ติดตรงที่ว่ากำลังบาดเจ็บฉันคงวิ่งหนีไปแล้ว
แม้รู้ว่าหนีไปก็ไม่พ้นก็เถอะ
สุดท้ายเขาก็หว่านล้อมฉันให้ตามมายังเต็นท์ที่พักจนได้ ในนี้ไม่มีอะไรมาก เป็นแค่เต็นท์เล็กๆ ปักอยู่ไหล่ทาง หน้ารถสี่คันที่จอดเรียงกันอย่างมีระเบียบ
มีผู้หญิงหน้าตาสวยแต่งตัวเปรี้ยวเผ็ดนั่งอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบกำลังก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่ ยัยนั่นเหลือบมองฉันทันทีที่ก้าวเข้ามาข้างในแต่ก็ไม่ได้ทักทายอะไร ฉันกำลังจะยิ้มให้แบบจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีแต่ยัยนั่นก็หลุบตาลงแทบจะทันที ไม่ได้แยแสหรืออยากผูกมิตรกับฉันสักนิดเดียว ท่าทางหยิ่งๆ นั่นฉันเองก็ไม่อยากยุ่งเท่าไหร่ แต่ที่จะยิ้มทักทายก็เพราะฉันไม่อยากสร้างศัตรูเพิ่มแบบไม่จำเป็นไง
เฮียหมูหยิบเก้าอี้ผ้าใบตัวหนึ่งมากางออกให้ฉันนั่ง ฉันพยักหน้าอย่างรู้สึกเกรงใจ นั่งลงแบบไม่มีทางเลือก สายตาถูกดึงไปที่ลังน้ำดื่มที่ตั้งเรียงกันเป็นแพ็คๆ อยู่ตรงเสาเต็นท์ทันที กำลังจะลุกขึ้นไปหยิบ (แบบหิวมากจริงๆ) ริกกี้กับแฮคก็เดินเข้ามา หมอนั่นเหลือบมองฉันแวบหนึ่งก่อนหันไปพูดเรื่องรถกับความเร็วบนเส้นทางกันงึมงำๆ อยู่สองคน
เฮียหมูที่เดินหายไปทางท้ายรถคันหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กลับออกมาพร้อมกับกระป๋องเบียร์ที่มีไอเย็นเกาะเต็มกอบมือ น่าจะห้าหกกระป๋องได้ เอามาทำไรเยอะแยะนั่น? แล้วฉันก็ได้คำตอบเมื่อเฮียหมูเดินมายื่นให้ฉันกระป๋องหนึ่งแน่นอนว่าได้ทีหลังผู้หญิงคนนั้น
ฉันมองกระป๋องเบียร์อย่างงงๆ จะให้ฉันแกะให้เหรอ?
ถึงฉันจะรู้สึกค้านในใจแต่ก็ยื่นมือออกไปรับอย่างไม่กล้าปฏิเสธ ยิ้มแหยๆ ให้กระป๋องเบียร์ในมือ เฮียหมูยังจ้องฉันอยู่ กดดันชะมัด ...ดื่มก็ได้ไหนๆ ก็หิวน้ำอยู่แล้ว ถึงไม่รู้ว่าจะดื่มแทนน้ำได้หรือเปล่าก็เถอะ ฉันแกะฝากระป๋องแกร๊ก ได้ยินเสียงดังซ่าส์สั้นๆ มองปากกระป๋องอย่างพิจารณาครู่หนึ่งก่อนกลั้นใจยกขึ้นกระดก ยังไม่ทันที่ขอบโลหะจะสัมผัสริมฝีปาก ข้อมือฉันก็ถูกกระชากอย่างแรง จนน้ำเบียร์กระฉอกอาบแขน
“ริกกี้!”
“เป็นบ้าหรือไง”
อะไร? ฉันมองตอบสายตาดุกร้าวของคนตรงหน้าอย่างสับสน แค่ฉันจะดื่มเบียร์ทำไมต้องจ้องกันตาแทบถลนแบบนี้ หรือฉันดื่มไม่ได้เพราะว่ามันสิ้นเปลือง
“มีไรริกกี้” เฮียหมูทำหน้าสงสัย
“เฮียเอาเบียร์ให้ยัยนี่”
“อือ ทำไม?”
“ดื่มไม่ได้!”
ริกกี้ไม่เสียเวลาอธิบาย เขาสบถเสียงหงุดหงิดเหมือนตำหนิฉันคนเดียวก่อนดึงกระป๋องเบียร์ออกจากมือฉันดื้อๆ ทุกคนมองการกระทำของริกกี้อย่างอึ้งๆ เหมือนเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน ฉันกะพริบตาปริบๆ
....คืองง
ริกกี้เดินกลับไปหาแฮค เขากระดกกระป๋องเบียร์ที่แย่งไปจากฉันหน้าตาเฉย ฉันมองตามอย่างมึนงงและรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องฝืนดื่มของที่ไม่ชอบแต่ก็ตกใจมากกว่า ที่สำคัญฉันคอแห้ง!
“เป็นไรวะริกกี้ ไมต้องห้าม หรือน้องดื่มไม่ได้”
เฮียสงสัย ตามไปถามด้วยสีหน้าคล้ายรู้สึกผิด สายตาผู้หญิงอีกคนที่นั่งอยู่ในเต็นท์ปาดมองมาที่ฉันอย่างถี่ถ้วนออกแนวขัดหูขัดตาผสมหมั่นไส้นิดๆ
ริกกี้เหลือบกลับมามองฉันด้วยสายตาคมกริบเพราะคำถามเฮียหมู
“ไอ้หมอสั่งงด”
เขาพูดสั้นๆ แต่จบทุกอย่าง เฮียหมูเลิกคิ้วเหมือนจะเข้าใจนิดหน่อยแต่ก็ข้องใจไม่เลิกอยู่ดี ทว่าริกกี้ไม่ได้มีท่าทีว่าจะพูดอะไรต่อเฮียเลยยักไหล่ไม่ถามซักไซ้อะไรอีก
ฉันเม้มริมฝีปากแน่น เพิ่งจะนึกเรื่องแผลที่อกตัวเองได้ตอนได้ยินริกกี้พูด.... คือจะว่ายังไงดี แม้แต่ฉันก็ลืมนึกไปว่าแอลกอฮอล์มันอาจจะมีฤทธิ์ต้านยาหรือทำให้บาดแผลหายช้า แต่ริกกี้กลับจำเรื่องนั้นได้ทั้งๆ ที่เขาก็ไม่ได้จะใส่ใจเรื่องฉันไปมากกว่าการอัดรถเลย
“เฮ้ยริกกี้ ทางนั้นพร้อมแล้ว”
สักพักผู้ชายอีกคนก็โผล่เข้ามาที่เต็นท์ เขาชื่อเรซ.... ฉันจำรูปร่างหน้าตาเขาได้ เรซเหลือบมองฉันครู่หนึ่งก่อนเลื่อนสายตาไปด้านข้าง ผู้หญิงที่นั่งถัดไปลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินเข้ามาเกาะแขนเรซเอาไว้เหมือนจะประกาศให้ทุกคนรู้ว่าพวกเขาเป็นอะไรกัน
อ่อ.... แฟนของเรซเองเหรอ
“ไงจ๊ะ เบื่อไหมบี๋” เรซจับปรอยผมยัยนั่นเล่นพร้อมกับส่งยิ้มเอาใจให้ ดูขี้เล่นผิดกับดวงตาดุๆ ของเขามากมาย
“ไม่หรอก ที่นี่อากาศกำลังดี แต่จีจี้ชอบแอร์เย็นๆ มากกว่า”
“รอหน่อยนะ เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”
“อื้ม ไม่มีปัญหาจี้รอได้”
“เฮียครับ เราเปลี่ยนยางเสร็จแล้ว” ระหว่างสองคนนั้นกำลังจู๋จี๋กันอยู่ ผู้ชายที่หน้าอ่อนกว่าเล็กน้อยวิ่งเข้ามาบอก
“อืม”
หลังจากนั้นทุกคนก็เดินตามกันออกไป ฉันกะพริบตาปริบๆ นั่งหันซ้ายหันขวาเลิ่กลั่กอย่างทำตัวไม่ถูก แต่จู่ๆ เรซที่เดินเกาะแขนกับแฟนไปทีหลังสุดก็หันกลับมาเรียกฉัน
“เธอก็มาด้วยสิ”
“อะอือ....” ฉันเด้งผึงขึ้นจากม้านั่งทันที ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องตื่นเต้นขนาดนี้ คงเพราะเขาเป็นคนเดียวที่ไม่ลืมฉันละมั้ง
“อะไรน่ะเรซ ไม่เห็นต้องสนใจเลย”
ยัยจีจี้อะไรนั่นทำหน้าไม่ชอบใจที่เรซสนใจฉัน มิวายหันมาส่งสายตารำคาญใส่อีก
ริกกี้เข้าไปในรถ เพื่อนของเขาสามคนยืนล้อมกรอบกระจกรถจนเต็มแล้วพูดกับริกกี้ที่นั่งอยู่ข้างใน น่าจะแผนหรือกลยุทธ์อะไรสักอย่าง ฉันยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้เท่าไหร่ รู้แต่ว่าบรรยากาศค่อนข้างเครียดและกดดันพิกล เหมือนกำลังจะมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้น
ผู้ชายสวมสูทรูปร่างหน้าตาเป็นวัยกลางคนท่าทางดูภูมิฐานโผล่มาจากไหนไม่รู้ เดินตรงเข้าไปหาริกกี้พร้อมบอดี้การ์ดด้านหลังสองคน
แฮค เรซ และเฮียหมูพร้อมใจกันเปิดทางให้ลุงคนนั้นทันที ท่าทางจะมีอิทธิพลมาก ว่าแต่คนที่น่านับถือแบบนั้นมาทำอะไรในที่อย่างนี้ล่ะ?
ท่อนแขนฉันโดนจับจากทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันผวาเฮือกหันขวับไปมองทันควัน
“ไง”
ผู้ชายตรงหน้าฉีกยิ้มหวาน แต่สำหรับฉันมันสยอง... หัวใจฉันเต้นตุบๆ หน้าตากวนประสาทเหลือร้ายกับแววตาสีครามคมกริบเจ้าเล่ห์แบบนี้ฉันไม่มีทางลืมแน่ๆ
“นะ...นาย!”
“คิดถูกจริงๆ ที่ถ่อมาดูลาดเลาที่นี่ รู้ไหมว่าฉันคิดถึงเธอมาก”
“ปะปล่อย! ริก...อุ๊บอื้อ~” ฉันสะบัดมือเขาออกอย่างหวั่นๆ อยู่ดีๆ ก็โผล่มาแถมยังพูดจาเพ้อเจ้ออีก กำลังจะหันไปเรียกริกกี้แต่โดนปิดปากเอาไว้ซะก่อน ฉันดิ้นพลั่กๆ ระหว่างถูกลากตัวออกมา ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงอยากให้ริกกี้ช่วย ทั้งที่เขาไม่เคยจะดีกับฉันเลย อีกอย่างฉันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้มาดีหรือเลว แต่คนดีๆ คงไม่โผล่มาจากด้านหลังแล้วฉุดฉันขึ้นรถแบบนี้หรอก เดี๋ยว.... ขึ้นรถเหรอ!
“นี่จะพาฉันไปไหนน่ะ” ฉันร้องออกมาอย่างตกใจทันทีที่ปากเป็นอิสระ
เขาเอามือจับหลังคารถใช้ร่างกายสูงโปร่งปิดช่องประตูเอาไว้จนมิดแล้วโน้มหน้าร้ายๆ เข้ามาหาจนฉันต้องเอนหน้าออกห่างเพราะมันใกล้เกินไป
“แค่อยากคุยกับเธอน่ะ”
“คุย.... ทำไม!”
“น่าใจเย็นๆ ไม่ต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นก็ได้ ฉันไม่ทำไรเธอหรอกน่า”
เขายิ้ม รอยยิ้มนายมันไม่น่าไว้ใจเลยสักนิด
ฉันมองหน้าเขาอย่างกระสับกระส่าย จะให้เชื่อที่พูดมาก็แปลกแล้ว เจอกันครั้งแรกก็ปล้นจูบฉันไปแบบหน้าตาเฉย แล้วจะให้ฉันสบายใจได้งั้นเหรอ
“ไม่ ฉันจะกลับ!”
“กลับไปหาคนที่ยิงเหรอน่ะเหรอ”
ฉันชะงักงันเพราะคำพูดแทงใจของเขา นึกอยู่นานกว่าจะจำชื่อได้ ....คลื่น หรือเปล่านะ?
“อย่างน้อยก็ให้ฉันขอบคุณที่เธอช่วยชีวิตเถอะนะ” คลื่นยกหลังมือขึ้นสัมผัสแก้มฉันเบาๆ ท่าทีอ่อนโยนของเขามันทำให้ฉันเชื่องเหมือนแมวขี้ตื่นที่เวลาโดนปลอบประโลมแล้วจะยอมอยู่นิ่งๆ อย่างเชื่อฟัง ฉันก็ไม่ต่างกัน
ฉันพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ทำหน้ายังไง พอลองคิดๆ ดู ริกกี้ก็ไม่ได้ดีกับฉันทำไมฉันต้องยึดติดกับเขาด้วย
ส่วนคลื่น....ฉันเดาไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่แต่คลื่นก็ไม่ได้ทำร้ายฉัน ถึงท่าทางเป็นมิตรของเขาจะน่ากลัวอยู่ลึกๆ ก็เถอะ ฉันพยักหน้าตอบรับไปแบบไม่รู้ตัว
รถวิ่งออกจากเส้นทางลงเขาเงียบๆ แต่ภายในใจฉันกลับรู้สึกไม่สงบ หันไปมองด้านหลังอย่างสับสน ฉันคิดถูกหรือคิดผิดที่ขึ้นรถมากับคลื่น ศัตรูของริกกี้ มันสังหรณ์ใจแปลกๆ เหมือนฉันทำบางอย่างที่ไม่ถูกต้องลงไป
คลื่นขับรถเข้ามาที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งห่างจากจุดแข่งรถก่อนหน้านี้พอสมควร ฉันหันไปมองหน้าเขาอย่างตื่นๆ ไม่เห็นเขาเคยบอกก่อนสักคำว่าจะพาฉันเข้ารีสอร์ต นี่มันไม่เหมือนอย่างที่คิดเอาไว้หนิ
“นายจะทำอะไรคลื่น พาฉันมาที่นี่ทำไม”
“ฉันค้างที่นี่” เขาตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทั้งๆ ที่ฉันร้อนใจขนาดนี้
“ไม่ใช่! ฉันอยากรู้ว่านายพาฉันมาทำไม”
“หือ? อ้อ.... ฮ่าๆ ใจเย็นน่า ฉันไม่ใช่พวกรีบร้อนแบบนั้น อีกอย่าง.... เธอน่ะเจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอที่รัก”
ห๊ะ เมื่อกี้หมอนี่ว่าไงนะ เขารู้ว่าฉันเจ็บ? ไม่ๆ ที่ฉันตะลึงคือคำที่คลื่นใช้เรียกฉันต่างหาก ‘ที่รัก’
“ฉันไม่ใช่ที่รักนาย!”
ฉันตวาดใส่คลื่นอย่างไม่พอใจ ก้มลงมองหน้าอกตัวเองอย่างไม่ตั้งใจก่อนจะเหลือบเห็นเลือดแดงๆ ทะลุเนื้อผ้าออกมา
...นี่มัน ฉันไม่รู้ตัวสักนิดว่าเลือดออกตอนไหน มันเจ็บๆ หน่วงๆ ตลอดเวลานั่นแหละฉันเลยไม่ได้ใส่ใจ ไม่คิดว่าจะมีอะไรร้ายแรง
“เบาๆ ไม่ต้องตะโกนก็ได้เดี๋ยวเจ็บ ที่ฉันพาเธอมาที่นี่เพราะมันเหมาะ เธอน่าจะอยากทำแผลและพักผ่อนเอาแรงดีกว่านั่งรถยาวๆ กลับกรุงเทพจริงไหม”
ฉันฟังนิ่งๆ ที่คลื่นพูดมาก็มีเหตุผล ฉันรู้สึกผิดที่มองเขาในแง่ร้ายไปหน่อย คลื่นจองบ้านพักหลังใหญ่เอาไว้ มีห้องครัวเล็กๆ ห้องนั่งเล่นกับห้องนอนแยกกันออกเป็นสัดส่วน ฉันแอบโล่งใจที่ข้างในมีห้องนอนสองห้อง ไม่งั้นได้ปวดหัวอีกแน่
พออยู่คนเดียวฉันก็รีบมานั่งลงตรงโต๊ะเครื่องแป้ง จ้องตัวเองในกระจกซึ่งโทรมมาก ผมก็ไม่ได้หวีปล่อยยาวพัวพันกันยุ่งไปหมด ฉันเอามือสางผมลวกๆ ให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนเปิดเสื้อดูแผล ผ้าปิดแผลถูกย้อมไปด้วยสีแดง เทปกาวที่ติดยึดกับผิวหนังลุ่ยล่องแล่ง มันคงเขยื้อนตอนฉันนั่งเกร็งอยู่ในรถริกกี้ตอนลองเส้นทางบนเขานั่นแหละ ไม่ก็เป็นตอนที่ฉันยื้อยุดฉุดกระชากกับเขาที่หน้าบ้าน ฉันทำหน้าเหยเก มองผ้าที่จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่อย่างทำอะไรไม่ถูก ฉันไม่กล้าดึงผ้าออกเพราะทำใจมองแผลสดๆ ของตัวเองไม่ได้ จะแปะเข้าไปก็ไม่กล้าจับ
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูทำฉันสะดุ้งเฮือก
“คะนิ้ง.... เปิดประตูหน่อย ฉันเอากล่องปฐมพยาบาลมาให้”
ฉันนิ่งเงียบแป๊บหนึ่งก่อนลุกมาเปิดประตูให้เขา คลื่นมองใบหน้าซีดๆ ของฉันอย่างเป็นห่วง
“รู้สึกไม่ดีเหรอ”
“คือ.... ฉันกลัวแผลตัวเอง”
“ทำไม ให้ฉันดูได้ไหม?”
ฉันกับคลื่นมองสบตากันนิ่งอยู่พักหนึ่ง จนแน่ใจว่าเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายฉันจึงพยักหน้าฝืดๆ “อะอืมม”