หวีดร้องด่าทอออกมาสุดเสียง ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา ยกมือปัดป้ายขยี้จนเครื่องสำอางที่เติมมาบางเบานั้นเลอะเทอะ ส่งผลให้ใบหน้านวลงามดูไม่ได้เลยสักนิด ด้วยดวงตาก็เปื้อนสีดำของอายไลเนอร์จนคล้ายหมีแพนด้า ขณะที่ผมเผ้ารวบสวยมาตั้งแต่เมื่อวานก็พลันยุ่งเหยิงไปหมด
จ๊อก! จ๊อก!
“ไอ้ท้องบ้า! รู้แล้วน่าว่าหิว แต่ร้องไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อไอ้คนใจจืดใจดำไม่ยอมเอาข้าวเอาน้ำมาให้กิน สงสัยมันจะปล่อยให้ฉันตายไปเลยมั้ง”
สิ้นเสียงบ่นนั้น เสียงกริ๊กก็ดังแว่วอยู่ด้านหลังประตู ทำให้ร่างอรชรลุกขึ้นทันที ก่อนจะหันรีหันขวางหาอาวุธมาป้องกันกาย และแล้วดวงตากลมๆ ก็ปะทะเข้ากับเก้าอี้ไม้ซึ่งตั้งอยู่มุมห้อง ปลายเท้าบอบบางจึงรีบจ้ำอ้าวไปคว้ามาถือไว้ แล้วง้างขึ้นสูงเตรียมฟาดคนที่ทะเล่อทะล่าเข้ามา
ตุ้บ!
ทันทีที่เห็นเงาตะคุ่มโผล่เข้ามาด้านใน หญิงสาวไม่รอช้า เหวี่ยงเก้าอี้ไม้ออกไปเต็มแรง ได้ยินอีกฝ่ายร้องครวญอย่างเจ็บปวด หากพักเดียวก็มีเสียงตะโกนดังตามมา
“อย่าเขวี้ยงอะไรมาอีกนะครับ ผมยกอาหารเช้ามาให้”
เสียงแปร่งพูดไม่ชัดดังแว่วมาก่อนตัว อึดใจเดียวก็ได้เห็นยักษ์วัดแจ้งผมทองผิวพรรณขาวมากกว่าเธออยู่ในชุดเสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงสแล็กสุดเนี้ยบก้าวเข้ามา ริมฝีปากแย้มยิ้มกว้าง
“กินอาหารก่อนนะครับ จะได้มีแรง”
ดวงตากลมๆ ชะเง้อมองอาหารในถาด ซึ่งมีข้าวเปล่า ผัดผักรวม และก็ไข่เจียว ค่อยๆ ถูกวางที่โต๊ะมุมห้อง แม้อยากจะหาอะไรมาฟาดให้สาแก่ใจ แต่แค่เห็นอาหารเธอก็น้ำลายสอขึ้นมาทันที ถึงกระนั้นด้วยนิสัยดื้อรั้นที่มีติดตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ทำให้พัณณิตา พัทรพงศ์การันต์กัดฟันทน
“ฉันไม่กิน!” อวดดีพร้อมเชิดหน้ารั้นๆ ขึ้น “พวกนายจับฉันมาทำไมฮ้า! ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าแล้วก็กระโจนไปยังทางออก หากหนุ่มผมทองร่างโตก็ปรี่เข้ามาขวาง และเพียงแค่ยืนนิ่งๆ ไม่ต้องกางแขนออกกว้าง ตัวก็เต็มปิดทางออกจนหมด คนอยากหนีจึงได้แต่เม้มปากแน่น แล้วตัดสินใจออกแรงผลักอีกฝ่าย แต่ทว่าก็ไม่ขยับเขยื้อน หนำซ้ำยังปล่อยให้เธอทุบกำปั้นจนเหนื่อยแรงไปเอง
“คุณผู้หญิงไปกินข้าวก่อนดีกว่านะครับ เดี๋ยวเป็นลมขึ้นมาจะแย่เอา”
สายตาคมๆ ของแบรดเพ่งไปยังกำไลข้อมือทองนั้น เห็นชัดๆ แบบนี้แล้วถึงกับโล่งอก เมื่อคืนนี้มันสลัวรางจนไม่ค่อยมั่นใจ แต่ประกายเพชรที่วาววับแสบตานี้ทำให้ชายหนุ่มต้องซ่อนยิ้ม เพราะเขามั่นใจว่าคงไม่ได้จับผิดตัวเป็นแน่
“ทานอาหารให้อิ่มท้องนะครับคุณประภาภรณ์”
แบรดเอ่ยแค่นั้นก็หมุนกายเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้คนที่ได้ยินชื่อซึ่งฟังไม่ค่อยชัดต้องย่นคิ้วด้วยความสงสัย พอจะถามอีกที รอบตัวก็เงียบสงัด จึงรีบปรี่ไปที่ประตูแล้วทุบปึงปัง
“นี่นาย เรียกฉันว่าอะไรนะ ได้ยินไหม ฉันถามว่าเรียกฉันว่าอะไร”
หากโพล่งไปแล้ว หัวคิ้วก็พุ่งชนกัน เอียงหน้าเอียงคออย่างสงสัย ขณะที่ปลายนิ้วชี้ด้านซ้ายก็เคาะหางคิ้วเบาๆ
‘ประภาภรณ์? นั่นมันชื่อยัยดาวนี่ แล้วทำไม...’ ความสงสัยมากมายถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อน แต่ที่แน่ๆ ในความคิดตอนนี้ คนด้านนอกคงคิดจะจับตัวเพื่อนรักของเธอ แต่ผิดพลาดที่ผิดตัว!
“นี่ปล่อยฉันไปนะ ฉันไม่ใช่ประภาภรณ์ รู้ไว้ซะด้วย”
ถึงแม้จะตะโกนออกมาอีกเป็นร้อยๆ ครั้ง ก็ไม่มีเสียงโต้ตอบจากภายนอก คนอ่อนแรงก็ได้แต่ค่อนขอดก่นด่าสารพัด แต่เมื่อเบนสายตาไปที่โต๊ะมุมห้อง ท้องเจ้ากรรมก็ร้องประท้วงอีกครา หนนี้พัณณิตาไม่กัดฟันทนอีกแล้ว เธอก้าวเร็วๆ ไปจัดการกับอาหารจนเกลี้ยง เรียกว่าสะสมพลังงานไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ยามที่ต้องปกป้องตัวเองให้รอดพ้นจากอันตราย คนอย่างลูกแก้วแห่งไร่พัทรพงศ์การันต์ไม่เคยหวาดหวั่นต่อสิ่งน่ากลัวใดๆ อยู่แล้ว
เมื่อกินอิ่มมีพละกำลังมากพอแล้ว หญิงสาวก็ก้าวเร็วๆ ไปยังประตู กำปั้นน้อยๆ ระดมทุบไม่ยั้งแรง
“นี่พวกนาย ปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ จะขังฉันไว้ทำไม...”
ปากจิ้มลิ้มยังร้องว่าไม่จบประโยค จู่ๆ บานประตูก็ถูกเปิดกว้าง ดวงตากลมๆ มองเห็นด้านนอกซึ่งเป็นลานดินแดงกับต้นไม้น้อยใหญ่อีกสี่ห้าต้น สองเท้ากำลังจะก้าวออกไป แต่แล้วก็ต้องถอยถอยร่นแทบไม่ทัน เมื่อบุรุษหนุ่มร่างสูงกำยำแทรกกายมาเผชิญหน้า เขาอยู่ในชุดสูทสุดเนี้ยบ รองเท้าหนังขัดมันวาวไร้ฝุ่นเปื้อน ทั้งเนื้อทั้งตัวราวกับหลุดออกมาจากนิตยสารนายแบบระดับโลก อวดเสี้ยวหน้าคมคร้ามฉบับฝรั่งจ๋าให้หญิงสาวได้เห็นชัดๆ ปลายจมูกโด่งคมถ้าเฉียดใกล้คงบาดเนื้อจนเป็นแผล แต่สีผิวที่มองเห็นบริเวณลำคอนั้นกลับไม่ขาวซีด เพราะมันออกจะเป็นสีเปลือกไข่
“สำรวจพอหรือยัง”
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลไหม้เอ่ยพลางจับจ้องร่างอรชรซึ่งขยับไปอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องแบบตาไม่กะพริบ ปลายเท้าก้าวอาดๆ เข้าไปใกล้เรื่อยๆ แต่อีกฝ่ายก็ถอยหนีอยู่ร่ำไป ชายหนุ่มอุตส่าห์รีบเดินทางออกจากเมืองกรุงเพื่อมายลหน้าตาของลูกสาวศัตรูจนถึงที่กักกัน นึกดูแคลนนิดๆ เพราะผิดจากที่คาดไว้ไม่น้อย ด้วยคิดว่าจะเป็นคุณหนูผิวขาวบอบบางเสียอีก แต่ท่าทางจะแก่นแก้วผิดจากเผ่าพันธุ์ คงเหมือนกันก็แค่นิสัยแย่ๆ เท่านั้น
“นี่หรือคุณหนูประภาภรณ์” แฟรงค์เหยียดมุมปากเพียงนิด “ตัวเตี้ย ผอมโซยังกับเด็กขาดสารอาหาร”
คนถูกเปรียบเทียบถึงกับกัดฟันกรอดๆ เธอสูงน้อยกว่าเขามันผิดตรงไหน ตัวเล็กไซซ์มินิมันหนักหัวใคร และที่สำคัญเธอมั่นใจว่าสวยก็แล้วกัน คิดได้เช่นนั้นพัณณิตาก็ก้าวอาดๆ มาเผชิญหน้ากับเจ้าของร่างใหญ่ซึ่งสูงกว่าตัวเองนับหนึ่งฟุต ด้วยความโมโหมือน้อยๆ จึงผลักอกกระด้างของอีกฝ่ายไปเต็มแรง
“ฉันไม่ใช่ประภาภรณ์ แต่ฉันชื่อพัณณิตารู้ไว้ซะด้วย เพราะฉะนั้นฉันจะผอมจะเตี้ยมันก็ไม่หนักหัวของนาย”
“เหรอ...” แทนที่จะโกรธชายหนุ่มกลับยกยิ้มน้อยๆ “อย่ามาโกหกซะให้ยากเลย เธอจะเปลี่ยนชื่อยังไงก็ยังคงเป็นลูกสาวคนสารเลวที่จ้องจะโกงกินคนอื่นเขาอยู่ร่ำไป พวกทรยศหักหลัง เลี้ยงไม่เชื่อง”
“ไอ้บ้า! หยุดเดี๋ยวนี้นะ นายน่ะสิเลว มีสิทธิ์อะไรมาว่าคนอื่นเขาฮ้า!”
คนปากดีรีบโต้เถียง ตอนนี้ไม่ว่าเธอจะเป็นพัณณิตาหรือประภาภรณ์ก็ระงับความโกรธเอาไว้ไม่ได้แล้ว เมื่อโดนด่าว่าถึงบุพการี ร่างแน่งน้อยจึงกระโจนวาดกำปั้นหวังจะซัดร่างบึกบึนให้เจ็บ แต่แค่ปล่อยมือออกไป อีกฝ่ายก็รวบมือทั้งสองข้างไว้เพียงอุ้งมือเดียว ร่างอรชรจึงลอยหวือมายืนร้องปาวๆ อยู่ตรงหน้า
“หุบปาก!” แฟรงค์โน้มหน้าลงมาตะคอก เขย่าคนตัวเล็กที่ดิ้นเร่าๆ จนหัวสั่นหัวคลอน “ถ้าเธอไม่หยุดแล้วละก็ ฉันจะฆ่าพ่อเธอซะ”
“ไอ้บ้า! พ่อฉันตายไปนานแล้ว นายไม่ต้องมาขู่ซะให้ยากหรอก” คนที่อยู่กับพี่ชายมาตั้งแต่อายุสิบขวบโพล่งดังอย่างไม่หวาดกลัว คำพูดนั้นทำให้เจ้าพ่อโรงแรมเครือแฮคตันโฮลล์จ้องมองใบหน้านวลอย่างเยาะหยัน สุดท้ายก็ผลักร่างแน่งน้อยจนล้มก้นจ้ำเบ้า
“พ่อกับลูกเหมือนกันไม่มีผิด นิสัยเสีย ไม่รู้จักความกตัญญู”
“อ๊าย!” คนเจ็บจนจุกร้องดัง มือน้อยๆ ขยับลูบก้นตัวเองป้อยๆ “คนอย่างนายคงดีที่หนึ่งเลยสินะ ถึงได้จับคนอื่นมากักขังไว้แบบนี้”
“ใช่สิ” แฟรงค์ยอมรับหน้าตาย โน้มตัวลงมาใกล้ “เพราะฉะนั้นเธอจงจำเอาไว้ให้แม่นๆ เลยนะว่า ฉันจะขังเธอไว้ที่นี่จนวันตาย”
จบน้ำเสียงเฉียบเย็นนั้น ปากที่เตรียมแว้ดของพัณณิตาเป็นอันหุบฉับ แม้อยากจะลุกขึ้นมาเถียงเขาฉอดๆ แต่ก็ทำได้เพียงค่อยๆ ประคองร่างตัวเองให้ลุกขึ้น เมื่อยืดตัวเต็มความสูงก็ขยับห่างจากคนตัวโตไปอยู่อีกมุม เห็นเขายืนนิ่งหน้าตานั้นเฉยชา ถึงได้อ้อมแอ้มเอ่ยเสียงแผ่วราวกับกระซิบ
“ฉันว่าพวกนายจับคนมาผิดแล้วละ”
เมื่อชายหนุ่มเหลือบตามามองจึงบอกด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่น
“ฉันไม่ใช่ประภาภรณ์สักหน่อย ฉันชื่อพัณณิตา และฉันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนายด้วย”
“คุณจะชื่ออะไรก็ตามใจคุณ” คนไม่เชื่อบอกเสียงเรียบ “แต่ถึงยังไงคุณก็ต้องชดใช้เรื่องทั้งหมดให้ผม”
“เอ๊ะ! ทำไมฉันต้องชดใช้ ฉันทำผิดอะไรไม่ทราบ”
“ข้อนั้นพ่อของเธอรู้แก่ใจดี”
ไหล่กระด้างไหวน้อยๆ ยกข้อหาฉ้อโกงของนายทรงพล คติธนากรณ์ให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆ ตรงหน้าแบกรับจนหมดสิ้น ต่อให้เธอป่าวประกาศโต้งๆ ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ มีหรือเขาจะสนใจ เพราะถึงยังไงลูกน้องตัวดีที่อยู่ด้านนอกก็ไม่เคยปฏิบัติงานผิดพลาด ฉะนั้นคำแก้ต่างของคนตัวเล็กเป็นอันติดลบไปโดยปริยาย เธอต้องอยู่ชดใช้เป็นของเล่น ให้สมกับเงินสิบล้านที่ถูกโกงไป แต่ถ้ารวมกับดอกเบี้ยแล้ว ดูท่าทางงานนี้คงต้องชดใช้ด้วยชีวิตถึงจะคุ้ม
“ทำไมต้องว่าพ่อฉันด้วย อีตาบ้านี่พูดไม่รู้เรื่อง” ปากเล็กบ่นกระปอดกระแปด กัดฟันบ่นกรอดๆ ด้วยรู้ดีว่าทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ก่อนจะเชิดหน้าขึ้น แล้วถามออกไปอย่างอยากรู้ “แล้วฉันต้องชดใช้ให้นายยังไงไม่ทราบ”
“ยอมรับแล้วหรือว่าเธอคือประภาภรณ์”
“ไม่ยอมรับ! แต่ในเมื่อฉันซวยที่ถูกจับตัวมาแบบนี้ จะทำอะไรได้”
“ฮึ! เธอไม่ต้องทำอะไรมากหรอก ก็แค่...”
เขาหยุดคำพูดไว้เท่านั้น ก้าวเพียงครั้งก็ประชิดร่างบาง ปลายนิ้วเรียวหนาขยับเลื่อนแตะปลายคางเล็กอย่างถือวิสาสะ
“แค่...” ใช้แววตาสีน้ำตาลไหม้วาดไปตามกรอบหน้างามซึ่งผุดผ่องราวกับดอกไม้แรกแย้ม “ยอมเป็นของเล่นให้ฉันสักเดือนสองเดือนก็เท่านั้นเอง”
“โตเป็นควายขนาดนี้ยังจะเล่นของเล่นอีก ปัญญาอ่อน!”
ดวงตาของเจ้าพ่อโรงแรมดังถึงกับลุกโชติด้วยไฟโกรธ อุ้งมือร้อนผ่าวทาบที่เรียวแขนนิ่มแล้วบีบเต็มแรง
“เธอว่าใครปัญญาอ่อนฮ้า! ยัยตัวดี! ปากเสีย!” ว่าพลางก็เขย่าจนร่างเล็กๆ โยกเยกไปมา
“ก็ว่านายน่ะสิ หน้าตาก็ฝรั่งจ๋าขนาดนี้ จะต้องการของเล่นไปทำไมฮ้า! โน่น! ถ้าอยากได้ก็ไปขอเงินแม่ซื้อตุ๊กตาบาร์บี้โน่น ไม่ใช่ให้ฉันมานั่งเล่นเป็นเพื่อน นี่จะบอกอะไรให้นะ ฉันมีงานมีการที่ต้องทำ ไม่ได้มีเวลาว่างหรอกจะบอกให้” พัณณิตาเชิดหน้าขึ้นเถียงฉอดๆ อย่างไม่กริ่งเกรงเลยสักนิด แม้สีหน้าหล่อๆ จะเริ่มฉายแววเดือดดาลขนาดไหนก็ตาม
“ปล่อยได้แล้ว จะเขย่าจนหัวหลุดหรือไง โอ๊ย! ปล่อย...”
เอ่ยยังไม่ทันจบประโยค จู่ๆ เสียงก็เงียบหายไป มีเพียงดวงตากลมๆ เท่านั้นที่เบิกกว้าง เนื้อตัวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเฉียบเย็นราวกับถูกแช่แข็ง เพราะกลีบปากเล็กถูกปากคนตัวโตครอบครองทาบทับบดเบียด ขณะที่ปลายลิ้นร้อนๆ ก็รานรุกเข้ากวาดน้ำผึ้งเดือนห้าอย่างตะกละตะกลาม คนถูกชิงจูบแรกในชีวิตได้แต่ครางอ่อยๆ พยายามยกกำปั้นน้อยๆ ผลักอีกฝ่ายให้ถอยห่างแต่ก็ไม่สำเร็จ จึงทำได้แค่เพียงหายใจรวยรินเจียนขาดรอนๆ เพราะถูกแย่งอากาศหายใจเท่านั้น
“นี่คือเกมแรกที่ฉันจะเล่นกับเธอ”
เขาถอนจูบอย่างช้าๆ แล้วกระซิบชิดเรียวปากบวมเจ่อ ก่อนจะทาบทับกดหนักๆ อีกครั้ง แล้วปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ คนตัวเล็กซึ่งโงนเงนแข้งขาอ่อนแทบล้มตึง ดีหน่อยที่เธอวาดมือไปยึดกำแพงไม้เอาไว้ได้
“ดูเหมือนเกมนี้ฉันจะเป็นฝ่ายชนะซะด้วยสิ”
รอยยิ้มเยาะหยันประดับอยู่บนดวงหน้าหล่อ คนถูกปล้นจูบค่อยๆ สูดหายใจเข้าปอดลึก ระดมความกล้าให้กลับคืนมา ก่อนที่ใบหน้านวลงามจะค่อยๆ เชิดขึ้น แล้วเบ้ปากใส่
“ชนะเหรอ จูบห่วยๆ ของนายไม่ได้เรื่องเลยสักนิด”
“ยัยปากดี!” ชายหนุ่มเค้นเสียงอย่างโกรธๆ “เธอมันอวดดีเหมือนพ่อไม่มีผิด”
“ไอ้บ้า! หยุดพูดถึงพ่อฉันเดี๋ยวนี้นะ พ่อฉันจะดีจะเลวยังไง นายก็ไม่มีสิทธิ์พูด ถ้านายจะโทษท่านก็มาลงที่ฉันนี่ หยุดคำพูดเลวๆ ของนายเอาไว้เลย”
“ก็ได้” แฟรงค์พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ต่อจากนาทีนี้เป็นต้นไป ความโกรธทั้งหมด ฉันจะให้เธอแบกรับเพียงคนเดียว!”
‘แล้วคิดว่าฉันจะยอมให้นายทำอยู่ฝ่ายเดียวหรือไง’
คนตัวเล็กค่อนขอดอยู่ในใจ หากเมื่อชายหนุ่มตั้งหน้าตั้งตาจ้องเอาๆ ก็ได้แต่เบือนหน้าหนี ระดมสาดคำด่าทอเจ็บแสบไว้ภายในอก ภาวนาให้ถึงวันของตัวเองโดยเร็วที่สุด เพราะเธอจะเอาคืนเขาให้หนำใจ ชนิดที่อีกฝ่ายล้มแล้วลุกขึ้นมาต่อสู้อีกไม่ได้เลยตลอดชั่วชีวิต