11 - ข่าวหลุด

2075 คำ
- 11 - ข่าวหลุด "เมลครับ ทำอะไรอยู่ มาหาเตเร็ว" ผมเอ่ยเรียกเมลบีที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมานานนับชั่วโมง เธอกำลังหวีผมช้า ๆ ขณะที่สายตาก็จดจ่อไปอย่างไม่รู้ทิศทาง และถึงแม้ว่าผมจะเรียกเธอไปเมื่อครู่แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยินคำนั้นของผมเลยแม้แต่น้อย ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงและเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กหน้ากระจก พอเดินไปประชิดตัวก็สวมกอดเธอจากด้านหลังและโน้มใบหน้าลงกดฝังจมูกที่แก้มใสก่อนจะเคลื่อนต่ำลงมายังซอกคอขาว "อ๊ะ..." เมลบีร้องเบา ๆ เมื่อรู้สึกตัว เธอย่นคอหนีเล็กน้อยและหันหนามองผมด้วยความแปลกใจที่อยู่ ๆ ผมก็มาหยุดยืนตรงนี้ "เป็นอะไรหืม เตเรียกก็ไม่หัน คิดอะไรอยู่" "เหรอ...เมลไม่ได้ยินน่ะ โทษทีนะเต" "แล้วคิดอะไรอยู่ เหม่อลอยไปถึงไหนแล้วเนี่ย เรียกแฟนเตคนเดิมกลับมาเดี๋ยวนี้เลย" ผมเอ่ยบอกปนเสียงขำอย่างไม่จริงจังนัก ซึ่งเมลเองก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินกลับไปยังเตียงนอนตามด้วยผมที่เดินไปพร้อม ๆ กับเธอ เราสองคนนอนกอดกันอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างที่ชอบทำกันเป็นประจำ ศีรษะเล็กหนุนที่แขนแกร่ง ขณะที่วงแขนของเธอก็กอดรัดร่างกายของผมไว้บาง ๆ "เตจำเสี่ยชัยได้ไหม" เสียงเรียกเอ่ยแผ่วแต่ก็ทำให้ผมได้ยินคำพูดของเธอได้อย่างชัดเจน ผมก้มหน้าลงมาใบหน้าหวาน ยกมือเกลี่ยไล้ที่เรือนผมให้ปัดป่ายออกจากหน้าผากนูน ในหัวก็นึกถึงคนที่เธอพูดเพราะผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าคนที่เธอพูดถึงนั้นเป็นใคร "เสี่ยชัยที่เป็นเจ้าหนี้ของเมลไง" เหมือนกับว่าคนตัวเล็กจะล่วงรู้ว่าผมกำลังสงสัยจึงได้เอ่ยออกมาก่อนที่ผมจะถาม พอได้ยินแบบนั้นก็ทำให้ผมถึงกับร้องอ๋อในใจ เสี่ยชัยที่ว่าก็คือคนที่เคยให้พ่อและแม่ของเมลยืมเงินไปใช้หนี้ เธอเคยเล่าให้ผมฟังว่าเขาคนนี้มีบุญคุณกับครอบครัวเธอมาก "ทำไมเหรอเมล" "เสี่ยชัยเป็นผู้ถือหุ้นคนใหม่ของช่องที่เมลอยู่ เมลเพิ่งเจอเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง เมลตกใจมากเลยล่ะ" "หืม" ผมหัวมองคนตัวเล็กอีกครั้งเนื่องจากแปลกใจกับสิ่งที่เธอพูด ผมรู้จักเสี่ยชัยในฐานะที่เขาเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับวงการส่งออกข้าวและทำโรงสี แต่ไม่คิดเลยว่าจะผันตัวมาลงทุนกับวงการบันเทิงด้วย "ตกใจล่ะสิ เมลเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่เมลก็ดีใจนะที่ได้เจอเขาอีกครั้ง เมลเองก็ว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้เสี่ยให้หมดเลยด้วย อีกไม่กี่เดือนเมลก็คงได้เอาเงินก้อนไปให้เขานั่นแหละ ไม่อยากผ่อนจ่ายแล้ว" ผมยิ้มบาง ๆ พลางลูบที่เรือนผมนุ่มอย่างแผ่วเบา ผมรับรู้มาตลอดว่าเธอยังต้องหาเงินใช้หนี้ให้กับเสี่ยชัย เมลเคยบอกว่าเสี่ยชัยไม่คิดดอกเบี้ยเลยสักนิด แถมยังไม่เคยทวงถามแม้ว่าเธอจะหาเงินมาให้ไม่ทันกำหนด ผมเองก็รู้สึกว่าเสี่ยชัยเองก็เป็นคนดีมีเมตตาอยู่ไม่น้อย หากเมลปิดหนี้ก้อนนี้ได้เมื่อไหร่เธอก็คงจะไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้แล้ว ความจริงผมเองก็อยากช่วยเหลือเธออยู่เหมือนกัน แต่ก็นะ...นิสัยอย่างเมลคงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผมแน่ ๆ แล้วยิ่งเป็นหนี้สินที่พ่อกับแม่ของเธอได้หยิบยืมมาอีก เธอก็คงไม่อยากให้ผมเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องแบบนี้ "ดีแล้ว ต่อจากนี้เมลก็คงไม่ต้องรับงานเยอะ ๆ อีกแล้วใช่ไหม" "ไม่แน่ใจเลยอะ ช่วงนี้งานกำลังเข้ารัว ๆ น่ะ เมลอยากทำงานแล้วก็เก็บเงินไว้เยอะ ๆ อีกสองสามปีเมลอาจจะไม่มีงานให้ทำแล้วก็ได้" "ฮึ...มีเตทั้งคนจะกลัวอะไร" ผมหยิกแก้มของเธอเบา ๆ พลางหัวเราะออกมา แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมให้เธอลำบากทำงานหนัก หากความสัมพันธ์ของเราสองคนไปถึงขั้นแต่งงานสร้างครอบครัว ผมก็คงกลายเป็นสามีที่ตามใจเธอ โดยไม่คิดปฏิเสธในสิ่งที่เธอร้องขอ "ลำพังทำงานคนเดียวค่าใช้จ่ายก็คงไม่พอแน่ ๆ เมลเองก็ไม่อยากให้เตทำงานหนักด้วย งานที่เตทำอยู่น่ะเครียดจะตาย อย่าหักโหมมากรู้ไหมหืม" อยากจะบอกออกไปจริง ๆ เลยว่าสามีในอนาคตของเธอน่ะเป็นถึงลูกชายเศรษฐีรวยระดับพันล้าน ต่อให้ไม่ต้องทำงานก็มีกินมีใช้ได้อย่างสุขสบาย ความจริงแล้วผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเธอเลยสักครั้ง เราสองคนคบหากันในฐานะแฟนมานานถึงสองปีแล้ว ผมยังคงเป็นเตโชคนเดิม เป็นสถาปนิกให้กับบริษัทของพ่อตัวเองที่เปรียบเสมือนพนักงานกินเงินเดือนทั่วไป เรื่องกินเรื่องอยู่เราสองคนก็หารครึ่งกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ หรือแม้กระทั่งค่าน้ำมันรถที่ผมมักจะเป็นคนขับรถไปส่งเธอที่กองถ่ายเกือบทุกวัน ผมไม่เคยออกปากเรื่องนี้ และที่สำคัญผมเองก็ไม่ต้องการให้เธอออกเงินอะไรด้วย เธอทำมันเองทุกอย่าง พอผมปฏิเสธแม่ตัวดีก็ยัดเงินใส่มือแล้วเดินหนีไปหน้าตาเฉย ฮึ...นี่แหละเมลบีตัวแสบแฟนของผมเอง "จะเที่ยงคืนแล้วนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้เมลมีถ่ายละครทั้งวันไม่ใช่เหรอ" "ช่ายยยย แค่คิดก็เหนื่อยแล้วอะ" ไม่ว่าเปล่าใบหน้าหวานก็ซุกเข้าหาร่างกายของผมพร้อมกับกระชับวงแขนโอบรัดให้แน่นขึ้นไปอีก คงจะมีแค่ช่วงเวลานี้ที่ผมได้อยู่กับเธออย่างที่ต้องการ พอตื่นนอนเราสองคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้เป็นสถานที่เดียวที่ทำให้ผมและเธอสามารถทำตามสิ่งที่ต้องการได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวใครเห็นหรือต้องสนใจสิ่งใด ผมเองก็ยินดีและพร้อมสนับสนุนเมลทุกอย่าง ไม่ว่าเธอจะเป็นนางเอกชื่อดังหรือเป็นเมลบีคนธรรมดาผมก็รักเธอในแบบที่เธอเป็นเธอ...ขอเพียงแค่เราจับมือไปด้วยกันแบบนี้ก็พอแล้ว วันถัดไป กิจวัตรประจำวันของผมก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมนั่นก็คือการมาทำงานในเวลาแปดโมงเช้า ก่อนจะเข้าบริษัทผมก็ต้องขับรถไปส่งเมลที่กองถ่ายแล้วค่อยตรงมาที่นี่ วันนี้ผมต้องเข้าประชุมกับบอร์ดบริหารเนื่องจากในตำแหน่งหัวหน้าของผมจะต้องรายงานการทำงานให้กับคนที่มีตำแหน่งสูงกว่ารับรู้ และอีกทั้งในตอนนี้มือทั้งสองข้างของผมตอนนี้เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารมากมายที่จะต้องเตรียมสำหรับการเข้าประชุมที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่ทว่า... "แกว่าเรื่องจริงรึเปล่าอะ แต่ภาพชัดขนาดนี้ก็คงไม่น่าเป็นข่าวปลอมป้ะวะ" "เฮ้ย! เบาดิแก เขาเดินมาโน่นแล้ว" "อุ๊ย...เขาจะได้ยินไหมวะแก" ทันทีที่ผมเดินเข้าไปยังแผนกของตัวเองก็ทำให้ได้ยินเสียงซุบซิบที่ค่อนข้างจะดังพอสมควร แถมสายตาของพนักงานหญิงสองคนนั้นก็ยังมองมาที่ผมด้วยสายตาสั่นไหว ผมหันมองเล็กน้อยแต่พวกหล่อนก็หลบสายตาและเดินหนี นั่นจึงทำให้ผมไม่คิดสนใจก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว "มันมาโน่นแล้ว!" "เฮ้ยไอ้เต มึงมานี่เลย!" ก่อนที่จะหย่อนกายลงบนเก้าอี้ เพื่อนสนิทอย่างนิคและวิทก็รีบตรงปรี่วิ่งเข้ามาหาผมด้วยท่าทางร้อนรนจนนึกแปลกใจ ทั้งสีหน้าและแววตาของพวกมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่ากำลังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ งานเข้าแต่เช้าเลยเหรอวะ...? "มีอะไรวะ" "มึงเห็นข่าวนี้ยัง" "ข่าวอะไร" ผมถามกลับซึ่งก็เป็นจังหวะที่ไอ้วิทส่งโทรศัพท์ของมันมาให้ผมพอดี บนหน้าจอเปิดข่าวที่มีรูปภาพค้างเอาไว้ พอเลื่อนอ่านตัวอักษรก็ทำให้ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ "'ภาพเด็ดดาราดัง ควงหนุ่มออฟฟิศไปกลางห้าง'…เหี้ยไรวะเนี่ย!" ผมอ่านตามตัวอักษรที่ข่าวได้เขียนเอาไว้ ซึ่งภาพที่ขึ้นพาดหัวข่าวก็เป็นผมและเมลที่กำลังจับมือกันอยู่ในห้าง มันเป็นเหตุการณ์เมื่อสามวันที่ผ่านมาเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นภาพที่ไม่ชัดเจนมากแต่ผมก็มองออกว่ามันคือตัวผมและเมลบีจริง ๆ "นั่นดิ เหี้ยไรวะเนี่ย..." "มึงเลื่อนไปอ่านคอมเมนต์ดิไอ้เต" คำพูดของไอ้วิททำให้ผมเลื่อนนิ้วปัดหน้าจอลงไปอ่านข้อความข้างล่าง ซึ่งมันเป็นคอมเมนต์ที่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้โดยเฉพาะ "โอ้โห...ไอ้สัส เจ็บเหี้ย ๆ" พอเลื่อนอ่านมาได้เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และสบถด่าออกมาทันที แน่นอนว่ามันต้องเป็นคอมเมนต์ที่ไม่ดีและทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดจนแทบอยากจะตรงเข้าไปค่อยหน้าไอ้พวกเกรียนคีย์บอร์ดสักหมัดสองหมัด 'เป็นถึงนางเอกดังทำไมถึงคบพนักงานออฟฟิศอะ เมลหนีไป! หนีไปให้ไกล ๆ เลยเมลลูกกกก' 'นั่นไงว่าแล้วเชียวใช่จริง ๆ ด้วย นี่เคยเห็นเมลกับผู้ชายคนนี้หลายรอบแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เดินจับมือขนาดนี้ก็คงเป็นแฟนจริง ๆ แหละ เฮ้อไม่น่าเลยเมลบี อุตส่าห์จิ้นให้คบกับพระเอกเรื่องใหม่' 'แต่นางก็หล่ออยู่นะ ขนาดภาพไม่ชัดยังหล่อเลยอะ เป็นแค่พนักงานแล้วไงอะ ก็คนเหมือนกันป้ะ งงชาวเน็ตพวกแกจะดราม่าอะไรกัน?' 'นี่ก็ว่าแฟนนางหล่อนะ หุ่นก็ดีด้วย แต่ก็นะ...นางเป็นถึงนางเอกดังอะ อยากให้คบกับพวกไฮโซรวย ๆ มากกว่า' 'โอ๊ยสู! เขาจะคบกับใคร เดินห้างกับใคร ไปไหนกับใครมันก็เรื่องของเขาจบนะ! จะดราม่าอะไรกันคะ ดาราก็คนค่ะ เอาเวลาไปทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นเถอะ ลำไย!' นี่แหละ...คอมเมนต์ที่ผมได้เห็นผ่านตามาคร่าว ๆ มีทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนมากเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์มันคือคอมเมนต์ด่าทั้งนั้น! แม่งเอ๊ย...หงุดหงิดฉิบ! "ข่าวมันหลุดไปได้ไงวะ" "กูไม่ได้สงสัยว่าข่าวมันหลุดไปได้ยังไง แต่ที่กูสงสัยเนี่ยก็คือการที่คนเป็นแฟนกันออกไปเดินห้างด้วยกันแล้วทำไมมันถึงเป็นข่าวได้วะ สัสเอ๊ย! เอาเวลาไปเขียนข่าวนายกโง่ โกงกินงบประมาณดีกว่าไหม ทีข่าวแบบนั้นน่ะปิดหูปิดตา ไอ้ควาย!" "สัส...ใจเย็นดิวะ" "ใจเย็นเหี้ยอะไร! เป็นมึงมึงใจเย็นได้เหรอวะกูถามหน่อย ดาราก็คนไหม เขาก็ต้องมีเวลาส่วนตัว อย่าให้กูรู้นะว่าใครเขียนข่าวนี้ กูจะฟ้องแม่งให้หมด!" ยอมรับว่าตอนนี้ผมกำลังคุมสติของตัวเองไม่ได้ แถมยังพาลโวยวายจนไม่สนใจคนอื่นที่มองมาอีก "งั้นมึงก็ฟ้องแม่งเลยดิ แล้วก็ถือโอกาสเปิดตัวไปเลยว่าพนักงานออฟฟิศธรรมดาอย่างมึงนี่แหละเป็นถึงลูกชายเศรษฐีธุรกิจร้อยล้าน!" "มึงพูดบ้าอะไรวะไอ้นิค!" ผมตวัดสายตามองค้อนใส่เพื่อนสนิทที่หัวเราะไม่ดูเวล่ำเวลา "เอ่อ...โทษทีวะ กูแค่..." "ร้อยล้านเหี้ยไร พันล้านต่างหากโว้ย!"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม