ตอนที่ 7ชื่อตอน เป็นแม่ให้เสียเถิด

1529 คำ
มู่หลิงซือและมู่หานซือคือฝาแฝดใบหน้าคล้ายคลึงกันจนแยกแทบมิได้ สกุลมู่นั้นเป็นสกุลขุนนางฝ่ายบู๊มีอำนาจในชายแดนมีผลงานมากมายนัก บิดาของนางมีตำแหน่งเป็นเจิ้นเป่ยโหว พี่ชายของนางถือตำแหน่งซื่อจื่อแต่ผลงานนั้นก็โดดเด่นเกินบิดาของนางมากไปแล้ว มู่หลิงซือนั้นเป็นสตรีที่ทั้งแคว้นนั้นเล่าลือกันปากต่อปากไปว่า นางนั้นงดงามอ่อนหวานดั่งนกขมิ้นน้อยๆในกรงทอง ว่ากันว่าเสียงนางหวานปานน้ำผึ้งในฤดูสารท ยามที่นางก้าวย่างนั้นงดงามดั่งนางพญาหงส์ แต่นั่นล่ะคือสิ่งที่บิดานางตั้งใจนักหนาอยากจะให้เป็น ส่วนชีวิตของนางนั้นหรือ นางควบม้าสับเปลี่ยนตนเองอยู่ในค่ายชายแดนอย่างไรเล่า ทหารเดนตายทั้งหลายล้วนคุ้นชินกับนางดี นางมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่นในกองทัพอยู่มากนัก ยามที่พี่ชายของนางตกเขาลงไประหว่างรบ นางก็สวมรอยแทนทำศึกพิชิตสามดินแดน ก่อนที่พี่ชายของนางจะถูกค้นพบได้ นั่นก็คือตำนานของนางเช่นนั้นเอง ผู้ใดจะรู้กันเล่าว่าอยู่ๆนางในคราบท่านแม่ทัพพิชิตสามดินแดน จะต้องมานั่งเลี้ยงเด็กผู้หนึ่งที่เรียกนางในคราบบุรุษว่าเป็นแม่กัน อีกทั้งยามเจ้าคนเป็นพ่อหน้าตายนั้นกลับมาจากสนามรบแล้ว นางก็ถูกประชิดกายและทำดวงตาหวานน้ำตาคลอใส่ในทันใด เหตุการณ์ในขณะนี้นั้นช่างล่อแหลมเป็นอย่างยิ่งนัก มู่หลิงซือนั้นถูกประชิดกายและขยับเข้ามาหา ร่างแกร่งขยับใบหน้ามาใกล้ชิดจนได้กลิ่นกายหอมเย็นสดชื่น จนนางแอบเผลอสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด "เพ๊ย ถวายบังคมองค์ไท่จื่อพะยะค่ะ กระหม่อมคือมู่หานซือ แม่ทัพพิทักษ์ชายแดนพะยะค่ะ ยามนี้กระหม่อมเพียงอาสามารับใช้องค์ชายน้อยเป็นการชั่วคราวเพียงนั้นเอง เพราะว่าองค์ชายน้อยเข้าใจผิดว่ากระหม่อมนั้นคล้ายคลึงกับพระมารดาพะยะค่ะ " ใบหน้าคล้ายปลาตายที่ขึงตึงแย้มรอยยิ้มส่องสว่างออกมาในทันใด "คุณชาย ลูกชายของเปิ่นไท่จื่อเอ่ยว่าท่านเป็นมารดา เช่นนี้ท่านก็ยอมเป็นมารดาให้ไปเสียเถิด องค์ชายน้อยยังเล็กเช่นนี้ ห่างอกมารดามานานนักเกรงว่าจะป่วยไข้ลงไปได้ ส่วนเรื่องชายแดนใต้ในยามนี้นั้น เปิ่นไท่จื่อจะส่งมู่เจิ้นเป่ยโหวลงไปเสียก่อน ยามที่เปิ่นไท่จื่อผ่านไปเยี่ยมเยียนนั้น ก็พบว่ามู่เจิ้นเป่ยโหวนั้นตื่นฟื้นขึ้นมาแล้วและยังเอ่ยว่าจะเร่งรีบไปตามหาของที่สูญหายไปในชายแดน จึงมิได้ร่ำลากันกับบุตรชายของตนเองแล้ว เช่นนี้คุณชาย ท่านก็เป็นแม่ไปก่อนเถิด จนกว่าเปิ่นไท่จื่อจะกล่าวเองว่ามิต้องการมารดาของบุตรแล้ว" เสียงสุดท้ายเจือความน่าขนลุกปนน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งนัก ร่างบางถึงกับขนลุกเกรียว ขนในกายลุกตั้งชันไปทั้งตัว ความรู้สึกมิอยากอยู่ใกล้ผสมเกลียดชังแผ่ออกมาจากกายนางอย่างมิรู้ตนในทันใด ใบหน้าคมขยับเข้ามาชิดและแสร้งยัดบางสิ่งลงในคอเสื้อของนางในทันใด ร่างบางแทบจะกรีดร้องขึ้นมาแล้ว แต่กลับนึกขึ้นมาได้จึงยั้งกายเอาไว้ได้ทัน "หยกผ่านทางนี้เก็บไว้ใช้ยามที่เจ้านั้นต้องการ เปิ่นไท่จื่อ หากเจ้าต้องการยามใดก็ยามนั้น ใช้หยกนี้ผ่านทางมาได้เลย เปิ่นไท่จื่อนั้นสะดวกอยู่ทุกยาม " มู่หนิงซือขนลุกเกรียว ด้วยเคยมีข่าวลือแปลกๆในหลายปีก่อนในวังหลวง เล่าลือกันไปว่า รัชทายาทองค์นี้นั้นเป็นต้วนซิ่วจึงมิสนใจในสตรีเพศ ยามที่สตรีใดถวายตัวเข้าในวังก็ทรงส่งกลับบ้านเดิมไปจนหมดสิ้น จิตของมู่หลิงซือพลันวิปลาสไปในทันใด หากว่าองค์ไท่จื่อวิปริตผู้นี้ทรงพบว่านางเป็นสตรี นอกจากโทษฐานหลอกลวงเบื้องสูงด้วยแล้ว นางคงโดนบีบคอตายหรือถูกบั่นคอตายในโทษฐานของการเป็นสตรีไปเป็นแน่แล้ว ร่างบางยิ้มเหือดแห้งเสมือนราชสีห์ใกล้หมดลมส่งไปให้องค์ไท่จื่อ และเร่งถวายบังคมลาออกไปในทันใด ใบหน้าคมขยับเข้าชิดและทำท่าจะหอมแก้มนางใกล้ๆ ร่างบางตื่นตกใจนักถอยจนหงายหลังไปในทันใด แต่มือหนาว่องไวกว่าช้อนเอวบางของนางไว้และรัดไว้ในอกตนอย่างว่องไว ส่งเสียงกระซิบเสียงแหบพร่าชวนร่างกายให้ขนลุกชันไปทั่ว "เหตุใดเจ้าจึงมิระวังกายเลยนะแม่ทัพมู่ หากบาดเจ็บขึ้นมาเล่าจะทำเช่นใดกัน " ร่างของมู่หลิงซือดันร่างแกร่งออกและเร่งเอ่ยขอบพระทัยออกไปในทันที นางใบหน้าบิดเบี้ยวและเร่งถวายบังคมลาออกไปในที่สุด "ขอบพระทัยพะยะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมนึกขึ้นมาได้ว่ามีบางสิ่งต้องไปทำแล้วพะยะค่ะ กระหม่อมขอทูลลาพะยะค่ะองค์ไท่จื่อ กระหม่อมขอทูลลา !!! " ร่างบางคุกเข่าลงไวๆและเร่งถอยหลังออกมาและวิ่งหนีออกไปจนสุดฝีเท้าในทันใด ก่อนจะมาหยุดหายใจและสบถลั่นในทันที "ฮึ้ย คิดแล้วก็ขยะแขยงนัก!!! " หลังเร่งถอยกรูดออกมาหลังจากไปเข้าเฝ้าแล้ว นางใส่เท้าสุนัขวิ่งออกมาอย่างมิคิดชีวิตเลยในยามนั้น ยามนี้หยุดหายใจหอบเหนื่อยแล้วจึงเดินไปมาในอุทยานหลวง สำรวจสิ่งต่างๆไปเรื่ิอยๆ สูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปในปอดอย่างเย็นใจ และเดินไปช้าๆจนถึงตำหนักขององค์ชายน้อย ยามถึงภายในยามนี้มิมีผู้ใดอยู่ มู่หลิงซือจึงแอบมองซ้ายมองขวาและก้มลงเด็ดดอกบัวมาสูดดมในทันใด ทำใบหน้าเคลิบเคลิ้มนัก "อื้ม หอมเย็นดีจังเลย อร่า" ยามที่นางกำลังหอมสูดดมดอกบัวอยู่อย่างเพลิดเพลินนั้น ร่างแกร่งในชุดทรงสีขาวลายเมฆาเคลื่อนและมีมังกรทะยานฟ้าปักทออยู่ ก็ขยับเข้ามาใกล้ๆยื่นใบหน้ามาสูดดมดอกไม้ดอกเดียวกันกับนางในทันใด "หอมเสียจริง หอมมากมายเสียจริงๆเลย" "เหวอ เฮ๊ย!!!! " ร่างบางตื่นตกใจอย่างยิ่งนักจนจะหงายหลังลงจะตกหล่นไปจากบนศาลา แต่ทว่ามือหนาคว้าเอวของนางเอาไว้ได้ทันและทั้งสองก็ร่วงลงไปที่พื้นศาลา ริมฝีปากของทั้งสองแตะกันในทันใด จุ๊บ...ฮรื้อ!!!! มู่หลิงซือตาโตเบิกค้างขึ้นมาในทันใด เร่งลุกขึ้นและถอยกรูดออกมาในทันที ใช้หลังมือเช็ดปากของนางอย่างตื่นตระหนก สวนทางกับใบหน้าคมที่แย้มรอยยิ้มออกมาบางๆขยับคลานคืบเข้ามาหานางและกระซิบเสียงแหบพร่าในทันใด "มิเคยจูบกับผู้ใดเช่นนั้นหรือ หืม ทำไมท่านถึงได้ทำท่าตื่นตกใจเช่นนี้ได้กันเล่า ท่านแม่ทัพมู่" ร่างบางส่ายหน้าพัลวัลดวงตาเหมือนลูกแกะน้อยๆที่ตื่นตกใจอย่างยิ่งนัก เสมือนยามที่ทรงพบนางในคราแรก นางตื่นกลัวและจดจำสิ่งใดมิได้เลย ดวงตาของนางครานั้นก็น่ารื่นรมย์เฉกเช่นนี้ หากว่านางจดจำสิ่งใดได้จริงๆ นางคงมิแสร้งเล่นละครมากมายถึงเพียงนี้ หงเสวี่ยนั้นแสดงละครมิเก่งนัก นางมักจะหน้าแดงยามถูกไล่ต้อนแต่มิตื่นตระหนกเฉกเช่นนี้เลย ยามคิดได้เช่นนี้แล้วใบหน้าคมก็แสยะยิ้มขึ้นมาในทันใด กระซิบเบาๆขึ้นมาอีกครั้ง "หากมิเคยทดลองมาก่อนแล้ว เช่นนี้มิลองให้เปิ่นไท่จื่อสอนเจ้าจุมพิตเสียหน่อยเล่าแม่ทัพมู่ " "เฮือก ม่าย ไม่นะพะยะค่ะ กระหม่อมมิใช่ต้วนซิ่ว กระหม่อมมิทดลอง กระหม่อมมิทดลองเป็นแน่แล้วฝ่าบาท !!!! " ใบหน้าคมทำหน้าเสียดายเบาๆและทำทีถอยห่างออกมาอย่างช้าๆ แต่มินานก็รวบร่างนุ่มเข้าไปในอกพลันและหอมแก้มของนางแรงๆ ใบหน้าของมู่หลิงซือขาวซีดและดิ้นรนไปมาในทันใด "ปล่อยกระหม่อมนะฝ่าบาท ปล่อยยย !!! " ใบหน้าคมขึงตึงขึ้นมาในทันใด หุบยิ้มและจู่ๆก็ปล่อยนางออกจากอ้อมอกของพระองค์ในทันที จนร่างบางที่ดิ้นอยู่ถึงกับหงายหลังลงไป ร่างหนาเอนกายเข้าหาอีกและกระซิบเบาๆในทันใด "จะส่งเสียงดังไปให้ได้อันใดขึ้นมากัน เปิ่นไท่จื่อจะหลอกสตรีทางนั้นต่างหาก เจ้ามิเห็นหรือว่าพวกนางส่งคนมาสอดแนมอยู่ตลอด ก็ตกลงกันไว้แล้วนี่ว่าเจ้าจะเป็นหมู่ชิน เปิ่นไท่จื่อก็กำลังทำหน้าที่ฟู่ชินอยู่อย่างไรเล่า เจ้านี่ช่างโง่งมเสียจริงๆเลยให้ตายเถิด ท่านแม่ทัพมู่"
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม