ใครบางคนอันตรธานหายไปตั้งแต่มื้ออาหารกลางวันที่ล้มระเนระนาดไม่เป็นท่า จนป่านนี้พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปนานแล้ว เขาก็ยังไม่กลับเข้ามาภายในห้อง พัณณิตาเลยคว้าหมอนและผ้าห่มมาปัดๆ ปูๆ อยู่ที่มุมหนึ่งซึ่งไกลจากเตียงราวสามเมตร พอจัดการเรียบร้อยก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่ลืมรั้งผ้าห่มมาคลุมจนมิดลำคอ
“อย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีกนะคนเลว!” ปากเล็กบ่นขมุบขมิบ แต่ทำไมความรู้สึกลึกๆ ในก้นบึ้งของหัวใจมันถึงได้อยากรู้จังเลยว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ และมืดขนาดนี้ทำไมถึงยังไม่กลับมา
“ก็ช่างเขาสิ เขาจะไปไหนก็เป็นเรื่องของเขา ฉันจะนอน”
คนตัวบางเปรยด้วยความอัดอั้น ก่อนจะผุดลุกผุดนั่งอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ไม่ว่าจะทำยังไง พัณณิตาก็อดเป็นห่วงเขาไม่ได้ แม้จะรู้ดีว่าคนตัวโตยังกับยักษ์คงไม่มีทางเป็นอะไรไปได้ง่ายๆ ทว่าหัวใจไม่รักดีก็ยังเป็นกังวลจนนอนไม่หลับ กระทั่งเวลาเลยผ่านไปหลายชั่วโมง หลังจากตะแคงซ้ายทีขวาที ก็ได้ยินเสียงกริ๊กของประตู หญิงสาวจึงรีบทำเป็นนอนนิ่งๆ ปิดเปลือกตาให้หลับสนิท พยายามผ่อนลมหายใจให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอ
แฟรงค์ แฮคตันกลับเข้ามาในห้องนอนด้วยสภาพมึนเมานิดๆ ชายหนุ่มเหลือบตามองนาฬิกาบนผนังห้อง ถึงรู้ว่าเหลืออีกเพียงชั่วโมงเดียวก็จะปาเข้าไปเที่ยงคืน ก่อนจะเบนไปมองร่างอรชรที่คลุมโปงนอนอยู่บนพื้น ปากหยักเหยียดใส่อย่างหมั่นไส้ พร้อมพ่นลมหายใจทิ้งเล็กน้อย แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวผืนโตเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
ทันทีที่ได้ยินเสียงสายน้ำกระทบพื้น ดวงตากลมๆ ของพัณณิตาก็เบิกกว้าง ร่างแน่งน้อยลุกขึ้นพึ่บ ถึงแม้จะโกรธเขามากแค่ไหน แต่พอเห็นเขาเย็นชา ไม่คิดจะสนใจแบบนี้ ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“อีตาบ้า! ขอโทษสักคำหน่อยก็ไม่ได้” ค้อนให้ปะหลับปะเหลือบ แลสายตาไปยังบานประตูห้องน้ำอยู่บ่อยครั้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนคลุมโปงเช่นเดิม รอเวลาที่เขาก้าวออกมา แล้วเอ่ยขอโทษเธอสักคำ
เกือบครึ่งชั่วโมงเต็ม ร่างสูงกำยำก็ก้าวออกมาพร้อมผ้าขนหนูผืนโตซึ่งพันรอบเอวไว้อย่างหมิ่นเหม่ ชายหนุ่มชะงักปลายเท้าเพียงนิดขณะสายตาปะทะกับร่างเล็ก หากแต่อึดใจเดียวก็ไหวไหล่น้อยๆ แล้วคว้าผ้าผืนเล็กมาเช็ดหยดน้ำที่เกาะพราวตามร่างกาย เมื่อเรียบร้อยก็กระโจนขึ้นเตียง โดยไม่ลืมที่จะดึงผ้าพันเอวแล้วขว้างทิ้ง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มอีกผืนมาคลุมกาย ก่อนจะปิดตาหลับโดยไม่สนใจไยดีใครบางคน
ทันทีที่รอบกายเงียบสงัด พัณณิตาก็ค่อยๆ รั้งผ้าห่มให้ร่นมาอยู่ที่บริเวณลำคอ ดวงตากลมๆ เหลือบแลซ้ายขวา พร้อมกับก่นด่าคนตัวโตอยู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันประโยค แต่เมื่อทำอะไรไม่ได้ เธอก็ต้องข่มตาหลับอยู่บนพื้นห้องเย็นๆ พลางเตือนตัวเองให้จำแม่นๆ ว่าเธอยังโกรธเขา และต้องโกรธให้มากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนคนที่ถูกก่นด่าในใจนั้นก็ใช่ว่าจะหลับสนิทอย่างที่แสดงท่าทางออกไป เพราะตัวชายหนุ่มเองก็พยายามข่มตาให้หลับเช่นกัน และแม้ว่าใจนั้นจะนึกอยากก้าวลงไปอุ้มหญิงสาวขึ้นมานอนบนเตียง อยากกอด อยากจูบ อยากทำอะไรอย่างที่อยากทำ แต่ก็ทำได้เพียงแค่นิ่งเฉย เย็นชา และแสร้งไม่สนใจเท่านั้น
เวลาแต่ละนาทีของคนทั้งคู่ช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าและบาดหัวใจยิ่งนัก แต่แล้วความเหนื่อยอ่อนและความง่วงก็สามารถเอาชนะอารมณ์ว้าวุ่นได้ สุดท้ายสองหนุ่มสาวจึงหลับใหลในเวลาเกือบตีสามของค่ำคืน โดยนอนคนละที่ละทางราวกับเป็นเพียงคนแปลกหน้าต่อกัน
แสงสว่างอ่อนๆ ของยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านเข้าสู่ด้านใน เปลือกตาของหญิงสาวกะพริบถี่เพื่อปรับรับแสงของวันใหม่ อึดใจเดียวเธอก็ลุกขึ้นนั่งแล้วบิดเนื้อตัวไปมาหมายจะไล่อาการเมื่อยขบ เพราะที่นอนของเธอมันช่างแข็งกระด้าง ไม่นุ่มนิ่มเหมือนของคนใจยักษ์นั่นเลย
นึกถึงตรงนี้ดวงตากลมๆ ก็แอบมองไปยังเตียงกว้างเพื่อดูว่าเจ้าของเตียงตื่นนอนหรือยัง และก็พบกับความว่างเปล่าและความยับย่นของที่นอน ขณะกำลังจะลงมือพับผ้าห่มซึ่งกองอยู่บนตัก ประตูห้องน้ำก็เปิดออกกว้าง เผยให้เห็นเจ้าของเรือนกายหนั่นแน่นทรงพลัง ซึ่งพัณณิตาพยายามบังคับตัวเองให้มองถึงแค่อกกระด้าง แต่อึดใจเดียวเธอก็เบือนหน้าหนี
เจ้าพ่อโรงแรมทำราวกับใครบางคนผู้อยู่ร่วมห้องเป็นเพียงอากาศธาตุ ชายหนุ่มก้าวยาวๆ ไปยังตู้เสื้อผ้า แล้วจัดการแต่งเนื้อแต่งตัวด้วยชุดสูทสุดเนี้ยบ เมื่อเรียบร้อยก็ขยับไปคว้าครีมมาบำรุงหน้าตาตัวเองตามประสาคนห่วงใยความหล่อเหลา เสร็จสรรพก็ยกนาฬิกาประดับข้อมือขึ้นมอง ก่อนจะเปิดประตูออกกว้างแล้วก้าวออกจากห้องไป
พฤติกรรมของชายหนุ่มเจ้าของบ้านทำเอาคนที่นั่งอยู่บนพื้นห้องกัดกลีบปากอิ่มไว้แน่น เจ็บไปทั้งอกอย่างบอกไม่ถูกเมื่ออีกฝ่ายไม่สนใจเธอเลยสักนิด จากนั้นพัณณิตาก็ดีดตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก่อนจะรวบเอาหมอนและผ้าห่มโยนตูมลงบนเตียง เสร็จสรรพก็ใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบลงไปอย่างบ้าคลั่ง
“ฉันต่างหากที่ต้องโกรธนาย อีตาบ้า! นายต้องรู้จักขอโทษฉันรู้ไหมฮ้า!”
สิ้นเสียงร้องโวยวายที่ดังลั่นห้อง คนที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายก็คว้าผ้าเช็ดตัวผืนใหม่ แล้วหายเงียบเข้าไปในห้องน้ำ โดยตลอดเวลาร่วมชั่วโมงที่อยู่ในนั้น เธอก็ด่าทอคนใจร้ายไม่ขาดปากหมายจะระบายความอึดอัด จนเมื่อพอใจแล้ว จึงได้เปิดประตูก้าวออกมา แต่แล้วก็ต้องชะงักปลายเท้าเมื่อเห็นคนถูกต่อว่ายืนตีหน้าถมึงทึงอยู่เบื้องหน้า
ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลไหม้ซึ่งเดินเข้าหยิบโทรศัพท์มือถือและกระเป๋าสตางค์จ้องเขม็งมายังร่างอรชรหลังจากนั่งฟังอีกฝ่ายก่นด่าตัวเองอยู่นาน แต่กระนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร นอกจากเดินเลยผ่านไป แล้วหมุนตัวออกจากห้อง
“อีตาบ้า!”
ด่าไล่หลังทันทีที่บานประตูปิดสนิท ก่อนจะหันมาแต่งกายด้วยท่าทีไม่สบอารมณ์ และพอย่างเท้าก้าวออกจากห้องก็เป็นเวลาเดียวกับที่ตายักษ์วัดแจ้งยืนสั่งงานป้าชมและหลานสาวอยู่ ทั้งสามคนมองมาที่เธอเล็กน้อย แล้วคุยกันอีกสักพัก ก่อนคนบ้าอำนาจจะเดินหายออกไป
“คุณลูกแก้วมากินมื้อเช้าก่อนค่ะ ป้าเตรียมไว้แล้ว”
เสียงอารีของป้าชมดังขึ้น พลางเดินเข้ามาจับจูงแขนเล็กให้ขยับไปยังห้องอาหาร
“วันนี้ป้าทำอาหารพื้นบ้าน คงถูกปากคุณลูกแก้วนะคะ อาหารของเมืองเพชรบูรณ์อร่อยๆ ทั้งนั้น เอ้า! ยัยสร้อย เสิร์ฟน้ำส้มคั้นเย็นๆ ให้คุณลูกแก้วหน่อย”
ท้ายประโยคป้าชมหันไปร้องสั่งหลานสาว ก่อนจะหันมาคะยั้นคะยอร่างบางให้ลงมือกับอาหารตรงหน้า
“กินให้เยอะๆ นะคะ”
หญิงสาวได้แต่ยิ้มขอบคุณ ลงมือจัดการละเลียดอาหารตรงหน้าอย่างช้าๆ ฝืนกลืนลงคอได้เพียงไม่กี่คำก็คว้าน้ำส้มคั้นมาจิบเพียงนิด แล้ววางแก้วลงที่เดิม ก่อนจะผละลุกจากเก้าอี้ ก้าวออกไปด้วยท่าทีเนือยๆ
“เฮ้อ...” สายสร้อยถึงกับถอนหายใจ “ฉันไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยป้า มันอึดอัดพิกล”
“ก็คุณๆ ทะเลาะกันอยู่ เราก็ต้องทนรับสภาพแบบนี้ไป”
“โธ่...ป้า” ครวญเบาๆ แล้วเอียงหน้าเอียงคอเอ่ย “นี่ถ้าคุณแฟรงค์ลดความใจร้ายลงอีกหน่อย แล้วคุณลูกแก้วก็ช่างเอาใจอีกนิด รับรองนะป้า ลูกหัวปีท้ายปีแน่ๆ”
“ยัยสร้อย!” ป้าชมเรียกเสียงเขียว “เป็นสาวเป็นนางพูดอะไรไม่อายปาก”
“ก็มันจริงนี่ป้า” หลานสาววัยยี่สิบยังอุตส่าห์เถียง “ฉันมาคิดๆ นะป้า คุณแฟรงค์เธอเป็นห่วงคุณลูกแก้วจะตายไป ดูสิก่อนเข้าเมืองกรุง ยังสั่งนักสั่งหนาให้ดูแลดีๆ ฉันว่าคุณแฟรงค์รักคุณลูกแก้ว ป้าว่าไหม”
“หยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย แล้วไปจัดการงานให้เรียบร้อย โต๊ะอาหารก็เก็บให้สะอาด ไปล้างจานซะด้วย เสร็จแล้วก็รีบๆ ตามไปดูแลคุณแก้วละ ถ้าหายไปเมื่อไร ได้ถูกเนรเทศกันทั้งป้าทั้งหลานเป็นแน่”
คนเป็นป้าโพล่งออกมายาวเหยียด ก่อนจะรีบเดินเลี่ยงออกไปทำงานอย่างอื่น ปล่อยให้หลานสาวได้แต่อ้าปากกว้างเมื่อได้ยินคำสั่งยาวเป็นหางว่าวนั้น