คิดว่าจะหนีพ้น?

3141 คำ
​ ​ “คะนิ้ง!” อาโยออกมาเปิดประตูรั้วหลังจากฉันกดกริ่งไปสองครั้ง ทำหน้าตกใจแกมอึ้งที่เห็นฉัน มือรีบดึงประตูรั้วออก เดินออกมาคว้ามือฉันไปจับเอาไว้มองสารรูปฉันด้วยท่าทางสับสน “คะนิ้งจริงๆ ด้วย....” “อาโย พ่อละค่ะ” “ไปทำงานน่ะลูก คะนิ้งหายไปไหนมาตั้งหลายวัน รู้ไหมอากับพ่อเป็นห่วงแค่ไหน” “เอ่อ อาโยคะค่าแท็กซี่” “อ้อ....” อาโยมองแท็กซี่ที่เปิดไฟกะพริบอยู่ด้านหลังฉันอย่างเข้าใจ ชะโงกหน้าไปบอกคนขับให้รอครู่หนึ่งแล้วค่อยหันกลับมาจูงมือฉันเข้าบ้าน “คะนิ้งนั่งรอนี่นะ อาเอาเงินไปจ่ายค่ารถให้” ฉันพยักหน้าหลังจากถูกอาโยจับตัวให้นั่งลงบนโซฟาในห้องโถงชั้นล่าง รอแป๊บหนึ่งร่างอวบอิ่มได้ทรวดทรงในวัยสามสิบปลายก็เดินกลับเข้ามา ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ “คะนิ้ง.... ไหนเล่ามาสิมันเกิดอะไรขึ้น” อาโยมองสำรวจเนื้อตัวฉันแล้วเอ่ยถามตรงๆ ฉันมองสบแววตาเป็นห่วงเป็นใยของคนตรงหน้าอย่างรู้สึกจุกตันในคอ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจที่กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยแต่อีกใจก็หวาดกลัวที่จะเล่าความจริง ถ้าอาโยรู้ว่าฉันหายไปเพราะเพนนีเป็นสาเหตุอาโยจะรู้สึกยังไง.... ฉันไม่อยากทำให้ครอบครัวมีปัญหา พอเห็นฉันอ้ำอึ้งเอาแต่อมพะนำไม่ยอมพูดออกมาสักที อาโยก็เอ่ยขึ้นอย่างอดรนทนไม่ไหว “ประมาณสามสี่วันก่อนคุณพี่บอกว่าคะนิ้งไลน์มาว่าไปออกค่ายต่างจังหวัด แต่อากับคุณพี่คิดว่ามันแปลกๆ เกรงว่าจะเกิดอะไรไม่ดีกับคะนิ้ง นี่อาดีใจนะที่หนูกลับมาบ้านแต่ว่าทำไมแต่งตัวแบบนี้ล่ะ นี่มันเสื้อผ้าผู้ชายไม่ใช่เหรอ?” “เอ่อ.... นิ้ง.... นิ้งยืมเพื่อนมาใส่ค่ะอาโย” “เพื่อน? นิ้งอยู่กับเพื่อนผู้ชายเหรอ” “อึก ปะเปล่า.... คือ” ฉันมองสบสายตาจ้องจับผิดของอาโยนิ่ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าริกกี้ไลน์มาบอกอะไรกับพ่อฉัน แต่ถ้าเป็นอย่างที่อาโยพูดงั้นก็คิดหาคำแก้ตัวง่ายหน่อย “ใช่ค่ะ นิ้งไปออกค่ายที่ต่างจังหวัด มันปุบปับมากค่ะ ขนาดนิ้งยังงงๆ อยู่เลย แล้วตรงที่ไปก็ไม่ค่อยมีสัญญาณด้วยก็เลยไม่ได้ติดต่อ ซวยกว่านั้นคือนิ้งทำโทรศัพท์กับกระเป๋าตังค์หาย เสื้อผ้าก็ยืมของเพื่อนใส่ นิ้งลำบากจริงๆ นะคะอาโย” อาโยฟังที่ฉันปั้นน้ำเป็นตัวนิ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมองสีหน้าเคร่งเครียดของอาโยอย่างลุ้นตามว่าจะเชื่อหรือเปล่า เพราะฉันไม่เคยพูดโกหกเลย อาจจะโดนจับพิรุธก็ได้ “โถลูก.... เป็นแบบนี้เองเหรอ” เธอลูบหัวฉันอย่างเห็นใจ นี่คือ.... เชื่อแล้วใช่ไหม? ฉันกะพริบตาปริบ ยิ้มเจื่อนๆ ให้อาโยอย่างรู้สึกผิดที่ไม่ได้เล่าความจริง แต่ถ้าพ่อกับอารู้ว่าฉันโดนยิงมาคงวุ่นวายแน่ๆ ดีไม่ดีอาจต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ฉันไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่ได้กลับบ้านก็รู้สึกขอบคุณมากแล้วจริงๆ หวังว่าหลังจากนี้จะไม่ได้เจอกับหมอนั่นอีก ช่วยหายไปจากชีวิตฉันทีเถอะริกกี้ หลังจากนั้นอาโยก็ไล่ฉันให้มาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อน ฉันทำตามอย่างไม่อิดออด เพราะรู้สึกเหนื่อยอยู่แล้ว อาบน้ำเสร็จพอดี เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “อาคิดว่านิ้งน่าจะหิวก็เลยยกอาหารมาให้จ้ะ” ประตูไม่ได้ล็อก และอาโยก็เปิดเข้ามาหลังเคาะเรียกสองทีโดยไม่ได้รอให้ฉันเอ่ยปากบอก ฉันกำลังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกหันไปมอง อาโยวางถาดอาหารลงบนโต๊ะโซฟาในห้อง “อะไรอ่ะ เยอะแยะเลย” “สปาเกตตีกับคัพเค้ก อาเพิ่งอบเสร็จเมื่อเช้า สดใหม่เลยนะ ทานเยอะๆ ล่ะถ้าไม่อิ่มมีอีกในครัว” “น่าทานมากๆ” ฉันหยิบคัพเค้กที่เป็นหน้าผลไม้รวมขึ้นมากัดอย่างรู้สึกหิว เคี้ยวหง่ำๆ เต็มปาก กลืนทีนี่ถึงกับเจ็บแปล๊บที่หน้าอก ลืมตัวว่ามีแผลอยู่....จะทำอะไรก็ต้องทำเบาๆ จะได้ไม่สะเทือน เมื่อกี้ที่อาบน้ำอย่างลำบาก ต้องคอยกันน้ำไม่ให้มาโดนแผล แต่ก็มีแอบโดนบ้างแบบควบคุมไม่ได้จริงๆ “เป็นไงอร่อยไหม?” “อื้ม มากที่สุดค่ะ” ฉันยกนิ้วให้อาโย วางห่อคัพเค้กที่เหลือแต่เปลือกลง ยกแก้วน้ำขึ้นดื่มล้างคอแล้วหันไปหยิบส้อมจิ้มสปาเกตตีต่อ อาโยมองฉันทานเงียบๆ ด้วยสายตาเอ็นดูครู่หนึ่งก็ขอตัวลงไปทำอะไรต่อข้างล่าง พอทานข้าวอิ่ม ฉันไม่ลืมหายาแก้ปวดทานแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ยกมือที่มีรอยเข็มน้ำเกลือขึ้นมอง พอกลับมาอยู่บ้านแล้วเหมือนเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพียงฝันร้ายเลยแฮะ ฉันจับแผลที่อกตัวเองเบาๆ คิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าลืมถามเรื่องเพนนีจากอาโยเลยแฮะ ไม่รู้ยัยนั่นจะกลับมาบ้านหรือยัง ฉันลดมือที่มีรอยเข็มลง หลับตาและเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงอาโยเรียกใกล้ๆ “คะนิ้ง.... มีเพื่อนมาหาน่ะลูก” “คะ? ใครน่ะ” ฉันงัวเงียลุกขึ้น มองหน้าอาโยอย่างมึนงง นึกไม่ออกว่าใครมาเพราะฉันไม่ได้บอกใครเลยเรื่องที่หายตัวไป จะมีก็แต่ยัยเค้ก.... แต่ตอนที่โทรไปฉันใช้โทรศัพท์ห้องริกกี้แถมไม่ได้คุยกันสักแอะเลยด้วยซ้ำ เพราะงั้นตัดยัยเค้กออกไปได้เลย ถึงแบบนั้นก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี ฉันพยักหน้าให้อาโยอย่างเข้าใจ ลุกเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาเสร็จค่อยเดินลงมาข้างล่าง หัวยังไม่หายตึงเลยด้วยซ้ำ “....อาไม่เคยเห็นหน้าเลยนะ แต่ปกติคะนิ้งก็ไม่ค่อยพาใครมาที่บ้านอยู่แล้ว เป็นเพื่อนในคณะกันเหรอ” “ครับ” เสียงพูดคุยดังมาให้ได้ยิน ฉันหยุดยืนอยู่หน้าห้องโถงร่างกายแข็งทื่อ.... หัวใจแทบหยุดเต้นเมื่อปะทะสายตาเข้ากับคนที่นั่งคุยอยู่บนโซฟากับอาโยอย่างลอยหน้าลอยตา ริกกี้ “อ่ะ คะนิ้งมาแล้ว.... งั้นอาให้ทั้งสองคุยกันดีกว่าเนอะ ตามสบายนะจ๊ะ ถ้าอยากได้ขนมเพิ่มก็บอกคะนิ้งนะอาขอตัวไปทำงานบ้านก่อน” “ครับ” ริกกี้เอ่ยอย่างสุภาพ รอยยิ้มใสซื่อแบบนั้นไม่เหมาะกับใบหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาเลยสักนิด ฉันมองอาโยเดินออกไปอย่างใจหายใจคว่ำ อยากจะขอความช่วยเหลือแต่ปากมันไม่ยอมขยับเหมือนมีอะไรกดถ่วงเอาไว้ จนร่างของอาโยหายวับไปจากประตู ริกกี้ก็ส่งสายตาเย็นยะเยือกมาทางฉันทันที ฉันหันหลังกลับจะวิ่งหนีขึ้นห้องก็โดนหมอนั่นที่ไม่รู้ลุกจากโซฟาตั้งแต่เมื่อไหร่ถลันเข้ามาคว้าแขนเอาไว้ “คิดว่าจะหนีพ้นเหรอ” “ปล่อย! นี่มันบ้านฉันนะ” “แล้วไง?” ริกกี้พูดด้วยเสียงที่กดต่ำ จ้องฉันด้วยสายตาดุดัน ฉันเม้มริมฝีปากแน่นพยายามแกะมือเขาออกอย่างกระวนกระวาย ทั้งหวาดกลัวคนตรงหน้า ทั้งกังวลว่าอาโยจะเข้ามาเจอ “นายต้องการอะไร” ฉันพยายามตั้งสติ มองเขาด้วยสีหน้าเจ็บปวด ริกกี้แสยะยิ้มเลือดเย็นกระชากฉันเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิมจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนๆ ของเขา “เธอไง” ฉันสะดุ้งเฮือกเพราะแรงกระชากกะทันหันของริกกี้ “ไปกับฉัน!” “นี่! ปล่อยฉันนะ” ฉันขัดขืน แต่ทุกครั้งที่ดึงรั้งและสะบัดข้อมือแผลที่อกก็จะปวดหนึบ เรี่ยวแรงที่มีก็ลดฮวบลงไปอีก สุดท้ายก็โดนลากออกมาถึงรั้วหน้าบ้านโดยที่อาโยอยู่ในบ้านไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด ฉันก็ไม่กล้าโวยวายเสียงดังเพราะไม่อยากให้อาโยแตกตื่น นี่ฉันเรียงลำดับความสำคัญอะไรผิดไปไหมเนี่ย อันที่จริงฉันควรจะห่วงความปลอดภัยของตัวเองก่อนนะ “อาโยช่วยอุ๊บ! อื้อ~~” พอฉันคิดจะร้องให้อาโยช่วยริกกี้ก็เอามืออุดปากฉันราวกับรู้ทัน ฉันดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมแขนของหมอนั่นอย่างไม่ยอม จนเผลองับนิ้วที่เหลื่อมเข้ามาในปากไปเต็มเขี้ยว “โอ๊ย!” หมอนั่นตะโกนคำหนึ่ง ดึงมือออกไปสะบัดไล่ความเจ็บ แต่ยังไม่ทันที่ฉันจะได้เปล่งเสียงตะโกน ริกกี้ก็คว้าต้นคอฉันไปปิดปากด้วยปากของเขาแทบจะทันที อึก.... ริมฝีปากอุ่นชื้นเบียดแทรกเข้ามาปิดช่องว่างจนไม่เหลือพื้นที่ให้ลมลอดผ่าน ฉันเบิกตากว้าง เมื่อรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น รีบผลักไสหมอนั่นออกไป พอฉันเริ่มขัดขืนริกกี้กลับล็อกคอฉันแน่นขึ้นแล้วยัดลิ้นพรวดเข้ามาในปากไล่ต้อนรัดดึงกับลิ้นฉันอย่างดุเดือด ฉันขยุ้มอกหมอนั่นแน่นอย่างอกสั่นขวัญแขวน ทั้งอึดอัดและหายใจไม่ออก น้ำลายเหนียวๆ ไหลออกทางมุมปากทั้งสองอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ริมฝีปากถูกดูดกัดจนบวมเบ่งไปหมด พอริกกี้ผละออกห่างฉันก็แทบทรุดลงบนพื้นแต่เขารั้งท่อนแขนฉันเอาไว้ทำให้แค่เซไปชนกับอกแกร่งของเขาแทน “ปล่อย!” ฉันสะบัดแขนออกจากการจับกุมของหมอนั่นแต่เป็นฉันที่เจ็บตัวเองเพราะมันดันกระเทือนแผลที่อก จ้องหน้าริกกี้อย่างรังเกียจน้ำตาคลอเบ้า “ทำบ้าอะไรของนาย โอ๊ย!” ริกกี้คว้าข้อมือฉันไปจับแล้วกระชากให้เดินตามมาที่รถโดยไม่คิดจะพูดอะไรสักคำ สีหน้าของเขาเรียบตึงเหมือนไม่รู้สึกอะไรค่อนไปทางน่ากลัวหน่อยๆ “ปล่อยนะ ว้าย!” พลั่ก! เขาเหวี่ยงฉันเข้ามาในรถ ร่างฉันอัดเข้ากับเบาะเต็มแรง จุกจนพูดไม่ออก ระหว่างนั้นร่างสูงก็เดินเร็วๆ ไปที่ประตูอีกฝั่งรู้สึกตัวอีกเขาก็เข้ามานั่งที่เบาะคนขับและรถก็ทะยานออกไปอย่างไว รวดเร็วจนฉันไม่มีโอกาสหนี แค่ขยับตัวให้เข้าที่เข้าทางเท้าหมอนั่นก็แตะคันเร่งไปแล้ว “นี่นายจะพาฉันไปไหนน่ะ จอดรถเดี๋ยวนี้นะ” ฉันโวยวายอย่างร้อนรน แต่ริกกี้ก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจ เขายังคงมองตรงไปข้างหน้าด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “นี่!” ฉันขึ้นเสียงแหลมอย่างหมดความอดทน “หุบปาก ถ้าไม่อยากตาย” ไอ้บ้านั่นตะคอกกลับมาทีเดียวทำเอาฉันสะดุ้งไหว จ้องมองใบหน้าด้านข้างที่แข็งยะเยือกของเขาหัวใจสั่น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ หมอนี่ถึงไปโผล่ที่บ้านฉันได้แล้วเขารู้ที่อยู่ฉันได้ไง? เส้นทางออกสู่ต่างจังหวัดที่รถวิ่งผ่านด้วยความเร็วสูงสะกิดให้ฉันหันออกไปมองด้านนอกอย่างเพิ่งรู้ตัว ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำไปอยู่ที่ปลายยอดไม้ แดดอ่อนแสง เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่ายามเย็นกำลังจะมาถึง ฉันหันกลับมามองหน้าริกกี้อย่างกระวนกระวาย “นี่นายจะไปไหน” “เพชรบูรณ์” “ห๊ะ!?” “คาดเข็มขัด ถ้าไม่อยากอายุสั้น” “เอ๊ะ กรี๊ด! ขับรถบ้าอะไรของนายเนี่ย อ๊ารถข้างหน้าๆ ระวัง เฮ้! จะชนแล้วววว” พอคำสั่งบอกให้รัดเข็มขัดจบลงหมอนั่นก็กลายร่างเป็นตีนผีทันที จากรถที่เร็วอยู่แล้วเร็วขึ้นไปอีกแถมยังปาดไปปาดมา พุ่งผ่านไฟกะพริบตรงสี่แยกไฟแดงไปอย่างเฉียดฉิว ฉันร้องอย่างหัวใจจะวาย มือยึดขอบเบาะแน่น รีบรัดเข็มขัดนิรภัยทันที ได้ยินเสียงริกกี้ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคออย่างรำคาญ แต่หมอนั่นต้องใช้สมาธิในการควบคุมรถจนไม่มีเวลามาโมโหฉัน ไม่รู้ใช้เวลาเท่าไหร่ แม้แต่ปั๊มก็ยังไม่จอด ริกกี้ยิงยาวรวดเดียวมาถึงที่หมาย รู้สึกตัวอีกทีรถก็เบรกดังเอี๊ยดอยู่ข้างถนนบนเขาหัวโล้นลูกหนึ่งซึ่งฉันไม่รู้จัก แต่ได้ยินว่าเป็นที่เพชรบูรณ์ก็น่าจะเป็นภูเขาสักลูกในจังหวัดนี้ล่ะ ว่าแต่เขามาทำอะไรที่นี่ ฉันมองออกไปด้านนอกรถอย่างมึนงง มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย? งานชุมนุมอะไรหรือเปล่านะ.... ริกกี้ปลดสายเข็มขัดลงจากรถโดยไม่ดับเครื่อง ฉันหันกลับมามองตามร่างสูงที่เดินออกไป ยังไม่ทันหายตกใจด้วยซ้ำฉันปลดเข็มขัดนิรภัยออก ผลักประตูเปิดอย่างไม่สามารถใจเย็นนั่งอยู่ในรถคนเดียวได้ ปาร์ตี้ก็ไม่น่าใช่ ที่นี่ไม่มีเสียงเพลงเอิกเกริก รถที่ถูกปรับแต่งหลายคันจอดเรียงกันตามขอบถนนและจุดชมวิวจนเรียกได้ว่าแทบจะแน่นเอี๊ยด เหมือนพวกเขามาดูอะไรสักอย่างมากกว่า ฝนดาวตกหรือเปล่านะ? ฉันเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เมฆครึ้มอย่างไม่ค่อยเชื่อถือความคิดนี้ของตัวเองเท่าไหร่ ตอนนั้นเองเสียงพูดก็ดังขึ้น “ริกกี้ นั่นใครวะ” ฉันหันไปมองทางเสียนั่นทันทีเพราะรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเอง ผู้ชายตัวสูง หน้าเรียวคมได้รูป ดูหวานและแข็งกร้าวในคราวเดียวกันกำลังส่งสายตาสงสัยอันเฉียบคมมายังฉัน “.....” ฉันมองสบตาเขานิ่งอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดี ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของริกกี้เพราะเขาเป็นคนพาฉันมาก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบหากมีใครถาม ริกกี้ไม่ตอบ เขามองหน้าฉันนิ่งครู่หนึ่งก่อนหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนอีกคนข้างๆ ปล่อยให้เจ้าของคำถามนั่นเดินตรงเข้ามาหาฉัน “ไง” ฉันมองหน้าเขานิ่ง แอบประหม่านิดหน่อย เพราะหน้าตาเขาดูหล่อๆ หวานๆ ไม่ดุดันเหมือนริกกี้ ออกแนวคุณชายมีตระกูลรุนชาติไม่น่ามาเกลือกกลั้วกับพวกดิบเถื่อนอย่างริกกี้ได้ “ฉันเรซ เธอชื่ออะไร” “คะนิ้ง” “นึกว่าเป็นใบ้ซะอีก” เรซยิ้มเจ้าเล่ห์ ตอนนี้ฉันเปลี่ยนความคิดแล้ว ภาพลักษณ์คุณชายสูงศักดิ์มันใช้ได้เฉพาะเวลาที่เขาทำหน้านิ่งๆ ไม่พูดไม่จาเท่านั้น แต่พูดออกมานี่ปีศาจชัดๆ “ฮ่าๆ ล้อเล่นน่า” เรซหัวเราะท่าทีมึนตึงของฉัน เขาไล่สายตาสำรวจเรือนร่างฉันอย่างเปิดเผย จนฉันรู้สึกไม่ต่างจากโดนลวนลาม “มะมองอะไร” “เปล่า.... แค่สงสัยทำไมริกกี้มันพาเธอมาด้วย” เราทั้งคู่เงียบใส่กัน พอฉันไม่พูดอะไรเขาก็เลิกสนใจหันกลับไปหาพรรคพวกตัวเองปล่อยให้ฉันยืนเคว้งอยู่คนเดียว แต่ฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเท่าไหร่ กวาดตามองสำรวจไปรอบๆ อย่างสงสัย กำลังจะเดินออกไปดูรอบๆ เผื่อจะเจอทางหนีทีไล่ เสียงยะเยือกด้านหลังก็ดังขึ้น “จะไปไหน” “ริกกี้....” ฉันกัดฟันแน่นเมื่อหันกลับมาเจอหมอนั่น นึกถึงจูบที่ดุเดือดในตอนนั้นแล้วก็โกรธขึ้นมาทันที เบือนหน้าหนีไปทางอื่นอย่างขุ่นมัวกระแทกเสียงตอบห้วนๆ “เดินเล่น!” “อยากโดนรถชนตายหรือไง ไปขึ้นรถ!” เขาตวาดกลับมา ฉันอ้าปากจะเถียงแต่ก็เถียงไม่ออกเพราะสายตาคมเฉียบของเขาที่จ้องมองมาไล่ต้อนฉันให้ไม่อาจขัดขืนได้ ชิ! ฉันทำหน้าไม่สบอารมณ์อารมณ์ใส่เขา เดินกระทืบเท้าหนักๆ กลับมาที่รถ ริกกี้ตามมาเงียบๆ เดินอ้อมไปขึ้นฝั่งคนขับ มองเส้นทางด้านนอกด้วยสายตาที่คล้ายกำลังคำนวณอะไรสักอย่าง ไม่ได้มีเรื่องฉันอยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นก็มีคนเดินมาเคาะกระจก ริกกี้เลื่อนกระจกลง เผยให้เห็นใบหน้าหล่อคมของผู้ชายที่ทำผมทรงสกินเฮดแถมกลัดสีน้ำเงินยื่นหน้าเข้ามาพูดอะไรสักอย่างกับริกกี้ “แน่ใจนะโว้ยว่าไม่ต้องปรับจูนอะไรใหม่?” “อืม ฉันวอร์มเครื่องมาแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร” “โค้งที่นี่ยาวและลึกเป็นพิเศษ ทางตรงมีไม่มาก ระวังเรื่องการใช้เบรกด้วย” “อืม มีไรอีกไหม” “ไม่....” ผู้ชายคนนั้นเหลือบมองฉันแวบหนึ่งคำพูดก็ค้างไปด้วย ริกกี้มองตามพอรู้ว่าเพื่อนตัวเองกำลังมองฉันก็เลื่อนกระจกปิดแบบไม่กลัวว่ามันจะหนีบหน้าเพื่อนสักนิด หมอนั่นชอบทำอะไรโผงผางแบบนี้ล่ะ ไม่สนใจว่าใครจะเจ็บจากการกระทำของตัวเอง “เฮ้ยริกกี้ ใจเย็นดิวะ” ผู้ชายหัวสกินเฮดกดกระจกเอาไว้ก่อนที่มันจะหนีบหน้าตัวเอง “มองนิดมองหน่อยก็ไม่ได้ ได้ยินเรซพูดแต่ไม่คิดว่าแกจะพาใครมาจริงๆ ว่าแต่เปลี่ยนมาชอบแนวนี้แล้วเหรอวะ” “ไม่ใช่อย่างที่มึงคิด มีอะไรอีกไหม” “เรื่องรถน่ะไม่มีแต่เรื่องตุ๊กตาหน้ารถน่ะมี” “......” “จะดีเหรอที่ให้นั่งไปด้วย” “......” “เออ! อยากทำอะไรก็ตามใจเถอะว่ะ ยังไงนี่ก็เป็นรอบซ้อม ไปลองเส้นทางก่อน แต่ห้ามจอดรถทำอะไรข้างทางนะโว้ย งานคืองาน” “นั่นมันมึงแฮคไม่ใช่กู” “เออกูมันคนมีความสามารถ เอาไปทำงานไปด้วยเร้าใจดีว่ะ ไปเว้ย” หมอนั่นชื่อแฮค.... เขากระตุกยิ้มยียวนมองฉันก่อนหันไปยกสองนิ้วพร้อมกับยักคิ้วกวนๆ ให้ริกกี้ก่อนผละออกไป ฉันหน้าร้อนอย่างไม่มีเหตุผลแค่ฟังที่แฮคพูดก็กระดากหูแล้ว พวกเขาทำเหมือนกับว่าการมีเซ็กเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่สำหรับฉันมันคือเรื่องใหญ่ ยิ่งเมื่อเร็วๆ นี้โดนปล้นจูบไปด้วยฉันยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย จ้องมองใบหน้าด้านข้างของริกกี้อย่างใจคอไม่ดี หวังว่าคงไม่มีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นกับฉันอีกหรอกนะ ​
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม