เมื่อนางมารตีได้ทราบถึงเงื่อนไขข้อตกลงก็โวยวายใส่นายหัวภาคินเพราะข้อตกลงของทั้งสองคนทำให้มารตียังรู้สึกว่าลูกสาวของตนเองยังเสียเปรียบนายหัวภาคินอยู่
"นายหัวได้ลูกสาวฉันเป็นเมียแล้ว จะเลี้ยงลูกฉันเป็นแค่เมียเก็บไม่ได้นะแบบนี้ลูกสาวของฉันก็เสียเปรียบนายหัวนะสิ" นางมารตีโวยวาย
"แม่ ผึ้งกับนายหัวเราตกลงกันแล้ว เขาจะรับผิดชอบดูแลผึ้งจะส่งให้ผึ้งเรียนต่อเราจะไม่แต่งงานกันค่ะ"
"ได้ยังไง แกเป็นเมียของเขาแล้วเขาก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นฉันจะแจ้งความคดีพรากผู้เยาว์ ลูกสาวของฉันอายุยังไม่ครบสิบแปดเลยนะนายหัว" นางมารตีข่มขู่ด้วยความไม่พอใจนายหัวภาคิน
"แม่ หยุดเถอะค่ะ หยุดพูดได้แล้ว อย่าทำให้ผึ้งดูไม่มีค่าไม่มีราคามากไปกว่านี้เลยนะคะ อย่าลืมสิคะแม่ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเกิดจากแม่เป็นคนวางยานายหัวกับผึ้งเพื่อทางออกของแม่ แม่ระแวงหึงหวงลูกสาวตัวเองถึงกับขนาดวางแผนทำร้ายผึ้งและทำร้ายนายหัว ดีเท่าไหร่แล้วคะที่นายหัวเขาไม่แจ้งความจับแม่เข้าคุก ภาพจากกล้องวงจรปิดมันก็ฟ้องชัดเจน รวมถึงเรื่องที่แม่แกล้งไปขอกุญแจสำรองห้องพักของนายหัวไว้ก่อนที่จะวางยาผึ้งอีก มีทั้งภาพจากกล้อง มีทั้งพยานบุคคลแบบนั้นแม่ลองคิดดูให้ดีเถอะค่ะ ใครกันแน่ที่ต้องเข้าไปอยู่ในคุกกัน" มธุรสเหลือทนกับแม่จึงพูดในสิ่งที่คิดออกไปตามตรง
"นี่น้ำผึ้ง นี่ยังไม่ทันไรแกริอ่านเข้าข้างผัวของแกแล้วเหรอ ฉันเป็นแม่ของแกนะ แล้วเรื่องที่ฉันทำลงไปแกน่ะต้องขอบคุณฉันถึงจะถูก อย่างน้อยที่สุดแกก็มีผัวเป็นเศรษฐี ดีกว่าที่จะต้องมาแบ่งผัวใช้กับแม่ของตัวเองไม่ใช่เหรอ" นางมารตียังไม่หยุดโวยวายและไม่ได้สำนึกถึงความผิดชอบชั่วดีแต่อย่างใด
"แม่ แม่พูดอะไร ผัวรวยอะไรกันคะแม่ นายหัวเขาพูดอยู่ไม่ได้ยินเหรอคะว่าเขารับเลี้ยงผึ้งเป็นเมียเก็บ ไม่ได้เลี้ยงเป็นภรรยาของเขา มันน่าภาคภูมิใจนักเหรอคะกับการเป็นเมียเก็บคนรวยแลกกับเงินให้เขาส่งเรียนมันน่าภูมิใจมากเลยเหรอคะแม่ ไม่รู้สินะคะแม่อาจจะภูมิใจแต่ผึ้งไม่ได้ภาคภูมิใจเลยค่ะ" มธุรสต่อว่าแม่ของตัวเองน้ำเสียงเหนื่อยใจ
"พอได้แล้วคุณมารตี ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว คุณเป็นคนที่ทำให้เรื่องวุ่นวายนี้มันเกิดขึ้นผมขอสั่งให้คุณหยุดพูดไปเลย" นายหัวไกรสีห์พูดปรามมารตีเสียงดุ
"แต่มารตีเป็นแม่นะคุณสิงห์ มารตีควรได้รับค่าสินสอดค่าน้ำนมบ้าง อย่างน้อยที่สุดพ่อแม่ของนายหัวภาคินก็สมควรจะมาสู่ขอลูกสาวของมารตีตามธรรมเนียมนะคะ" นางมารตียังไม่หยุดเรียกร้อง
"ได้ครับ เรื่องสินสอดผมจะให้เงินคุณจำนวนหนึ่งล้านเป็นค่าน้ำนมของลูกสาวของคุณ วันนี้ผมจะโอนให้คุณเลยและคุณต้องเซนต์หนังสือยินยอมมอบมธุรสที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะให้อยู่ในความดูแลของผมก่อน ส่วนเรื่องสู่ขอตามประเพณีเห็นทีจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเรื่องของผมกับลูกสาวของคุณแม่ของผมก็คงยังไม่เห็นด้วยที่จะให้ผมแต่งงานกับลูกสาวของคุณในตอนนี้ ผมคงไม่บอกพ่อกับแม่ผมในตอนนี้หรอกครับ เอาเป็นว่าผมขอพูดจาสู่ขอลูกสาวของคุณให้กับตัวผมเองเสียในวันนี้เลยแล้วกันนะครับ" สิ่งที่นายหัวภาคินพูดออกมากทำให้มธุรสนั้นอับอายมากแม้แต่มารตีเองก็หน้าม่านอับอายนายหัวภาคินเช่นกัน
"อคินแต่พี่ว่ามันดูจะผิดธรรมเนียมไปนะ ถึงแกจะขอเมียให้ตัวเองแต่มันก็ควรจะดูฤกษ์ดูยามเสียหน่อย อย่างน้อยก็ขอให้เป็นพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่ามั้ยวะ" นายหัวไกรสิงห์เสนอความเห็น
"ถือฤกษ์สะดวกนี่แหละครับพี่สิงห์ ผมสู่ขอและจ่ายเงินสินสอดวันนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้วผมจะพามธุรสกลับไปกับผมเลย ฤกษ์ดีก็คือเมื่อคืน ผมก็เข้าหอกันแล้วคงไม่จำเป็นต้องมีพิธีอะไรอีกมั้งครับ"
"แต่ฉันอยากให้ลูกสาวคนเดียวของฉันได้แต่งงาน นายหัวควรจะจัดงานแต่งงานให้ลูกสาวของมารตีนะคะ อย่างน้อยน้ำผึ้งจะได้ไม่ต้องอับอายคนแถวนี้ว่าหอบผ้าหอบผ่อนตามไปอยู่กับนายหัวเฉยๆ ไปเป็นเมียเก็บของนายหัวให้ต้องอับอายผู้คน"
"นั้นสิวะอคิน จัดหน่อยเถอะฉันจัดให้ก็ได้ฉันสงสารหนูน้ำผึ้งเขานะ" นายหัวไกรสีห์เห็นด้วยกับมารตีในประเด็นนี้
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะอาสิงห์ ผึ้งว่าอายตอนนี้เสียเลยก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะยังดีกว่าต้องมาอับอายภายหลัง อยู่แบบเมียเก็บแบบเงียบๆ ดีกว่าป่าวประกาศให้สังคมรู้ สุดท้ายเราก็ต้องเลิกกันเมื่อครบสัญญาสี่ปีทีนี้ยิ่งกว่าอับอายเมื่อตอนหมดสัญญาต้องเลิกกันไปนะคะ"
"งั้นก็ตามนี้นะครับพี่สิงห์ ผมกับน้ำผึ้งเราสองคนตกลงกันแล้วและสะดวกให้เป็นไปตามนี้ครับ"
"เออ ก็แล้วแต่ทั้งสองคนเถอะ" นายหัวไกรสีห์พูดยอมรับการตัดสินใจของทั้งสองคน
"งั้นผมขออนุญาตขึ้นไปช่วยเมียเก็บของนะครับพี่สิงห์ เก็บของเสร็จแล้วผมลงมาโอนเงินค่าน้ำนมให้คุณแม่ยาย ถือเป็นอันเสร็จสิ้นพิธีการสู่ขอเมียให้ตัวเองนะครับ" นายหัวภาคินพูดสรุปและเดินไปคว้าข้อมือมธุรสพาขึ้นไปเก็บของที่ห้องนอนของมธุรสโดยไม่ได้สนใจสองคนผัวเมียที่ยืนมองมายังนายหัวภาคินและมธุรสอย่างงงๆ
"เออ สู่ขอเสร็จแบบนี้คงไม่ถือว่าหนีตามกันไปหรอกนะ" เมื่อคล้อยหลังนายหัวภาคินกับมธุรสแล้วนายหัวไกรสีห์ก็พูดกับตัวเองขึ้นเบาๆ
เมื่อเดินมาถึงห้องนอนของมธุรส
"นายหัวนั่งคอยก่อนแล้วกัน ฉันขอเก็บของแป๊บเดียวไม่นาน ของฉันมีไม่ค่อยเยอะหรอกค่ะ" มธุรสบอกเสร็จก็เดินเข้าไปเก็บเครื่องสำอางของใช้ส่วนตัวของผู้หญิงในห้องน้ำ นายหัวภาคินก็นั่งรอที่เตียงสายตาก็มองไปรอบๆ ห้องและเหลือบไปเห็นเอกสารผลการเรียนของมธุรสที่วางอยู่ข้างหัวเตียง
"เกรดเฉลี่ย3.85 เลยเหรอวะ เรียนเก่งใช้ได้เลยไม่น่าเวลาพูดจาดูมีความคิด ไม่เหมือนแม่สักนิด"
"สอบเข้าคณะบัญชีมหาวิทยาลัยดังระดับประเทศได้ด้วย เก่งไม่ธรรมดา"
นายหัวภาคินพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วก็ยิ้มน้อยๆ ออกมาอย่างพึงพอใจก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าการที่รู้ว่าเมียเรียนเก่งสอบเข้ามหาวิทยาลัยดังได้ทำไมมันถึงได้รู้สึกดีแบบนี้กันนะ
"ไอ้บ้า น้ำผึ้งมาเป็นเมียมึงเว้ยไอ้อคิน ทำไมมึงต้องดีใจอารมณ์แบบลูกสาวมึงสอบได้ที่หนึ่งของจังหวัดหรือลูกมึงสอบเข้าโรงเรียนดังระดับจังหวัดได้แบบนั้นด้วยวะกู" นายหัวภาคินพูดดึงสติตัวเองเบาๆ หลังจากนั้นไม่นานมธุรสก็เก็บของในห้องน้ำเสร็จแล้วเดินกลับออกมา
"นั่นคุณทำอะไรน่ะ" มธุรสถามขึ้นเมื่อเดินออกมาแล้วเห็นนายหัวภาคินหยิบเอกสารใส่ซองและวางไว้ตามเดิม
"เปล่า ผมแค่แอบดูเกรดกับผลสอบของคุณเฉยๆ เก็บของเสร็จแล้วยังจะให้ช่วยอะไรมั้ย"
"ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ เหลือเก็บเสื้อผ้าแค่ไม่กี่ชุด คุณช่วยอยู่เฉยๆ ก็พอ" มธุรสพูดเหน็บแสดงออกให้รู้ว่าไม่พอใจที่นายหัวภาคินแอบอ่านเอกสารส่วนตัวของตนเอง
"ปากคอเธอนี่ก็ไม่เบาเหมือนกันนะ ไม่เห็นจะหวานเหมือนชื่อ ปากนี่ยังกับใบมีดโกนอาบยาพิษ" นายหัวภาคินว่าแล้วนั่งรอจนมธุรสเก็บของเสร็จ เมื่อเก็บของเสร็จแล้วนายหัวภาคินก็ได้ช่วยยกกระเป๋าลงมาข้างล่าง
"พร้อมจ่ายค่าสินสอดแล้วครับคุณแม่ยาย" นายหัวภาคินเดินกลับมาที่ห้องรับรองแขกแล้วจัดการโอนเงินเข้าบัญชีให้มารตีเป็นค่าสินสอดของมธุรสจำนวนหนึ่งล้านบาท เมื่อจ่ายค่าสินสอดเสร็จแล้วนายหัวภาคินก็ได้พามธุรสกลับสวนยางของตนเองแต่ระหว่างทางกลับมธุรสก็ได้ขอแวะร้านขายยาก่อน
"นายหัวช่วยแวะร้านขายยาให้ฉันหน่อยได้มั้ยคะ"
"เธอไม่สบายเหรอ ผมคิดว่าถ้าไม่สบายก็ควรไปหาหมอจะดีกว่า"
"ฉันไม่ได้ป่วยค่ะ แต่จะขอลงไปซื้อยาคุมฉุกเฉินกินไว้กันพลาดค่ะ" มธุรสตอบนายหัวภาคินหน้าตาและน้ำเสียงราบเรียบ นายหัวภาคินมองแล้วก็ขัดหูขัดตาในท่าทีทำเป็นเก่งกล้าของมธุรสเหลือเกิน
"ดูเก่งกล้ากร้านโลกดีจังเลยนะ นี่ถ้าไม่ได้พิสูจน์มากับตัวว่าผมเปิดซิงคุณคนแรก ผมคงคิดว่าคุณผ่านผู้ชายมาสักครึ่งโหลแล้วนะนี่" นายหัวภาคินพูดเหน็บ
"ค่ะ ก็แล้วแต่คุณจะคิด ถึงฉันจะผ่านหรือไม่ผ่านผู้ชายมาหรือแม้แต่คุณจะมองว่าฉันกร้านโลกหรืออะไรก็ตามแต่ ฉันไม่สนใจหรอกนะคะ ฉันคิดแค่ว่าฉันต้องรอดฉันต้องอยู่ให้ได้ ฉันต้องเรียนให้จบและทำตามเงื่อนไขสัญญาในข้อตกลงสี่ปีของเราให้จบลงแล้วก็แยกย้ายกันไปเติบโต" มธุรสยังคงพูดเสียงเรียบเฉยทำให้นายหัวภาคินโกรธอารมณ์คุกรุ่นขึ้นมาอีก พอถึงร้านขายยาจึงเบรกรถอย่างแรงทำให้มธุรสแทบหัวคะมำ จอดรถเสร็จนายหัวหนุ่มก็ทำท่าจะลงไปจากรถด้วย
"เดี๋ยว นั่นนายหัวจะลงไปไหน" มธุรสถามขึ้นเมื่อเห็นว่านายหัวดับเครื่องรถและเตรียมตัวจะลงจากรถด้วย
"อ้าวก็ลงไปเป็นเพื่อนเธอซื้อยาคุมยังไงล่ะ"
"ไม่ต้องค่ะ ฉันลงไปจัดการของฉันเองได้ นายหัวรออยู่บนรถเถอะค่ะ"
"อ้าวแล้วทำไมไม่ให้ผมลงไปด้วยล่ะ ก็จะลงไปเป็นเพื่อนคุณซื้อยาคุม คุณจะไม่กินยาคุมก็ได้นะผมจะใส่ถุงยางเอง"
"ไม่ ลงไปไม่ได้ค่ะ คนแถวนี้เขารู้จักนายหัวกันทั้งนั้น ถ้านายหัวลงไปเขาก็รู้หมดสิคะว่าฉันกับนายหัวเรา..."
"เออ เราเอากันเมื่อคืนเราได้กันเป็นผัวเมียกันแล้ว ทำไมกลัวคนอื่นจะรู้แล้วเกรงว่าเลิกกันแล้วจะหาผัวใหม่ไม่ได้หรือไง" นายหัวภาคินถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
"ค่ะ ฉันอายเพราะฉันเป็นแค่เมียเก็บในสัญญาแค่สี่ปีเท่านั้นค่ะ" มธุรสพูดเสร็จก็ทิ้งนายหัวให้โมโหอยู่คนเดียวส่วนตัวเองก็เดินเข้าร้านยาไปซื้อยาคุม
"คุณหมอค่ะฉันต้องการยาคุมฉุกเฉินค่ะ" มธุรสบอกความต้องการของตัวเอง
"ยาคุมฉุกเฉินใช้บ่อยๆ มันเป็นอันตรายนะคะ"
"ค่ะ ดิฉันทราบ แต่ก็ไม่เคยใช้มาก่อนหรอกค่ะ มีความจำเป็นต้องใช้ค่ะเพราะพลาดพลั้งไม่ได้คุมค่ะ"
"คนไข้มีเพศสัมพันธ์ล่าสุดมาเมื่อไหร่คะ" เภสัชกรถาม
"เมื่อคืนค่ะ แบบไม่ได้ป้องกัน"
"ถ้าเป็นความสัมพันธ์แบบไม่ได้ตั้งใจ พลาดพลั้งหรือโดนข่มขืนมา หมอแนะนำให้คนไข้ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลด้วยนะคะ ยาคุมฉุกเฉินทานได้แต่ไม่ได้ป้องกันการตั้งครรภ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์นะคะ"
"ค่ะ ดิฉันไม่ได้โดนข่มขืนค่ะ"
"ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับสามีหรือแฟนของตัวเองหมอแนะนำให้คนไข้รับประทานยาคุมกำเนิดแบบปกติจะดีกว่านะคะ หรือไม่ก็ให้คุณสามีสวมถุงยางอนามัยจะเป็นการคุมกำเนิดที่ปลอดภัยที่สุดค่ะ"
"รับยาคุมฉุกเฉินและยาคุมปกติด้วยเลยค่ะ"
"ได้ค่ะหลังจากกินยาคุมฉุกเฉินไปคนไข้จะมีประจำเดือนมานะคะ วันแรกที่มีประจำเดือนให้เริ่มรับประทานยาคุมแบบปกติได้เลยนะคะ" เภสัชกรแนะนำการใช้ยา มธุรสจ่ายเงินแล้วก็กลับไปขึ้นรถ หลังจากนั้นนายหัวก็ได้พามธุรสกลับไปยังบ้านพักซึ่งเป็นกระท่อมกลางสวนยางของตนเอง