ตอนที่ 1 นักรบในเงามืด
ตอนที่ 1
นักรบในเงามืด
ในค่ำคืนอันเงียบสงัด ณ บริเวณรอยตะเข็บชายแดนจังหวัดหนึ่ง ของประเทศไทย สองหนุ่มนักฆ่าในชุดกิลลีสูท[1]ได้แฝงตัวอยู่ในป่ามานาน นับหลายชั่วโมงแล้ว โดยอาศัยทิวไม้รกครึ้มเป็นที่อำพรางตัว บรรยากาศ โดยรอบยามนี้เงียบสนิทจนไม่น่าไว้วางใจ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่านมาทักทายอยู่เป็นระยะ ทว่าพวกเขายังคงรอคอยอย่างใจเย็น โดยหวังว่าคืนนี้ เป้าหมายน่าจะปรากฏตัวออกมา
“ส่องมาตั้งนาน เห็นอะไรบ้างหรือยังวะเพื่อน”
ผู้พันปรานต์เอ่ยถามเพื่อนในขณะที่เขายังคงเทียบ M24 อาวุธคู่ กายไว้มั่น มือแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้ถุงมือหนังพร้อมที่จะเหนี่ยวไกได้ทุกเมื่อ
ถ้าพบเห็นสิ่งผิดปรกติ “ยัง…แม่ง…แม้แต่ยุงสักตัวยังไม่บินผ่านเลยว่ะ”
ผู้กองทัตเทพตอบกลับมาด้วยความยียวนตามสไตล์ พลางใช้ กล้องสำหรับส่องกลางคืนเล็งหาเป้าหมายไปเรื่อยๆ
แม้ทัตเทพจะดำรงยศต่ำกว่าเพื่อน แต่ทั้งสองคือเพื่อนซี้ที่ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายมาแล้วหลายงาน ไม่แปลกที่จะมีความสนิทสนม กันเป็นอย่างดี แต่ถ้าในสายการบังคับบัญชาการให้เกียรติเพื่อนก็เป็นอีก เรื่องหนึ่ง
“มึงก็น่าจะส่องมดด้วยซะเลย ห่…นี่”
ปรานต์ยอกย้อนกลับพร้อมมือแกร่งยื่นไปตบที่บ่ากว้างอีกฝ่าย เพื่อหยอกล้อ นอกจากเป็นเพื่อนรักกันแล้วการปะทะคารมก็เป็นเรื่องปรกติ ที่ทั้งสองชอบทำ
“ไอ้ปรานต์ ญาติมึงมา!”
ทันใดนั้นทัตเทพส่องไปเห็นชายฉกรรจ์ในชุดพรางสีแปลกออกไป เดินพ้นออกมาจากแนวป่าด้านขวา ชายหนุ่มรีบชี้พิกัดให้เพื่อนทันที
“ปรานต์ เป้าหมายพกปืนยาว ไม่มีอาวุธร้ายแรง…ระยะ 120 เผื่อลมตะวันตก”
เมื่อทัตเทพมาร์คเป้าหมายเป็นที่แน่นอน สายตาคมกริบดุจ พญาเหยี่ยวของผู้พันหนุ่มจึงเล็งผ่านสโคป[2]เพื่อจับเป้าหมายทันที
“จับเป้าได้แล้ว!” ปรานต์ยืนยันกลับไป ก่อนที่ทัตเทพจะร้องสั่ง“พร้อม…ยิง!”
“ปัง!”
ปรานต์ซึ่งทำหน้าที่เป็นพญามัจจุราชกดนิ้วลั่นไกโดยไม่ลังเล กระสุนเพียงหนึ่งนัดที่มือเพชฌฆาตระดับพระกาฬส่งออกไป มันได้พุ่งเข้า บริเวณศีรษะของเป้าหมายอย่างแม่นยำราวกับจับวางโดยไม่ทันจะรู้ตัว ร่างของทหารฝ่ายกบฎผู้โชคร้ายล้มทั้งยืนขาดใจตายทันที
ปรานต์ขึ้นกระสุนนัดต่อไปอย่างรวดเร็ว สายตายังคงเล็งผ่านสโคป เพื่อรอให้ทัตเทพมาร์คพิกัดต่อไป
เพื่อนนักรบฝ่ายกบฏที่ตามมาทันเห็นเพื่อนถูกลอบสังหาร เขาตะโกนโหวกเหวกเป็นภาษาพื้นเมืองด้วยความตกใจอย่างสุดขีด ที่เห็น เพื่อนต้องมาล้มลงต่อหน้าจากคมกระสุนที่มองไม่เห็น ก่อนใช้ปืนยิง กราดอย่างไม่รู้ทิศทางราวคนบ้าคลั่ง
“ปรานต์ เป้าหมายระยะ 120 เผื่อขวาหนึ่งคลิ๊ก ยิงเมื่อพร้อม!”
ทัตเทพร้องบอกพิกัดอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมล่าถอยกลับไป
“โอเคเพื่อน!”
ปรานต์รับทราบพร้อมปรับมุมสโคปเล็กน้อย ปลายนิ้วแกร่งลาก เข้าโกร่งไกทันที
“ปัง!”
กระสุนนัดที่สองถูกส่งออกไปจากปลายกระบอก M24 มันหยิบยื่น ความตายให้อีกหนึ่งชีวิตทันที
“ปังๆๆๆ!”
กองกำลังซุ่มยิงอีกชุดของกองทัพไทยที่ฝังตัวอยู่ตามแนวชายป่าได้ยิงสวนออกไปทันที เมื่อเหล่ากองทัพกบฏกระจายกันออกมาราวผึ้งแตกรัง เพราะรู้ว่าฝ่ายตนถูกซุ่มโจมตี ต่างฝ่ายต่างยิงตอบโต้กันไปมาโดยอาศัย เนินดินเป็นที่กำบังตัวจากคมกระสุนที่สาดซัดกันลั่นผืนป่า เกิดฝุ่นควันลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ
“ฟิ้ววว…บึ้มมม!”
เสียงแปลกประหลาดนั้นบ่งบอกว่าไม่ใช่เสียงปืนแน่ มันกลิ้ง หลุนๆ ไประเบิดแถวเนินดินที่นักรบไทยฝังตัวอยู่
“ฉิ…หายแล้วไอ้ทัต มันเล่นพวกเรา!”
ปรานต์ตะโกนออกไปเมื่อเสียงระเบิดดังขึ้น สายตาคู่คมเล็งผ่าน สโคปอีกครั้งเพื่อหามือระเบิดเมื่อสักครู่
“ปรานต์ พุ่มไม้ตะวันตกระยะ 130 ในมือมี M-26 เตรียมพร้อมไว้”
“รู้จักสไนเปอร์มือหนึ่งอย่างกูน้อยไปแล้ว ไอ้สารเลว!”
ปรานต์สบถออกมาเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมล่าถอยกลับไป แถมยังเหิมเกริมโจมตีทางฝ่ายตนกลับมาด้วยระเบิดลูกเกลี้ยง
“ปัง!”
ลูกตะกั่วร้อนๆ พุ่งแหวกอากาศจนทะลุศีรษะมือระเบิด M26 อย่างแม่นยำ ผลคือร่วงไปอีกหนึ่งจากน้ำมือผู้พันหนุ่ม ที่จริงเขาไม่อยากฆ่าใครด้วยวิธีลอบสังหาร แต่มันคือการข่มขวัญอย่างหนึ่งให้ศัตรูกลัว
“ปังๆๆ!”
การปะทะยังคงดังอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายนาที ก่อนที่ทุกอย่างจะ สงบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่ตามมาคือกองทัพกบฏชุด ลาดตระเวนเสียชีวิตทั้งหมด
“ตายเรียบเลยว่ะ…ยังบ้าระห่ำเหมือนเดิมนะมึง”
ทัตเทพเอ่ยออกมาเมื่อเขาส่องกล้องไปโดยรอบ แล้วเห็นร่างของ ทหารฝ่ายตรงข้ามนอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจอยู่ตามแนวชายป่าหลายสิบนาย
“ถึงอย่างไรกูก็ไม่อยากฆ่ามันหรอก แต่มันก็ไม่ยอมหยุดฆ่า ประชาชนของเรา ช่วยไม่ได้มันอยากหาที่ตายกันเอง”
ปรานต์หันไปมองหน้าเพื่อนพลางถอนหายใจเล็กน้อย เพราะทุก ครั้งที่ปลายนิ้วของเขาทำงาน และคมกระสุนที่ถูกส่งออกไปจากปลายกระบอกปืนเพียงหนึ่งนัด นั่นหมายถึงหนึ่งชีวิตต้องล้มหาย ทั้งที่ใจจริงแล้ว เขาเองก็ไม่อยากให้มันลงเอยแบบนี้ แต่ในเมื่ออีกฝ่ายล้ำเส้นกันเกินไป เขาก็จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องอธิปไตยของชาติ รักษาความสงบสุขเอาไว้ โดยที่คนนอกไม่มีวันรู้เลยว่าทหารมือสังหารอย่างเขานั้นวันๆ ทำงานอะไรบ้าง
“กูว่านะ…ถ้ามันรู้ว่าเป็นฝีมือของกูกับมึง สงสัยนายใหญ่ของมัน คงสายตรงมาเพิ่มค่าหัวของเราสองคนแน่ๆ อุตส่าห์หนีจากใต้มาอยู่นี่ก็ยังไม่วายรังควานพวกมันนะมึง ฮ่าๆๆ”
ทัตเทพหัวเราะชอบใจใส่หน้าเพื่อนท่ามกลางความสลัว ก่อนหันไปส่องกล้องเล็งโดยรอบพื้นที่อีกครั้งเพื่อตรวจสอบสถานการณ์
“ถ้าอย่างนั้นหน้าหล่อๆ ของกูก็คงขายได้หลายแสนล่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นกูก็หลักล้าน หากจะขายกันที่ความหล่อแบบนี้”
“มึงไปเอาความมั่นใจผิดๆ แบบนี้มาจากไหน”
เมื่อปรานต์พูดจบ สองหนุ่มพากันประสานเสียงหัวเราะอย่าง สนุกสนาน ราวกับว่าเรื่องที่อีกฝ่ายพูดนั้นเป็นเรื่องตลกขบขัน แท้จริงแล้ว มันมีความนัยแฝงมากกว่านั้น การทำตัวให้ร่าเริงถือว่าเป็นจิตวิทยาอย่าง หนึ่งที่ต่างฝ่ายต่างแสดงออกมา เพื่อไม่ให้คนใดคนหนึ่งต้องคิดมาก กับการกระทำที่ดูเหมือนโหดเหี้ยมป่าเถื่อนในคืนนี้
ปรานต์รายงานสถานการณ์ผ่านวิทยุสนามเมื่อแน่ใจว่าภายในรัศมีโดยรอบไม่มีสิ่งผิดปรกติแล้ว ชุดที่รับผิดชอบจึงเข้าเคลียร์พื้นที่ทันที ก่อนที่จะพากันกลับฐานบัญชาการที่ตั้งอยู่บนภูสูง เพื่อคิดหายุทธวิธีรับมือกับ กองทัพกบฏอีกครั้ง คราวนี้ถือว่าเป็นโชคดีของนักรบไทย เมื่อเกมนี้เป็น ฝ่ายกุมชัยชนะ
การปะทะเกิดขึ้นระหว่างกองกำลังทหารกบฏของประเทศเพื่อน บ้านที่เรียกตัวเองว่ากองทัพสหราชอาณาจักรว้า และกองกำลังนักรบไทย ซึ่งอยู่ในเขตความรับผิดชอบของพันตรีปรานต์ ปราบดาไพศาล ผู้พันหนุ่ม มาดนิ่งแต่ทว่ามีความบ้าระห่ำอยู่ในสายเลือดวัยสามสิบต้นๆ
สาเหตุที่ผู้พันปรานต์และผู้กองทัตเทพ ซึ่งในอดีตเคยเป็นสไนเปอร์ มือหนึ่งทำงานอยู่ชายแดนใต้มาก่อน ต้องลงพื้นที่เองในครั้งนี้เนื่องจากผู้ใต้ บังคับบัญชาสองนายซึ่งเป็นมือสไนเปอร์ประจำฐาน ได้รับบาดเจ็บจาก การปะทะคราวก่อน ด้วยความแค้นที่มีต่อกองทัพกบฏที่เพิ่งสังหาร ชาวบ้านฝั่งไทยไปอย่างโหดเหี้ยมเพราะต้องการท้าทายทางการไทย ปรานต์จึงเลือกที่จะเข้ามาลงมือเองในคืนนี้ โดยมีคู่หูที่เคยทำงานคู่กัน มาเป็นเนวิเกเตอร์ให้ จุดประสงค์ของเขานั้นต้องการส่งสัญญาณเตือนให้ อีกฝ่ายได้ทราบว่า เขาเองกำลังจะเปิดการรบอย่างจริงจัง ถ้าหากกองทัพ กบฏเหล่านี้ยังไม่ยอมเลิกราเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเขตประเทศไทย
ซึ่งการปะทะกันเป็นระยะๆ ตามแนวชายแดนนี้ได้สงบลงไป หลายเดือน ก่อนจะกลับมาร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง ซึ่งคืนนี้ถือว่าเป็นครั้งที่สอง แล้ว ที่มีการปะทะกันค่อนข้างรุนแรง โดยก่อนหน้านั้นทหารฝ่ายไทย ได้ทำการลาดตระเวนมาแล้วหลายวันเพื่อตรวจหาร่องรอยความผิดปรกติ และไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้เลยว่าสงครามย่อยๆ คราวนี้จะสงบลงวันใด
“อะไรนะ พี่ปรานต์ไม่กลับบ้าน!”
ผู้มาเยือนตะคอกออกมาอย่างหัวเสียส่งผลให้อีกฝ่ายหนึ่งถึงกับ สะดุ้งด้วยความตกใจ นิสัยขี้โวยวายเอาแต่ใจของหญิงสาวตรงหน้า คนในบ้านนี้รู้กันเป็นอย่างดี
“อ่ะ เอ่อ คือ คือว่า..ผู้พันเพิ่งโทรมาบอกเมื่อเช้านี้เองว่าเปลี่ยนใจไม่
กลับบ้านแล้วน่ะค่ะ เห็นว่าจะเข้าป่าต่ออีกหลายวันและไม่ได้บอกด้วยค่ะ ว่าจะกลับเมื่อไหร่”
สาวใช้นามว่าเปรียวแต่รูปร่างตุ้ยนุ้ย กลั้นใจตอบด้วยความรวดเร็ว จนฟังแทบไม่ทัน ด้วยกลัวว่าถ้าเว้นช่องว่างแล้ว จะเกิดเสียงกรี๊ดตามมา ก่อนที่จะอธิบายจบ
“ไม่ได้รวมหัวโกหกฉันแน่นะ นี่เขาคิดจะย้ายสำมะโนครัวไปในป่าแล้วใช่มั้ย หรือว่าจริงๆ แล้วพี่ปรานต์เขาไปติดสาวที่ไหนกันแน่ ถ้าฉันรู้แกตายแน่โทษฐานที่รวมหัวกันโกหก”
“เอะอะโวยวายอะไรกัน!”
เจ้าของเสียงที่กำลังย่างเท้าลงบันไดมาจากชั้นสองแสดง สีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก ส่งผลให้ผู้มาเยือนถึงกับหน้าเปลี่ยนสี หญิงสาวรีบยกมือสวัสดีทักทายด้วยกิริยามารยาทที่ต่างจากเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง
“สวัสดีค่ะ คุณย่า กำลังคุยกับเด็กในบ้านถึงได้รู้ว่าพี่ปรานต์ไม่กลับบ้านอีกแล้วเหรอคะ”
“อ๋อ…นึกว่าเรื่องอะไร เด็กไม่โกหกหรอก ปรานต์เค้าไม่กลับมา จริงๆ นั่นแหละ ย่าต้องขอโทษด้วยนะที่ไม่ได้โทรศัพท์ไปบอกหนูก่อน พอดีพี่เขาติดภารกิจด่วนถึงมาวันนี้ไม่ได้”
“อ้าว….เหรอคะ แล้วก็ไม่บอกกันบ้าง ยังเห็นมะปรางเป็นคนสำคัญ อยู่รึเปล่า คอยดูนะถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะไม่พูดด้วยเลย”
“ตาปรานต์นะตาปรานต์ แล้วก็ไม่โทรบอกน้อง”
การที่คนพูดทำท่ากระเง้ากระงอดไม่พอใจ คุณย่าปราณีต้องต่อว่า หลานชายตัวดีที่ขยันทำเรื่องให้ปวดหัวอีกครั้ง ท่านกำลังไม่เข้าใจในตัวสองหนุ่มสาวที่ฝ่ายหญิงนั้นเผยใจจนหมดเปลือก แต่หลานชายตัวนั้นกลับทำมึนไม่รู้ไม่ชี้ จะเผยใจว่ารักหรือจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ก็ไม่เลือกสักทาง
“คุณย่าก็ดูเอาเถอะค่ะ หลายครั้งแล้วนะคะที่เป็นแบบนี้”
“มะปรางต้องเข้าใจนะ ชีวิตทหารก็เป็นแบบนี้ หลานย่าเค้าเลือก เดินทางนี้ไปแล้ว ความเข้าใจกันคือสิ่งสำคัญสำหรับคนสองคนนะ”
รอยยิ้มปลอบใจถูกส่งมาให้ หล่อนพยายามพูดให้อีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจ เพื่ออารมณ์จะได้เย็นลงขึ้นมาบ้าง
“ค่ะ มะปรางจะพยายามเข้าใจนะคะคุณย่า ยังไงวันนี้ขอตัวก่อน นะคะ”
รินรดารับปากอย่างเสียมิได้ หญิงสาวยกมือไหว้เอ่ยคำลาแล้ว หันหลังกลับไปด้วยความหงุดหงิดใจ คุณย่าปราณีได้แต่มองตามร่าง ระหงนั้นไปก่อนถอนใจออกมา
คุณย่ากำลังคิดด้วยความกลัดกลุ้มใจว่าถ้าในอนาคตพ่อหลานชายตัวดีเกิดบอกว่าไม่เคยคิดอะไรมากกว่าพี่น้องอะไรจะเกิดขึ้น แต่ด้วย ความที่รู้จักนิสัยใจคอของปรานต์ดีที่สุดจึงค่อนข้างแน่ใจว่า เขาคง กำลังจะบอกเป็นนัยๆ ว่ารินรดาไม่ใช่ผู้หญิงคนสุดท้ายที่จะยอมลงเอยด้วย แน่นอน
[1] ชุดสำหรับพรางตัวของสไนเปอร์ ออกแบบให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เข้าไปแฝงตัว
[2] กล้องติดปืนสำหรับเล็งระยะไกล