CHAPTER 8
“ขอร้องเลยครับ”
กวนตีนไหมลูกน้องผมการรับส่งคำตอบรับโดยการยักคิ้วตอบรับคำขอของไอ้เบนไปนาทีที่มันเริ่มออกตัววิ่งให้ผมได้เห็นพร้อมกับเสียงเชียร์ของกลุ่มพวกมันผมก็ละสายตาไปมองที่อื่น
“มึงได้เตรียมรถพยาบาลให้ลูกน้องมึงแน่สัส ตายก่อนวัยอันควรแน่ๆ ไอ้เวรเบน”
“ให้มันหลาบจำแค่นี้มันไหว”
“ก็ยังใจร้ายเช่นเดิม”
ประโยคนี้ไอ้สัสข้ามเอ่ยทิ้งเอาไว้ด่าผมซึ่งก็นั่นแหละทำอะไรไม่ได้หรอกจิตใจผมมันแข็งกว่าประโยคพวกนี้เยอะ เยอะเกินไปด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปเกือบสิบนาทีที่ไอ้เบนมันก็ยังวิ่งแต่เริ่มเชื่องช้าลงเรื่อยๆ เพราะความเหนื่อยเข้าแทรกเพิ่มขึ้นตามลำดับส่วนผมควงไขควงในมือเล่นรอเวลาไปพลางๆ
สิบรอบมันก็แค่สิ่งที่คิดแต่ความเป็นจริงแล้วหลายคนอาจคิดคำตอบเอาไว้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริงได้หรอก ไม่เกินห้ารอบผมต้องสั่งให้ลูกน้องหยุดแน่ๆ คิดแบบนี้กันอยู่ใช่ไหมถ้าคิดแบบนี้จริงหยุดเลยครับสำหรับผมคำไหนคำนั้นแล้วถ้าวันนี้ไอ้เบนมันไม่ไหววันอื่นมันก็ต้องมาวิ่งเอาจนให้ครบทั้งสิบรอบนั้นแหละถึงจะพอ
“ไอ้เหี้ยแม่งไอ้เบนมันเลือกวิ่งจริงเหรอ?” ไอ้ดิวมันเดินเข้ามาสมทบหลังที่ทุกอย่างถูกจัดการเสร็จไปหมดแล้วเป็นที่เรียบร้อย ไอ้สัสผมอยากเอาตีนยันหน้ามันจริงๆ เลยสำหรับความกวนตีนของหุ้นส่วนอีกคนของธุรกิจตัวเองที่หายหน้าไม่มาคิดแตะหรือสนใจห่าเหวแต่วันนี้เสือกเลือกมาถูกวันแบบนี้ “แม่งไอ้พวกนั้นเล่าตั้งแต่หน้าประตูว่าเฮียกวางโหดเหี้ยๆ”
“จะว่ากูเหี้ยแบบเจาะจงตามที่คิดมึงก็พูดมา”
“เห้ย... มึงก็ว่าไปเพื่อน”
“เหรอ... ถ้ากูไม่เหี้ยก็คบกับคนอย่างพวกมึงไม่ได้นะ” ไอ้ดิวหัวเราะเบาๆ ก่อนนั่งลงข้างกายผมแขนข้างหนึ่งวางไว้บนไหล่ส่วนอีกข้างมันเอาเท้าคางใบหน้าตี๋ๆ ของมันนั่นแหละ “มีแต่เหี้ยกับเหี้ยทั้งนั้น”
“ว่าไปพวกกูไม่ได้เหี้ยขนาดนั้นออกจะมีสาระ”
“กูจะตอแหลเชื่อคำว่าสาระของมึงนะไอ้ดิว” แป๊บเดียวที่จ้องไปมองหน้าไอ้ดิวเสร็จก็หันมามองไอ้สัสข้ามที่ยิ้มนิดๆ เหมือนขำกับประโยคของผม “สาระที่มีแต่สาระชั่วกับสาระเลวอ่ะ”
“ดอกนี้แม่งเจ็บมั้ยวะ” ไอ้สัสข้ามถามไอ้ดิวออกมา
“ไม่เจ็บ กูหน้าด้านด่าเลวชั่วช้ายังไงก็ยังหน้าด้านรับฟังได้ตลอด”
“ไม่มีใครเกินพวกมึงได้หรอก” แต่รู้ไหมจบประโยคผมไอ้ดิวมันก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับเปลี่ยนท่าทางเป็นหนักใจเปิดกระป๋องเบียร์กระดกเข้าปากอย่างไม่ยั้งแค่นั้นผมก็พอเดาเรื่องได้ สายตาของไอ้สัสฟ้ามองมายังผมเพื่อบอกให้เอ่ยพูดทำลายความเงียบนี้ ความจริงผมก็ไม่อยากเอาตัวเข้าไปพูดอะไรกับเรื่องคนอื่นหรอกนะไม่อยากยุ่งด้วยซ้ำถ้าไม่เกี่ยวกับสิ่งที่ตัวเองสนใจมากแต่ก็เอาเถอะเพราะไอ้ดิวมันเป็นเพื่อนรักของผม “เมียไปเอากับคนอื่นอีกแล้วล่ะสิ?”
“ไอ้เหี้ยไม่ได้ดีขึ้นเลยกับคำถามมึงไอ้สัสกวาง”
ไอ้สัสข้ามเอ่ยขัดขึ้นกับคำถามของผมที่ถึงมันจะตรงไปหน่อยเหมือนไม่ได้รักษาความรู้สึกของเพื่อนนักแต่ก็ไม่ทำให้มันเจ็บไปมากหรือน้อยกว่านี้หรอกเพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ไอ้ดิวได้เจอกับอะไรทำนองนี้
“ก็ตรงๆ มึงจะให้กูอ้อมเพื่อ”
“เซฟความรู้สึกไอ้ดิวไงวะ”
ใช่ตอนนี้ผมเถียงกับไอ้สัสข้ามไปเป็นที่เรียบร้อย สนามการฟาดฟันด้วยประโยคถกเถียงได้เกิดขึ้นพร้อมทั้งสายตาแห่งการห้ามปรามแน่นอนผมไม่ใช่ฝ่ายห้ามแต่เป็นฝ่ายจ้องพูดไปตรงๆ กับสิ่งที่ได้รับรู้ขึ้นมาต่างหาก
“ความรู้สึกไอ้ดิวมึงจะเซฟเพื่อ แม่งมันพังไม่เป็นท่าตั้งแต่ไหนมาแล้วไม่ใช่เหรอ” ไอ้ดิวมันก็รู้มาตั้งเกือบปีแล้วแต่เลือกโง่ปล่อยไปวันๆ ให้อีกฝ่ายมองว่าไม่รับรู้อะไรในสิ่งที่เธอทำเลวทรามเอาไว้ต่างหากผู้หญิงคนนั้นเป็นรุ่นพี่หนึ่งปีตอนนี้เรียนอยู่ปีหนึ่งเป็นรักแรกรักเดียวที่มันยังคงตัดไม่ได้ ถ้าให้พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์มันพูดยากนะไม่ถึงทีใครไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวดแค่ไหน “ตอนนี้มันอยู่ที่ว่าจะเอายังไงต่อเท่านั้นเอง”
“หึ... เอาไงต่องั้นเหรอ”
เสียงไอ้ดิวเกิดขึ้นพูดทวนกับประโยคนั้นซ้ำๆ
“นี่มึงหนีเขามาเหรอวะหรือไม่เจอหน้าตั้งแต่รู้เรื่อง” ถึงตาของไอ้สัสข้ามถามไปหลังจากที่ไอ้ดิวบีบกระป๋องเบียร์ขว้างออกจากมือไป “ควรเคลียร์ให้จบๆ”
“เคลียร์หรือแก้ตัววะ”
“ไม่อยากฟังก็ไม่ต้องฟังแต่ต้องทำให้จบ มึงเข้าใจใช่มั้ยกับสิ่งที่กูพูด”
มันซ้ำซาก
มันน่าเบื่อจำเจ
และมันก็คงอยู่กับความอดทนไม่ได้
ผมไม่ได้พูดให้ไอ้ดิวเลิกกับแฟนตัวเองไม่เคยเชียร์ให้เลิกแต่แม่งตอนนี้มันไม่ใช่ ผมอยากก่อกองไฟสุ่มให้เลิกซะจะได้ไม่ต้องทำตัวแบบนี้อีก ความรู้สึกไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกับคนๆ หนึ่งที่รักมันยิ่งเป็นเรื่องใหญ่แต่ถ้าวันไหนไม่ไหวหรือไปต่อไม่ได้สิ่งที่ควรเซฟคือตัวเอง รักคนอื่นได้แต่ต้องรักตัวเองด้วย
“กูกลัวใจตัวเองต่างหาก”
“ทำไม” เพราะไอ้ดิวถอนหายใจลากยาวก่อนทอดมองไปบนท้องฟ้า
“มันไม่ได้เป็นของพี่เขานานแล้ว” ความรักที่อยู่บนความผิดซ้ำซาก ความรักที่อยู่บนการปรับตัวของคนๆ เดียว ความรักที่มีการนอกใจหรือนอกกายและความรักที่เหมือนไม่ใช่ความรักอาจทำให้อีกคนเป็นฝ่ายอดทนกับคำว่า ‘ขอโทษ’ มาตลอดเกิดคำๆ หนึ่งว่า ‘ไม่เอา’ แล้วก็ได้มันเป็นแบบนี้สินะ “มันถึงจุดสิ้นสุดมานานแล้วว่ะ ความอดทนของกูมันเกินคำว่าให้อภัยได้แล้วถึงเขาจะคุกเข่าขอโทษยังไงแต่ใจก็มันก็มีแค่คำว่าไม่เอาแล้วเท่านั้น ”
“ไม่มีใครรู้ตัวมึงดีเท่าตัวมึงเองหรอกดิว”
“ไอ้ข้ามพูดถูก การตัดสินใจของมึงมีมึงเท่านั้นที่จะรับรู้ได้มากสุดแต่รู้เอาไว้นะข้างๆ มึงจะมีกูกับไอ้ข้ามตลอดไม่ไหวก็บอกแดกเหล้าเป็นเพื่อนได้”
“กูได้คำตอบแล้วพวกมึงไม่ต้องห่วง”
“แต่กูคิดว่าเหี้ยกับเหี้ยทำแบบนั้นมันก็ดูพยายามเหี้ยส่งเสริมกันดีนะ”
เหี้ยที่นอกใจนอกกาย
เหี้ยที่หักหลังคนที่รักคุณมาก
และก็เหี้ยในสิ่งที่ไม่สมควรเหี้ยได้
ประโยคทิ้งท้ายในค่ำคืนนี้จบลงแค่นี้ส่วนไอ้เบนสิบรอบมันไม่ไหวหรอกต้องมาวิ่งต่อวันอื่นคืนนี้โดนไอ้ข้ามกับไอ้ดิวลากไปด้วยเรียบร้อยส่วนผมนั้นแยกกลับบ้านในช่วงเวลาเกือบตีหนึ่งกว่าซึ่งปกติคืนอื่นๆ มันก็ไม่เห็นมีอะไรแปลกแตกต่างจากเดิมยกเว้นคืนนี้แหละตรงลานกว้างแยกออกไปทางบ้านพักคนงานกับมีหลายคนออกมาดูอะไรบ้างอย่างทั้งที่ควรนอนพักผ่อนเพื่อทำงานในวันพรุ่งนี้
เดาไม่ผิดต้องมีเรื่องแน่
คนออกมาดูแบบนี้เรื่องต้องทำให้ความอยากรู้ทำงาน
“แม่...”
สิ่งที่ทำให้ผมต้องเหยียบเบรกรถทั้งที่ไม่คิดจะจอดดูก็คือแม่
แม่ที่กำลังเดินเข้าไปพร้อมกับลูกน้องสามคนตามหลังโดยมีลักษณะความรีบเร่งพอสมควรแค่นี้ผมก็จอดรถดับเครื่องเดินตามเข้าไปด้วยพอเดินเข้าใกล้อย่างแรกที่ได้ยินเป็นเสียงโวยวายฟังไม่ได้ศัพท์ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ติดกันตามมาต่อเนื่องแต่ก็ใช่ว่าผมจะเข้าถึงบุคคลที่กำลังส่งเสียงได้เลยนะผมต้องขอทางคนงานคนอื่นตามแม่ไปด้วย
เพราะทิ้งระยะห่างจากแม่เลยช้า
เพราะความล่าช้าเหตุการณ์ที่พึ่งเห็นจึงช่วยคนที่ถูกผลักลงพื้นไม่ได้
แต่พออีกฝ่ายที่เป็นคนกระทำเดินเข้ามากระชากร่างเล็กแล้วทำการผลักศีรษะอีกรอบหนึ่งคราวนี้ตรงข้างมันเป็นผนังกำแพงซึ่งพอศีรษะเล็กเคลื่อนไปมันต้องกระทบแน่ๆ ฝ่ามือของผมจึงยื่นออกไปป้องกันในทันทีพร้อมกับลูกน้องของแม่ที่เข้ากู่จับคนที่ทำเอาไว้
ปึก!
ไม่ใช่เสียงศีรษะกระทบผนังกำแพง
แต่เป็นหลังมือผมต่างหากที่กระทบเต็มๆ
“พี่กวาง...”
ใช่ครับคนที่โดนกระทำเป็นน้อยใจเองส่วนคนทำเป็นพ่อเลี้ยงของเธอ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทำเอาผมรีบเคลื่อนเอาตัวบังร่างเล็กเอาไว้ไม่ให้เห็นอะไรจำพวกนี้อีกถึงมันจะเกิดขึ้นมาแล้วกี่ครั้งก็ตามแต่ก็ไม่สมควรได้เห็นหรือว่ารับสถานการณ์บ้าๆ แบบนี้ เด็กแค่อายุ 13-14 ปีเท่านี้เองยิ่งเป็นผู้หญิงความรุนแรงพวกนี้แน่นอนว่าต้องสร้างบาดแผลขึ้นในใจแน่ๆ และสุดท้ายมันจะฝังในจิตใจไปอีกนาน
อาจไม่มีทางลืมเลือน
หรืออาจตลอดชีวิตมันก็เกิดขึ้นได้
“กวางลูกพาน้อยใจออกไปก่อน”
“ครับ” ผมเอ่ยรับปากแม่ในทันทีโดยไม่หันใบหน้ากลับมองท่านพร้อมกับออกแรงบังคับร่างเล็กให้ไปในทิศทางที่ตัวเองต้องการทว่าแค่เดินไปก้าวเดียวน้อยใจกับชะงักใบหน้าเปลี่ยนไปทางเจ็บปวดและเมื่อส่งสายตาไปสำรวจก็พบว่าตรงข้อเท้าบวมแดงเต่งขึ้นมาก “มาขึ้นขี่หลังพี่”
“แต่...”
“ขึ้นมา” ใช่ผมบังคับน้อยใจและไม่สนใจเหตุการณ์พวกนั้นถึงอยากจะเข้าไปเกี่ยวเสียหน่อยก็ตาม ผมรู้ว่าตอนนี้ควรทำอะไรก่อนเท่านั้นจึงนั่งย่อลงไม่นานร่างเล็กก็ขึ้นมานั่งกวาดมือคล้องลำคอผมเมื่อผมลุกขึ้นแล้วเดินห่างจากสถานที่นั้นมาเรื่อยๆ กระทั่งเสียงร้องไห้และโวยวายพวกนั้นค่อยหายไป “คืนนี้ดาวสวยนะไม่เงยหน้าไปดูหน่อยเหรอ”
“แต่พระจันทร์สวยกว่าแต่ก็คงเหงาแย่”
“เหงาได้ไงมีดาวรอบขนาดนั้น” ผมพาน้อยใจเดินมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงรถผมก็ย่อให้อีกฝ่ายลงจากหลังจากนั้นก็ยืนขึ้นเห็นใบหน้าเล็กซึมลงไปมากจากเหตุการณ์พวกนั้น “ไม่เหงาหรอกครับ”
“ใจเหมือนพระจันทร์เลยพี่กวางทุกอย่างรอบตัวมันมีแต่ความมืดไปหมดเลยถึงจะมีดวงดาวรอบตัวก็เถอะไม่ได้ช่วยให้สว่างสักนิดเดียว”
“เด็กน้อย”
“…”
น้อยใจเงียบแล้วก้มลงมองปลายเท้าไม่กล้าสบตาผม
ก้มอยู่แบบนั้น
“มานี่มา...”
“นี่พี่กวาง!”
น้อยใจเหวอนิดหน่อยเมื่อผมอุ้มหิ้วกางปีกเหมือนอุ้มเด็กขึ้นมานั่งบนกระโปรงรถเพื่อย่นระดับความสูงและเพื่อต้องการเห็นความบวมที่ข้อเท้าให้ชัดเจนขึ้น ภายใต้ดวงไฟสีนวลที่ส่องความสว่างให้ระหว่างผมกับอีกคนได้เห็นหน้ากันชัดเจนขึ้นมากกว่าเดิม น้อยใจดวงตาแดงเนื่องจากร้องไห้นานใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาจนผมอดยื่นผ้าเช็ดหน้าไปเกลี่ยให้อย่างเบาๆ
“มองพี่เป็นดาวที่สว่างรอบตัวเธอสิใจ พี่อยู่ใกล้เธออยู่แล้ว”
“…”
“ไม่มีใครอยู่ข้างก็หันหลังกลับมาพี่อยู่ด้านหลังเธอตลอด”
“…”
“แบบนี้โอเคมั้ยยัยพระจันทร์”
“ค่ะ”
“งั้นก็เลิกร้องไห้ก่อนอันดับแรก เธอไม่เหมาะกับน้ำตาสักนิดเดียวรู้ตัวมั้ยใจ” ไม่มีสักครั้งที่ผมจะไม่เห็นน้อยใจร้องไห้หรือว่าถูกแกล้ง “ยิ้มเยอะๆ มันเหมาะที่สุดแล้ว”
“โลกนี้ใจร้ายจังเนาะพี่กวาง ทำให้ใจร้องไห้ตลอดเลย”
“ถ้าโลกใบนี้มันใจร้ายกับเธอนัก มาอยู่โลกของพี่แล้วกันเพราะมันจะใจดีกับเธอที่สุด”