- 11 -
ข่าวหลุด
"เมลครับ ทำอะไรอยู่ มาหาเตเร็ว"
ผมเอ่ยเรียกเมลบีที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งมานานนับชั่วโมง เธอกำลังหวีผมช้า ๆ ขณะที่สายตาก็จดจ่อไปอย่างไม่รู้ทิศทาง
และถึงแม้ว่าผมจะเรียกเธอไปเมื่อครู่แต่ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้ยินคำนั้นของผมเลยแม้แต่น้อย
ผมตัดสินใจลุกขึ้นจากเตียงและเดินเข้าไปหาคนตัวเล็กหน้ากระจก พอเดินไปประชิดตัวก็สวมกอดเธอจากด้านหลังและโน้มใบหน้าลงกดฝังจมูกที่แก้มใสก่อนจะเคลื่อนต่ำลงมายังซอกคอขาว
"อ๊ะ..."
เมลบีร้องเบา ๆ เมื่อรู้สึกตัว เธอย่นคอหนีเล็กน้อยและหันหนามองผมด้วยความแปลกใจที่อยู่ ๆ ผมก็มาหยุดยืนตรงนี้
"เป็นอะไรหืม เตเรียกก็ไม่หัน คิดอะไรอยู่"
"เหรอ...เมลไม่ได้ยินน่ะ โทษทีนะเต"
"แล้วคิดอะไรอยู่ เหม่อลอยไปถึงไหนแล้วเนี่ย เรียกแฟนเตคนเดิมกลับมาเดี๋ยวนี้เลย" ผมเอ่ยบอกปนเสียงขำอย่างไม่จริงจังนัก ซึ่งเมลเองก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินกลับไปยังเตียงนอนตามด้วยผมที่เดินไปพร้อม ๆ กับเธอ
เราสองคนนอนกอดกันอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาอย่างที่ชอบทำกันเป็นประจำ ศีรษะเล็กหนุนที่แขนแกร่ง ขณะที่วงแขนของเธอก็กอดรัดร่างกายของผมไว้บาง ๆ
"เตจำเสี่ยชัยได้ไหม" เสียงเรียกเอ่ยแผ่วแต่ก็ทำให้ผมได้ยินคำพูดของเธอได้อย่างชัดเจน
ผมก้มหน้าลงมาใบหน้าหวาน ยกมือเกลี่ยไล้ที่เรือนผมให้ปัดป่ายออกจากหน้าผากนูน ในหัวก็นึกถึงคนที่เธอพูดเพราะผมเองก็จำไม่ได้เหมือนกันว่าคนที่เธอพูดถึงนั้นเป็นใคร
"เสี่ยชัยที่เป็นเจ้าหนี้ของเมลไง"
เหมือนกับว่าคนตัวเล็กจะล่วงรู้ว่าผมกำลังสงสัยจึงได้เอ่ยออกมาก่อนที่ผมจะถาม พอได้ยินแบบนั้นก็ทำให้ผมถึงกับร้องอ๋อในใจ เสี่ยชัยที่ว่าก็คือคนที่เคยให้พ่อและแม่ของเมลยืมเงินไปใช้หนี้ เธอเคยเล่าให้ผมฟังว่าเขาคนนี้มีบุญคุณกับครอบครัวเธอมาก
"ทำไมเหรอเมล"
"เสี่ยชัยเป็นผู้ถือหุ้นคนใหม่ของช่องที่เมลอยู่ เมลเพิ่งเจอเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง เมลตกใจมากเลยล่ะ"
"หืม" ผมหัวมองคนตัวเล็กอีกครั้งเนื่องจากแปลกใจกับสิ่งที่เธอพูด
ผมรู้จักเสี่ยชัยในฐานะที่เขาเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับวงการส่งออกข้าวและทำโรงสี แต่ไม่คิดเลยว่าจะผันตัวมาลงทุนกับวงการบันเทิงด้วย
"ตกใจล่ะสิ เมลเองก็ตกใจเหมือนกัน แต่เมลก็ดีใจนะที่ได้เจอเขาอีกครั้ง เมลเองก็ว่าจะเอาเงินไปใช้หนี้เสี่ยให้หมดเลยด้วย อีกไม่กี่เดือนเมลก็คงได้เอาเงินก้อนไปให้เขานั่นแหละ ไม่อยากผ่อนจ่ายแล้ว"
ผมยิ้มบาง ๆ พลางลูบที่เรือนผมนุ่มอย่างแผ่วเบา ผมรับรู้มาตลอดว่าเธอยังต้องหาเงินใช้หนี้ให้กับเสี่ยชัย เมลเคยบอกว่าเสี่ยชัยไม่คิดดอกเบี้ยเลยสักนิด แถมยังไม่เคยทวงถามแม้ว่าเธอจะหาเงินมาให้ไม่ทันกำหนด ผมเองก็รู้สึกว่าเสี่ยชัยเองก็เป็นคนดีมีเมตตาอยู่ไม่น้อย หากเมลปิดหนี้ก้อนนี้ได้เมื่อไหร่เธอก็คงจะไม่ต้องทำงานหนักแบบนี้แล้ว
ความจริงผมเองก็อยากช่วยเหลือเธออยู่เหมือนกัน แต่ก็นะ...นิสัยอย่างเมลคงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากผมแน่ ๆ แล้วยิ่งเป็นหนี้สินที่พ่อกับแม่ของเธอได้หยิบยืมมาอีก เธอก็คงไม่อยากให้ผมเข้ามายุ่งเกี่ยวในเรื่องแบบนี้
"ดีแล้ว ต่อจากนี้เมลก็คงไม่ต้องรับงานเยอะ ๆ อีกแล้วใช่ไหม"
"ไม่แน่ใจเลยอะ ช่วงนี้งานกำลังเข้ารัว ๆ น่ะ เมลอยากทำงานแล้วก็เก็บเงินไว้เยอะ ๆ อีกสองสามปีเมลอาจจะไม่มีงานให้ทำแล้วก็ได้"
"ฮึ...มีเตทั้งคนจะกลัวอะไร" ผมหยิกแก้มของเธอเบา ๆ พลางหัวเราะออกมา
แน่นอนว่าผมจะไม่ยอมให้เธอลำบากทำงานหนัก หากความสัมพันธ์ของเราสองคนไปถึงขั้นแต่งงานสร้างครอบครัว ผมก็คงกลายเป็นสามีที่ตามใจเธอ โดยไม่คิดปฏิเสธในสิ่งที่เธอร้องขอ
"ลำพังทำงานคนเดียวค่าใช้จ่ายก็คงไม่พอแน่ ๆ เมลเองก็ไม่อยากให้เตทำงานหนักด้วย งานที่เตทำอยู่น่ะเครียดจะตาย อย่าหักโหมมากรู้ไหมหืม"
อยากจะบอกออกไปจริง ๆ เลยว่าสามีในอนาคตของเธอน่ะเป็นถึงลูกชายเศรษฐีรวยระดับพันล้าน ต่อให้ไม่ต้องทำงานก็มีกินมีใช้ได้อย่างสุขสบาย
ความจริงแล้วผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเธอเลยสักครั้ง เราสองคนคบหากันในฐานะแฟนมานานถึงสองปีแล้ว ผมยังคงเป็นเตโชคนเดิม เป็นสถาปนิกให้กับบริษัทของพ่อตัวเองที่เปรียบเสมือนพนักงานกินเงินเดือนทั่วไป เรื่องกินเรื่องอยู่เราสองคนก็หารครึ่งกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ หรือแม้กระทั่งค่าน้ำมันรถที่ผมมักจะเป็นคนขับรถไปส่งเธอที่กองถ่ายเกือบทุกวัน
ผมไม่เคยออกปากเรื่องนี้ และที่สำคัญผมเองก็ไม่ต้องการให้เธอออกเงินอะไรด้วย เธอทำมันเองทุกอย่าง พอผมปฏิเสธแม่ตัวดีก็ยัดเงินใส่มือแล้วเดินหนีไปหน้าตาเฉย ฮึ...นี่แหละเมลบีตัวแสบแฟนของผมเอง
"จะเที่ยงคืนแล้วนอนกันดีกว่า พรุ่งนี้เมลมีถ่ายละครทั้งวันไม่ใช่เหรอ"
"ช่ายยยย แค่คิดก็เหนื่อยแล้วอะ" ไม่ว่าเปล่าใบหน้าหวานก็ซุกเข้าหาร่างกายของผมพร้อมกับกระชับวงแขนโอบรัดให้แน่นขึ้นไปอีก
คงจะมีแค่ช่วงเวลานี้ที่ผมได้อยู่กับเธออย่างที่ต้องการ พอตื่นนอนเราสองคนก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ห้องสี่เหลี่ยมห้องนี้เป็นสถานที่เดียวที่ทำให้ผมและเธอสามารถทำตามสิ่งที่ต้องการได้ โดยที่ไม่ต้องกลัวใครเห็นหรือต้องสนใจสิ่งใด
ผมเองก็ยินดีและพร้อมสนับสนุนเมลทุกอย่าง ไม่ว่าเธอจะเป็นนางเอกชื่อดังหรือเป็นเมลบีคนธรรมดาผมก็รักเธอในแบบที่เธอเป็นเธอ...ขอเพียงแค่เราจับมือไปด้วยกันแบบนี้ก็พอแล้ว
วันถัดไป
กิจวัตรประจำวันของผมก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมนั่นก็คือการมาทำงานในเวลาแปดโมงเช้า ก่อนจะเข้าบริษัทผมก็ต้องขับรถไปส่งเมลที่กองถ่ายแล้วค่อยตรงมาที่นี่
วันนี้ผมต้องเข้าประชุมกับบอร์ดบริหารเนื่องจากในตำแหน่งหัวหน้าของผมจะต้องรายงานการทำงานให้กับคนที่มีตำแหน่งสูงกว่ารับรู้ และอีกทั้งในตอนนี้มือทั้งสองข้างของผมตอนนี้เต็มไปด้วยแฟ้มเอกสารมากมายที่จะต้องเตรียมสำหรับการเข้าประชุมที่กำลังจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า
แต่ทว่า...
"แกว่าเรื่องจริงรึเปล่าอะ แต่ภาพชัดขนาดนี้ก็คงไม่น่าเป็นข่าวปลอมป้ะวะ"
"เฮ้ย! เบาดิแก เขาเดินมาโน่นแล้ว"
"อุ๊ย...เขาจะได้ยินไหมวะแก"
ทันทีที่ผมเดินเข้าไปยังแผนกของตัวเองก็ทำให้ได้ยินเสียงซุบซิบที่ค่อนข้างจะดังพอสมควร แถมสายตาของพนักงานหญิงสองคนนั้นก็ยังมองมาที่ผมด้วยสายตาสั่นไหว
ผมหันมองเล็กน้อยแต่พวกหล่อนก็หลบสายตาและเดินหนี นั่นจึงทำให้ผมไม่คิดสนใจก่อนจะเดินตรงไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองอย่างรวดเร็ว
"มันมาโน่นแล้ว!"
"เฮ้ยไอ้เต มึงมานี่เลย!"
ก่อนที่จะหย่อนกายลงบนเก้าอี้ เพื่อนสนิทอย่างนิคและวิทก็รีบตรงปรี่วิ่งเข้ามาหาผมด้วยท่าทางร้อนรนจนนึกแปลกใจ ทั้งสีหน้าและแววตาของพวกมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่ากำลังมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ ๆ
งานเข้าแต่เช้าเลยเหรอวะ...?
"มีอะไรวะ"
"มึงเห็นข่าวนี้ยัง"
"ข่าวอะไร" ผมถามกลับซึ่งก็เป็นจังหวะที่ไอ้วิทส่งโทรศัพท์ของมันมาให้ผมพอดี
บนหน้าจอเปิดข่าวที่มีรูปภาพค้างเอาไว้ พอเลื่อนอ่านตัวอักษรก็ทำให้ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
"'ภาพเด็ดดาราดัง ควงหนุ่มออฟฟิศไปกลางห้าง'…เหี้ยไรวะเนี่ย!"
ผมอ่านตามตัวอักษรที่ข่าวได้เขียนเอาไว้ ซึ่งภาพที่ขึ้นพาดหัวข่าวก็เป็นผมและเมลที่กำลังจับมือกันอยู่ในห้าง มันเป็นเหตุการณ์เมื่อสามวันที่ผ่านมาเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นภาพที่ไม่ชัดเจนมากแต่ผมก็มองออกว่ามันคือตัวผมและเมลบีจริง ๆ
"นั่นดิ เหี้ยไรวะเนี่ย..."
"มึงเลื่อนไปอ่านคอมเมนต์ดิไอ้เต"
คำพูดของไอ้วิททำให้ผมเลื่อนนิ้วปัดหน้าจอลงไปอ่านข้อความข้างล่าง ซึ่งมันเป็นคอมเมนต์ที่ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้โดยเฉพาะ
"โอ้โห...ไอ้สัส เจ็บเหี้ย ๆ"
พอเลื่อนอ่านมาได้เพียงไม่กี่ประโยคก็ทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และสบถด่าออกมาทันที แน่นอนว่ามันต้องเป็นคอมเมนต์ที่ไม่ดีและทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดจนแทบอยากจะตรงเข้าไปค่อยหน้าไอ้พวกเกรียนคีย์บอร์ดสักหมัดสองหมัด
'เป็นถึงนางเอกดังทำไมถึงคบพนักงานออฟฟิศอะ เมลหนีไป! หนีไปให้ไกล ๆ เลยเมลลูกกกก'
'นั่นไงว่าแล้วเชียวใช่จริง ๆ ด้วย นี่เคยเห็นเมลกับผู้ชายคนนี้หลายรอบแล้ว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เดินจับมือขนาดนี้ก็คงเป็นแฟนจริง ๆ แหละ เฮ้อไม่น่าเลยเมลบี อุตส่าห์จิ้นให้คบกับพระเอกเรื่องใหม่'
'แต่นางก็หล่ออยู่นะ ขนาดภาพไม่ชัดยังหล่อเลยอะ เป็นแค่พนักงานแล้วไงอะ ก็คนเหมือนกันป้ะ งงชาวเน็ตพวกแกจะดราม่าอะไรกัน?'
'นี่ก็ว่าแฟนนางหล่อนะ หุ่นก็ดีด้วย แต่ก็นะ...นางเป็นถึงนางเอกดังอะ อยากให้คบกับพวกไฮโซรวย ๆ มากกว่า'
'โอ๊ยสู! เขาจะคบกับใคร เดินห้างกับใคร ไปไหนกับใครมันก็เรื่องของเขาจบนะ! จะดราม่าอะไรกันคะ ดาราก็คนค่ะ เอาเวลาไปทำชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นเถอะ ลำไย!'
นี่แหละ...คอมเมนต์ที่ผมได้เห็นผ่านตามาคร่าว ๆ มีทั้งดีและไม่ดี แต่ส่วนมากเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์มันคือคอมเมนต์ด่าทั้งนั้น!
แม่งเอ๊ย...หงุดหงิดฉิบ!
"ข่าวมันหลุดไปได้ไงวะ"
"กูไม่ได้สงสัยว่าข่าวมันหลุดไปได้ยังไง แต่ที่กูสงสัยเนี่ยก็คือการที่คนเป็นแฟนกันออกไปเดินห้างด้วยกันแล้วทำไมมันถึงเป็นข่าวได้วะ สัสเอ๊ย! เอาเวลาไปเขียนข่าวนายกโง่ โกงกินงบประมาณดีกว่าไหม ทีข่าวแบบนั้นน่ะปิดหูปิดตา ไอ้ควาย!"
"สัส...ใจเย็นดิวะ"
"ใจเย็นเหี้ยอะไร! เป็นมึงมึงใจเย็นได้เหรอวะกูถามหน่อย ดาราก็คนไหม เขาก็ต้องมีเวลาส่วนตัว อย่าให้กูรู้นะว่าใครเขียนข่าวนี้ กูจะฟ้องแม่งให้หมด!"
ยอมรับว่าตอนนี้ผมกำลังคุมสติของตัวเองไม่ได้ แถมยังพาลโวยวายจนไม่สนใจคนอื่นที่มองมาอีก
"งั้นมึงก็ฟ้องแม่งเลยดิ แล้วก็ถือโอกาสเปิดตัวไปเลยว่าพนักงานออฟฟิศธรรมดาอย่างมึงนี่แหละเป็นถึงลูกชายเศรษฐีธุรกิจร้อยล้าน!"
"มึงพูดบ้าอะไรวะไอ้นิค!" ผมตวัดสายตามองค้อนใส่เพื่อนสนิทที่หัวเราะไม่ดูเวล่ำเวลา
"เอ่อ...โทษทีวะ กูแค่..."
"ร้อยล้านเหี้ยไร พันล้านต่างหากโว้ย!"