บทที่๕ลมคลั่งเจ้าพ่อแฮคตันโฮลล์(๓)

1989 คำ
แฟรงค์ แฮคตันก้าวออกจากห้องนอนหลังจากแต่งกายด้วยชุดลำลองเรียบร้อย ชายหนุ่มเดินเร็วๆ ลงมาชั้นล่างก็เจอกับป้าแม่บ้านซึ่งฉีกยิ้มกว้างมองมา แล้วเอ่ยรายงานว่ามื้อกลางวันตั้งโต๊ะเรียบร้อยแล้ว “ป้าชมเห็นลูกแก้วบ้างไหมครับ” ชายหนุ่มขยับปากถาม แล้วชะเง้อแลหารอบๆ ตัว “ใครหรือคะ” แม่บ้านเก่าแก่หรี่ตาแคบเพียงนิด ก่อนจะร้องออกมาเมื่อคิดว่าใช่คนๆ เดียวกัน “อ๋อ...ป้าก็ไม่เห็นเหมือนกันค่ะ เอาไว้เดี๋ยวป้าไปตามหาให้นะคะ” “ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมเดินหาเอง” บอกกล่าวแค่นั้นชายหนุ่มก็ขยับตัวไปทางหน้าบ้าน ก้าวออกมาที่เชิงบันไดแล้วเมียงมองหาร่างอรชร แต่กลับเจอเจ้าเลขาฯ ตัวดีเข้าซะก่อน “เจ้านายมองหาคุณลูกแก้วหรือครับ” “รู้ดีเหมือนเจ้าเฟียซไม่มีผิด” อดค่อนขอดออกมาไม่ได้ “อย่าลืมรายงานมันด้วยละว่า ฉันเตะนายพร้อมตัดเงินเดือนครึ่งหนึ่ง” “ฮ้า!” คนเป็นลูกน้องร้องลั่น “โธ่...อย่าโหดสิครับเจ้านาย เจ้านายก็ทราบดีว่าผมไม่อาจปิดบังได้” “อืม...ช่างมันเถอะ” เจ้าพ่อโรงแรมตัดบท ก่อนจะถามหาเมียหมาดๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าหนีหายไปอยู่ที่ไหน ถ้าคิดหนีอีกละก็ ไม่รู้เขาจะเอาอะไรมาปราบพยศเจ้าหล่อน เพราะแค่นี้ก็ชวนกลุ้มจะแย่อยู่แล้ว “นายเห็นลูกแก้วบ้างไหม” “เห็นครับ คุณลูกแก้วเดินไปที่ท้ายสวน ผมให้ไอ้สองคนนั้นตามประกบอยู่” ชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แล้วก้าวอาดๆ ไปยังท้ายสวนในทันที ใช้เวลาไม่นานดวงตาสีน้ำตาลไหม้ก็ปะทะกับแผ่นหลังทรงพลังของลูกน้องผมทองอีกสองคนซึ่งยืนตัวแข็งทื่อราวกับหลักกิโล ไม่ไกลกันมีร่างสะโอดสะองของผู้หญิงที่เพิ่งผละหนีลงมาจากห้อง เมื่อก้าวเข้าใกล้ลูกน้องทั้งสองคน ชายหนุ่มก็พยักพเยิดให้ออกไปห่างๆ เพราะต่อไปนี้เขาจะดูแลเจ้าหล่อนด้วยตัวเอง “ลูกแก้ว” เรียกแล้วก็ขยับตัวเข้าไปใกล้ เอื้อมมือแตะเบาๆ ที่เรียวแขนเล็ก “อย่ามาแตะต้องตัวฉันนะ” หญิงสาวว่าแล้วเบี่ยงกายเดินหนี “ถอยไปห่างๆ เลยด้วย ห้ามเข้าใกล้เกินสองเมตร” แฟรงค์พยายามไม่อารมณ์เสียกับถ้อยคำประหัตประหารนั้น พลางย้ำบอกกับตัวเองว่าให้ใจเย็นๆ เข้าไว้ ผู้หญิงเพิ่งเสียสิ่งล้ำค่าก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา เหมือนที่มัมอภิศราเฝ้าพูดกรอกหูเขากับเจ้าเฟียซอยู่เสมอ ว่าผู้หญิงไทยถือเรื่องพรหมจรรย์ยิ่งนัก เพราะทุกคนล้วนอยากมอบสิ่งล้ำค่านี้ให้กับเจ้าบ่าวในคืนวิวาห์ พัณณิตาพ่นหายใจทิ้ง เธอไม่อยากเห็นหน้าเขา ไม่อยากได้ยินเสียง ทุกอย่างที่รวมเป็นแฟรงค์ แฮคตันคนนี้กำลังเป็นของต้องห้ามสำหรับเธอ ฉะนั้นเมื่อชายหนุ่มไม่ยอมขยับเขยื้อนห่าง เธอจึงเป็นฝ่ายเดินหนีไปซะดื้อๆ แต่ขยับไปได้ไม่กี่ก้าว คนหน้ายักษ์ก็กระโดดมาขวางทางไว้ “จะเดินไปไหนอีก ไปกินข้าวกลางวันกันเถอะ มื้อเช้าก็ไม่กิน เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งไปแล้วจะแย่” “คุณก็ไปกินสิ ฉันไม่กิน จะเป็นจะตายก็ช่างฉัน” “มันจะมากไปแล้วนะ!” อารมณ์โมโหเริ่มปะทุขึ้นทันที อุ้งมือร้อนๆ คว้าหมับเข้าที่แขนเรียวทั้งสองข้างแล้วเขย่าจนพัณณิตาหัวสั่นหัวคลอน ปากหยักนั้นก็ตะคอกใส่เต็มเสียง “เธอไม่มีสิทธิ์มาทำตัวแบบนี้กับฉัน ฉันสั่ง เธอก็ต้องทำ” จบประโยคที่สื่อถึงการวางอำนาจแบบไม่ปิดบังก็ปล่อยร่างบางจนเซถลา แผ่นหลังเล็กๆ กระแทกต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ เต็มแรง หญิงสาวพยายามกัดปากอิ่มเอาไว้ ก่อนจะตวัดดวงตาอาบรื้นไปด้วยน้ำร้อนๆ มองหน้าคมคร้ามของหนุ่มลูกครึ่ง หากเธอไม่ร้องโอดโอยใดๆ สักคำ นอกจากกลั้นความเจ็บแล้วเดินเลี่ยง “จะไปไหนอีกฮ้า!” “จะให้ไปกินข้าวไม่ใช่หรือไง ฉันก็กำลังทำตามคำสั่งบ้าๆ ของคุณอยู่เนี่ย คำสั่งที่ฉันไม่สมควรต้องแบกรับเลยสักนิดเดียว คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่นาทีนี้ฉันขอบอกคุณอีกครั้ง” พัณณิตาสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ยกมือปาดป้ายคราบน้ำตาที่ไหลลงมาเปรอะแก้มอย่างลวกๆ “ฉันไม่ใช่ประภาภรณ์ ฉันคือพัณณิตา เข้าใจไหม และสิ่งที่คุณทำทั้งหมดนี่ ฉันสาบานเลยว่าอนาคตจากนี้คุณต้องเสียใจ เพราะคนอย่างฉันจะไม่ให้อภัยผู้ชายหยาบช้าอย่างคุณ!” “ฮึ!” ชายหนุ่มทำเสียงขึ้นจมูก จ้องร่างเล็กซึ่งตะโกนปาวๆ ใส่หน้าเขม็ง “คิดว่าฉันจะเชื่อผู้หญิงอย่างเธอหรือไง เธอมันก็เลวเหมือนพ่อของเธอนั่นแหละ พวกดีแต่ฉ้อโกงคนอื่นอย่างหน้าด้านๆ โกหกปลิ้นปล้อนจนเสียนิสัย” เผียะ! มือบางของพัณณิตาตวัดเข้าที่ซีกหน้าคมจนอีกฝ่ายถึงกับหันไปตามแรงตบ ทำเอาดวงตาสีน้ำตาลไหม้ฉายประกายโกรธกริ้วในทันที ชายหนุ่มยกปลายนิ้วเกลี่ยเบาๆ บนแก้มสาก ก่อนจะตวัดดวงตามาดร้ายจ้องคนมือดีจนตาแทบถลนออกนอกเบ้า อึดใจเดียวก็คว้าแขนเล็กแล้วรั้งร่างบางมากระแทกแผงอกกว้าง มือข้างซ้ายเลื่อนจับปลายคางเล็กไว้แน่น ก่อนจะโน้มใบหน้าบดจูบลงมาอย่างกระแทกกระทั้น ขบกัดปากอิ่มจนรับรู้ถึงรสคาวของเลือดสีแดงที่ซึมออกมาจากกลีบปากอิ่ม “อื้อ!” หญิงสาวครางด้วยความเจ็บ มือน้อยๆ นั้นยกดันแผงอกคนตัวโตเอาไว้ พร้อมๆ กับที่น้ำตาซึ่งกลั้นเอาไว้กำลังไหลอาบแก้มนวลลงมาไม่ขาดสาย กระทั่งเจ้าพ่อโรงแรมค่อยๆ ถอนปากออกอย่างช้าๆ แล้วเค้นเสียงดังชิดใกล้ “จำเอาไว้ ถ้าเธอกล้าตบฉันอีก เธอจะไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน!” บอกพลางปล่อยมือจากปลายคางเล็กแรงๆ ก่อนจะเปลี่ยนมาคว้าข้อมือเล็กแล้วรั้งให้ก้าวตาม หากแต่ช่วงขายาวๆ นั้นก็ก้าวเร็วเสียจนคนตัวเล็กเดินไม่ทัน ตอนนี้คนงานในไร่จึงได้เห็นนายฝรั่งของพวกเขาลากคนตัวเล็กกลับเข้าบ้านไปอย่างน่าเวทนา เพียงพ้นเข้ามาในบ้านก็มุ่งปลายเท้าไปยังห้องอาหาร เมื่อมาถึง ชายหนุ่มก็เหวี่ยงร่างบางให้ไปนั่งบนเก้าอี้ โดยไม่ต้องเอ่ยอะไรสักคำ หลานสาวป้าชมก็กระวีกระวาดเสิร์ฟข้าวเสิร์ฟน้ำ พลางนึกโล่งอกอยู่ในใจ ที่สามารถจัดโต๊ะมื้อกลางวันเสร็จพอดี ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องแน่ๆ เพราะใบหน้าคมของเจ้านายหนุ่มในเวลานี้ช่างดูน่ากลัวนัก และด้วยเหตุนี้เองสายสร้อยจึงรีบทำงานแล้วอันตรธานไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่พ้นบุคคลที่สาม ชายหนุ่มก็เหลือบมองหน้าคนตัวเล็กที่เอาแต่กัดปากอิ่มเอาไว้ ก่อนจะตะเบ็งบอกกล่าว “กินข้าวสิ และช่วยกินข้าวให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่เม็ดเดียว ถ้าเธอทานไม่หมด ฉันจะจับกรอกปากเธอเอง” แม้จะได้ยินเสียงข่มขู่แบบนั้น แต่พัณณิตาก็ยังคงนั่งนิ่ง เธอไม่ยอมแตะอาหารสักคำ หนำซ้ำยังไม่เหลือบแลกับข้าวสองสามอย่างที่ส่งกลิ่นหอมฉุยมาต้องจมูกอีกด้วย ส่งผลให้คนตัวโตถึงกับกระแทกจานอาหารตรงหน้าดังปังใหญ่ ก่อนจะก้าวอาดๆ มายืนอยู่ข้างๆ “ฉันบอกให้เธอกิน ทำไมไม่กินฮ้า!” ร้องปาวๆ ใส่หน้า แล้วจัดการคว้าช้อนมาตักข้าวเปล่ายัดใส่ปากเล็ก เมื่ออีกฝ่ายเม้มปากแน่นสนิท ไม่ยอมกินเข้าไป ก็บีบคางเล็กจนพัณณิตาต้องนิ่วหน้า “กินเข้าไปสิ จะได้มีแรงมาโวยวายใส่ฉันไง” ต่อให้เขาร้ายใส่จนเม็ดข้าวหล่นมากองเต็มตัก หญิงสาวก็ไม่อ้าปากรับ แม้เจ็บจนร่ำไห้ เธอก็นั่งข่มปากกัดฟันอย่างอดทน แต่เขาไม่หยุดเพียงแค่นั้น ยังตักแกงร้อนๆ มารดปากของเธออีก “ฉันไม่กิน!” มือเล็กปัดช้อนให้หล่นไปกองอยู่ที่พื้น “ต่อให้คุณบังคับจนตาย ฉันก็ไม่กิน” “ดี! ถ้าอย่างนั้นเธอก็อย่ากินมันอีกเลย” จบประโยคเหี้ยมๆ ชายหนุ่มก็กวาดถ้วยชามอาหารที่อยู่บนโต๊ะจนแตกเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น ก่อนจะหมุนกายกระแทกเท้าออกไป ปล่อยให้คนตัวเล็กร้องโฮอย่างน่าสงสาร และทันทีที่คนเป็นนายหายไปจากระยะสายตา สายสร้อยและป้าชมก็รีบจ้ำอ้าวมาดูคนตัวเล็กซึ่งนั่งสั่นเทิ้มไปทั้งตัว “คุณคะ เป็นยังไงบ้าง ตายแล้ว สร้อยพาคุณผู้หญิงไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาหน่อยไป ป้าจะเก็บกวาดของพวกนี้เอง” “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ลูกแก้วไม่เป็นไร” เธอเงยหน้าขึ้นมองคนที่มีใจอารี พลางยกมือปัดป้ายคราบน้ำตาทิ้ง “คุณลูกแก้ว!” ป้าชมเรียกเสียงสูง “ใช่คุณลูกแก้วน้องสาวของคุณเก้าหรือเปล่าคะ” เห็นหน้าชัดๆ แบบนี้แล้วก็ยิ่งจำได้ เพราะเมื่อสิบปีก่อนเวลาที่ครอบครัวแฮคตันมาพักที่นี่ คุณแฟรงค์และคุณเฟียซก็จะมีเพื่อนวัยไล่เลี่ยกันมาเที่ยวเล่นเป็นประจำ และแม้ครอบครัวแฮคตันจะไปอยู่ที่เมืองนอกเป็นส่วนมาก แต่คุณเก้าก็พาน้องสาวตัวเล็กมาเยี่ยมแม่บ้านเก่าแก่อย่างป้าชมอยู่เสมอ เพิ่งจะห่างๆ ไปก็ช่วงสิบปีหลังนี่เอง “ป้ารู้จักหนูหรือคะ” “หนูเป็นน้องสาวคุณเก้า เจ้าของไร่พัทรพงศ์การันต์หรือเปล่า” “ค่ะๆ” เธอรีบพยักหน้าหงึกๆ ยอมรับ “ลูกแก้วเป็นน้องสาวของพี่เก้า” “ไม่เจอกันแค่ไม่กี่ปีก็สวยจนป้าจำไม่ได้เลยนะคะ แล้วนี่เป็นยังไงมายังไงทำไมถึงได้ถูกคุณแฟรงค์ทำแบบนี้ แล้วนี่คุณแฟรงค์ไม่ทราบหรือคะ ว่าคุณลูกแก้วคือน้องสาวของเพื่อนเขาน่ะ” “ลูกแก้วบอกเขาแล้ว แต่เขาไม่ฟังอะไรเลย แถมยังไม่เชื่อลูกแก้วสักนิด” เธอบอกทั้งน้ำตา พลางสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ “และอีกอย่างลูกแก้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจับตัวลูกแก้วมาทำไม แต่ป้าช่วยพาลูกแก้วหนีได้ไหมคะ” “เอ่อ...” พอเจอคำขอร้องนี้ป้าชมก็ถึงกับพูดไม่ออก “ป้า ถ้าเราช่วยคุณลูกแก้ว เราสองคนจะตายไหม” เสียงของสายสร้อยโพล่งขึ้นทันควัน “หุบปากไปเลยยัยสร้อย” ป้าชมต่อว่าหลานสาว แล้วหันมาเอ่ยกับคนตัวเล็กผู้น่าสงสารด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “ป้าว่าคุณลูกแก้วขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียใหม่ก่อนดีกว่านะคะ เดี๋ยวเรื่องนี้เราค่อยคิดกันอีกที” “ค่ะ” เธอตอบรับเสียงอ่อย “อย่าทำหน้าเศร้าสิคะ เลิกคิดมากเลิกเป็นกังวลนะคะ” แม่บ้านเก่าแก่ประจำไร่แฮคตันบอกพลางยิ้มบางๆ พอเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนนั้น คนตัวเล็กจึงรีบโผเข้ากอดเอวอวบ วาดแขนรัดราวกับพบที่พึ่งพิง ไม่นานก็ค่อยๆ ผละออกห่างแล้วขอตัวกลับขึ้นไปจัดการตัวเอง เวลานี้คงต้องรอเท่านั้น รอวันที่เธอจะโบยบินไปไกลแสนไกล ถ้าหนีรอดไปได้ละก็ ชาตินี้ทั้งชาติขออย่าให้เธอต้องมาพบเจอคนใจยักษ์ใจมารคนนั้นอีกเลย
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม