ถึงจะมั่นใจว่าไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะไม่เป็นฝ่ายติดต่อไปหาเธอก่อน เพราะการที่เขาตกกระไดพลอยโจนแสร้งตีเนียนขอเบอร์โทรไปในวันนั้น
มันเป็นเพราะเขาเห็นอินคิวบัสมาป้วนเปี้ยนกับเธอต่างหาก ที่เขาทำไปก็เพราะต้องการปกป้องคนไข้ของตัวเอง ไม่ได้คิดเป็นอื่นเป็นไกลสักหน่อย
ทว่าถึงจะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่อังเดรก็รู้สึกว่าจิตใจไม่สงบเอาเสียเลย จากที่เป็นคนนิ่งเฉย ไม่สนใจกับการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งใด
ก็กลายเป็นว่าหงุดหงิดงุ่นง่านเสียจนอยู่กับที่ไม่ได้ พอได้ยินว่าสหายเก่า
วงไฮโซของตนจัดงานเลี้ยงสังสรรค์อีกแล้ว เขาก็โทรไปหาอีกฝ่ายทันทีโดยไม่แม้แต่จะสนใจด้วยว่างานเลี้ยงที่ว่าคืองานอะไร รู้แต่เพียงเขาต้องการให้ตัวเองมีอย่างอื่นทำ เพื่อให้ลืมเจ้าของดวงหน้าสดสวยที่ชื่อโมราเท่านั้น
เพราะเหตุนั้น อังเดรจึงมานั่งแกร่วอยู่ในห้องบอลรูมขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ของตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่งในกลุ่มภราดรนิรันดร์
มือใหญ่ถือแก้วไวน์ที่ไม่พร่องลงเลยแม้แต่น้อยแกว่งไปมา สายตามองตรงนิ่งไปยังผู้คนในชุดสวยหรูที่พากันอวดโฉมเฉิดฉาย บ้างก็ทักทายพูดคุยกันตามประสา ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ก่อนจะได้สติเมื่อเจ้าของงานเลี้ยงเดินมาทรุดตัวลงนั่งยังโซฟาเบื้องหน้า
“ไม่คิดจะไปทักทายคนอื่นสักหน่อยเหรอ คุณพ่อมด”
เจ้าของเสียงคือ ‘วาเลนไทน์ บลัดดี้’ ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสี
บลอนด์สว่างที่มาพร้อมกับดวงตาสีฟ้าสุกสกาว พ่วงมาด้วยตำแหน่งผู้ดีมีสกุลที่มีอิทธิพลในวงการภาพยนตร์และแฟชั่นของเวซาน่าที่ได้รับการโหวตจากบรรดาสาวๆ ทั่วประเทศว่าเป็นผู้ชายที่เซ็กซี่และเสน่ห์เหลือร้ายที่สุดในทศวรรษนี้ และแน่นอนว่าเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ทั่วไปเช่นกัน...
บลัดดี้...ชื่อตระกูลก็บ่งบอกว่าเขาเป็นพวกชอบเลือดสีแดงสด
ซึ่งใช่...เขาคือแวมไพร์
แต่จะเป็นอะไร อังเดรก็ไม่สน เขาเพียงเหลือบมองใบหน้าเจ้าเล่ห์ของวาเลนไทน์เล็กน้อย จากนั้นก็ตอบกลับเสียงเรียบ
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ชอบความวุ่นวาย”
“ไม่ชอบความวุ่นวาย แต่นายดันมาร่วมงานเลี้ยงของฉันที่ขึ้นชื่อว่าโคตรจะวุ่นวายเลยเนี่ยนะ? ตลกดี” วาเลนไทน์หัวเราะ เอนหลังพิงพนักโซฟาด้วยท่าทางสบายๆ “คงจะมีเรื่องอะไรทำให้นายว้าวุ่นใจล่ะสิ เรื่องอะไรล่ะ”
“นายไม่จำเป็นต้องรู้”
“เรื่องผู้หญิงล่ะสิ”
ถึงจะไม่บอก วาเลนไทน์ก็รู้ทันเขาเสียอย่างนั้น อังเดรหรี่ตามอง
ไม่ชอบเลยที่เจ้าตัวดูดเลือดตรงหน้ารู้ทันเขาไปเสียหมดทุกอย่าง แต่เขาก็
ไม่มีอารมณ์จะมาเล่าให้ฟังหรอกว่าเรื่อง
“นานทีปีหน นายจะมีเรื่องผู้หญิงมาให้กลุ้มใจทั้งที มีอะไรก็เล่าให้ฉันฟังได้ ฉันมันช่ำชองเรื่องผู้หญิง นายก็รู้”
วาเลนไทน์เสนอตัวอย่างขบขัน เรียวคิ้วของอังเดรย่นยู่แล้ว
ดูท่าทางเขาน่าจะคิดผิดที่มาร่วมงานเลี้ยงนี่ ไปๆ มาๆ คนตรงหน้าเขา
น่ารำคาญกว่าความหงุดหงิดในใจเสียอีก
“อย่าแกล้งหมอนี่นักเลยน่า นายก็น่าจะรู้ว่าคนอย่างหมอนี่มองผู้หญิงเป็นอย่างคนอื่นที่ไหน”
เสียงของใครบางคนดังขึ้นขัด เรียกสายตาให้ชายหนุ่มทั้งสองซึ่งนั่งอยู่ก่อนหันไปมอง เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อน ใบหน้าสวมแว่นสายตาไร้กรอบ ดวงตาสีอความารีนมีแววเจือขบขันอยู่
ไม่น้อยทั้งๆ ที่ตัวเองเป็นฝ่ายออกปากปรามเพื่อน ซึ่งนั่นทำให้อังเดรต้องขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม
“ถ้านายไม่อยากให้วาเลนไทน์แกล้งฉัน นายก็ควรจะหยุดแขวะฉันด้วย โรมิโอ”
‘โรมิโอ ซีวาร์ด’ ชายหนุ่มผู้ซึ่งสืบทอดเชื้อสายมาจากตระกูลเงือกหัวเราะในลำคอ ขณะที่ใครอีกคนซึ่งยืนอยู่หลังเขาหัวเราะอย่างไม่ปกปิด
“นายก็อีกคน ปารีส หยุดเลย”
อังเดรว่าเสียงแข็ง ทำให้ ‘ปารีส แมดด็อกซ์’ เดินมาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ยกแขนพาดไหล่ของสหายอย่างสนิทสนม
“เอาน่า นานๆ พวกเราจะได้เห็นนายออกจากรังสักที แกล้งนิดแกล้งหน่อยก็อย่าหัวเสียไปเลย อีกอย่างนะ ฉันยังไม่ทันจะพูดอะไรเลย
มาดักคอกันอย่างนี้ไม่แฟร์นี่หว่า”
เขาว่าอย่างไม่ยี่หระ มืออีกข้างก็เสยเส้นผมสีดำสนิทที่ปรกใบหน้าคร้ามคมขึ้นไปด้วย ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเจือทองอำพันประกายระยับคล้ายกับว่าได้เห็นของเล่นใหม่ ทำเอาอังเดรต้องปัดแขนของเขาออกอย่างไร้เยื่อใย
“ฉันไม่เล่นกับค้างคาว ไม่เล่นกับปลา แล้วก็ไม่เล่นกับหมาอย่างนายด้วย”
ดูท่าทางจะหัวเสียจริงจัง ถึงกับเรียกเผ่าพันธุ์ของกลุ่มภราดรนิรันดร์เป็นสัตว์ต่างๆ แบบนี้ คงจะแหย่ไม่ได้แล้วล่ะ
“หมาอะไรกัน ฉันเป็นแวร์วูล์ฟต่างหาก”
ปารีสยกแขนทั้งสองข้างขึ้นประสานหลังศีรษะ อังเดรก็ไม่สนใจแล้ว อยากจะพูดอะไรก็พูดไป พลันกระดกเอาไวน์ที่ถือมาตั้งนานเข้าคอทีเดียวรวด ท่าทางนี้ทำให้โรมิโอที่นั่งลงข้างกันกับวาเลนไทน์ต้องออกปากพูดบ้าง
“แต่ก็อย่างที่เจ้าค้างคาวว่า นายหัวเสียอะไรมา อย่าบอกนะว่าเรื่องผู้หญิง?”
วกกลับมาเรื่องเดิมจนได้ คนถูกเรียกว่าค้างคาวเหล่มองอย่าง
ขุ่นเคืองเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเจ้าแวร์วูล์ฟจมูกไวก็ทำจมูก
ฟุดฟิดใส่อังเดรเสียก่อน
“เรื่องผู้หญิงแน่นอน ฉันได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงฟุ้งมาจากตัวนาย”
อังเดรเหล่มอง แค่นเสียงออกมา “จมูกดีสมเป็นหมา”
ปารีสยักไหล่ คล้ายกับกำลังจะบอกว่า ‘อยากพูดอะไรก็พูด’ จากนั้นจุดรวมความสนใจทั้งหมดก็ตกไปอยู่ที่อังเดรอีกครั้ง
“เรื่องผู้หญิง...ทำไมล่ะ นายเครียดอะไร เธอไม่ยอมนอนกับนาย หรือว่าถูกหล่อนเธอแล้วทิ้ง?”
เสียงหัวเราะขรมดังขึ้นมาจากเหล่าชายหนุ่มทั้งสามเลยทีเดียว
อังเดรพรูลมหายใจยาว ไม่วายถูกแกล้งทุกทีสิน่า!
“ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วมันเรื่องอะไร”
“เรื่องไร้สาระ”
“เฮ้ ถ้านายไม่บอก พวกฉันก็ช่วยอะไรนายไม่ได้นะ”
วาเลนไทน์ร้องท้วงแล้วเมื่อเห็นว่าอังเดรเอาแต่บ่ายเบี่ยง ก่อนเขาจะรู้สึกตัวว่าถูกสายตาจากบรรดาเพื่อนๆ จ้องมองอย่างกดดัน
เอาวะ เล่าก็เล่า ถ้าไม่เล่า เห็นทีคงจะต้องถูกเค้นคอต่อไปเรื่อยๆ แน่
“หลายอาทิตย์ก่อน ฉันมีคนไข้ใหม่รายหนึ่ง”
“แล้ว?”
“เธอถูกอินคิวบัสไล่ตาม ฉันก็เลยช่วยไล่ไป”
“แล้วยังไง นายไล่ไม่สำเร็จ ช่วยเหลือเธอไม่ได้หรือไง ถึงได้มานั่งเครียดแบบนี้”
“เปล่า”
“อ้าว”
“ให้ตายเถอะ ฉันก็แค่หยุดคิดถึงเธอไม่ได้ โอเคไหม เลิกถามสักที”
จู่ๆ เขาก็ว่าเสียงแข็งออกมา คล้ายกับว่าหมดความอดทนกับความรำคาญใจนี้แล้ว ทุกชีวิตเงียบงัน ทว่าไม่ได้ตกใจอะไร ทำเพียงเหล่มองกันราวกับเข้าใจดีว่าสิ่งที่อังเดรเผชิญอยู่คืออะไรกันแน่
“นายตกหลุมรักเธอแล้วล่ะเพื่อน”
โรมิโอพูดขึ้นบ้าง ทำเอาอังเดรต้องตวัดสายตาไปมอง
“ไม่มีทาง”
“ถ้านายไม่ได้ตกหลุมรักเธอ นายจะมาคิดเรื่องเธอจนหัวเสียทำไม”
“นั่นสิ ฉันจะบอกอะไรให้นะอังเดร ถ้านายชอบเธอล่ะก็ จีบเลย เรื่องแค่นี้ไม่ยาก”
ปารีสสำทับ ตอนนี้กลายเป็นว่าอังเดรชักจะหัวเสียเพราะเจ้าพวกเพื่อนชอบยุพวกนี้แล้วสิ
“ฉันหัวเสียก็เพราะคำพูดของนายนั่นล่ะ ฉันแค่ดันเห็นอินคิวบัสมันตามติดเธอหลังจากที่ฉันช่วยไปแล้วก็เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ”
อังเดรว่าไปตามความจริง ทว่า...ก็แค่ส่วนหนึ่ง เขายอมรับว่าที่เขาสลัดภาพเจ้าของดวงหน้าสดสวยไปไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเธอน่ารัก
เย้ายวนใจ เขาถึงได้ไม่แปลกใจอย่างไรล่ะว่าทำไมอินคิวบัสถึงอยากครอบครองเธอขนาดนั้น แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะสนใจมนุษย์ที่มีชีวิตเปราะบางอย่างนั้นได้