2

3338 คำ
อีกสองปีต่อมา    ‘ชายหนุ่มแทรกตัวตนของเขาเข้าสู่ช่องทางแสนอ่อนนุ่มแผ่วเบาเนิบช้าแต่มั่นคงราวภมรที่กำลังแต้มแตะลงบนกลีบดอกสีหวานก่อนขยับเคลื่อนขับเร้าเร่งจังหวะเสียดสีมากยิ่งขึ้น พลันเสียงหวานของหล่อนกรีดร้องเบาหวิวไหว ลึกซึ้งยิ่งนัก เรือนกายชื้นด้วยเหงื่อกระตุกซ้ำเมื่อแตะขอบฝั่งอารมณ์ บุรุษหนุ่มคู่รักยิ้มมุมปาก ดวงตาคมโชนแสงแห่งกามารมณ์ล้ำลึกกวาดมองร่างเล็กอย่างที่บ่งบอกปรารถนาได้ชัดแจ้งก่อนขยับสะโพกเข้าหาด้วยจังหวะเร็วขึ้นไม่นานจากนั้น เขาพาทั้งตัวเองและหญิงสาวข้ามฟากฝั่งไปพร้อมๆกันกับส่งเสียงคำรามเลื่อนลั่นอย่างสุขสม…’   “เป็นยังไงบ้างพี่วา พอไหวไหม” ณวกาญจน์อ่านจบถามคนตรงหน้า รอฟังคำตอบใจจดจ่อ เธออยากลองเขียนนิยายมานานแล้ว ได้แต่อ่านแต่ไม่มีโอกาสเขียนสักที พอเพื่อนยุ อีกทั้งวาสนายังบอกว่าจะช่วย เลยแต่งขึ้นช่วงตอนหนึ่งให้วาสนาพิจารณาว่างานของตนพอไหวบ้างไหม และเธอก็ชอบอ่านแนวนี้ วาสนาเคยไกด์ว่าหากจะลองก็น่าจะเขียนแนวที่ตัวเองชอบอ่าน ไม่รู้ว่าแต่งมาแล้ว อ่านให้อีกฝ่ายฟังแล้ว มันพอจะใช้ได้บ้างหรือไม่ วาสนาฟังแล้วมุ่ยหน้า มือยุ่งวุ่นวายกับกองเอกสารบนโต๊ะถามกลับแทนที่จะตอบคำของเธอ “แนวไหนของเราเนี่ย” “อ้าว ก็...โรแมนติกไงพี่วา” “พอได้ ลองอ่านให้เยอะๆกว่านี้หน่อย พี่ว่าที่เราอ่านมาเมื่อกี๊มันจะไม่โรแมนติกแล้วนะ” “ยังอีกหรือคะ” “เออ มันจะกระโดดไปเป็นอีโรติกแล้วน่ะซิ”  “งั้นเปรมแต่งอิโรติกเลยแล้วกัน ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว พี่วาแนะแนวต่อเลยได้ไหม ได้ยินมาว่าชอบอ่านแนวนี้นี่นา”           “เดี๋ยวเถอะ” สาวใหญ่ยกมือไม้วาดไปมาทำท่าจะตี แต่ดูรู้ว่าแค่หยอกเย้าเท่านั้น ณวกาญจน์เลยแกล้งร้องโวยวาย แล้วลุกขึ้นวิ่งปรู้ดออกมาจากห้องของวาสนา วาสนาเองก็เพิ่งนึกได้ว่ากำลังจะสอบถามถึงตุลาเสียหน่อย แต่อีกฝ่ายออกจากห้องไปเสียแล้ว ผ่อนลมหายใจทิ้งอย่างเนือยๆ รู้แล้วล่ะว่าสองคนนั่นเกินเลยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว บอกตัวเองว่าอย่าไปคาดคั้นก็ดี ด้วยว่านั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย  และณวกาญจน์ก็โตแล้วไม่ใช่เด็กๆแบบเมื่อก่อนที่ตนต้องคอยดูแลอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้คงได้แต่มองดูอยู่ห่างๆด้วยความเป็นห่วงตรงนี้คงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว ณวกาญจน์ออกมาก็พอดีเกือบชนเข้ากับอีกคนที่หน้าห้องทำงานของวาสนา หญิงสาวคนนั้น มองปราดเดียวก็เห็นว่าเป็นคนสวยที่มีทั้งรูปร่างผิวพรรณเด่นชัดออกมาชนิดไม่ต้องเพ่งพิศนาน เจ้าหล่อนสวมเสื้อแขนยาวสีเขียวลายพรางกับกางเกงสีดำ หิ้วของพะรุงพะรังเต็มสองมือ ออกปากทักเธอก่อน “สวัสดีค่ะพี่เปรม” ณวกาญจน์ยิ้มทั้งปากและตาอย่างสดใสกลับไป ทักอย่างอารมณ์ดี “ไง พัด ไปไหนมา” “มาส่งอาหารเสริมให้พี่วาค่ะ” พรรษมนชูถุงกระดาษสกรีนชื่อยี่ห้ออาหารเสริมให้ดู พรรษมนขยันมาก นอกจากมีงานเขียนนิยายหลากหลายนามปากกาแล้ว ยังขายสินค้าของบริษัทขายตรงชื่อดังอีกด้วย ณวกาญจน์พยักหน้าทำนองว่ารับรู้แล้ว ถามกึ่งๆชวน “แล้วไปไหนต่อไหมพัด” “ไม่ค่ะ วันนี้พัดว่าง” “อย่างเรามีวันว่างด้วยหรือ” แกล้งแซวเพื่อนรุ่นน้อง เพราะรู้ว่าพรรษมนเป็นคนค่อนไปทางขยัน เจ้าตัวตอบรับอายๆ “มีสิคะพี่เปรม” “รีบเอาของไปส่งคุณนายวาเถอะไป แล้วเราไปกินข้าวเที่ยงกัน วันนี้พี่ก็ว่างทั้งวัน เบื่อๆยังไม่อยากกลับห้อง”           พรรษมนยิ้มกว้างจนตายิบหยี ตอบรับ “ค่ะ”           ณวกาญจน์ขับรถออกมาพร้อมกับพรรษมน เป้าหมายคือห้างสรรพสินค้าใกล้ๆนั่น สองสาวสนิทกันตั้งแต่ครั้งเรียนมหาวิทยาลัยเพราะเป็นพี่เทคน้องเทคกันมาก่อน และด้วยความชอบที่ทั้งคู่มีคล้ายกันหลายเรื่องทำให้สนิทกันอย่างรวดเร็ว ณวกาญจน์เป็นลูกคนเดียว เธอมาจากครอบครัวระดับปานกลาง ที่มีมารดาเป็นหญิงเก่งมากๆคนหนึ่ง ท่านเป็นผู้อำนายการโรงเรียนในจังหวัดบ้านเกิด ส่วนบิดาเป็นผู้นำชุมชนท้องถิ่น แล้วก็มีธุรกิจเล็กๆเป็นของตัวเอง ไม่ได้ร่ำรวยมากมายแต่ก็ไม่ได้อับจนอะไร หญิงสาวเติบโตมากับบิดา ท่านรับหน้าที่เลี้ยงณวกาญจน์แทนมารดาที่สนใจแต่ทำงานนอกบ้าน โดยมีวาสนาคอยช่วย จนณวกาญจน์ได้เก้าขวบ บิดาก็ถูกยิงเสียชีวิต ช่วงนั้นเธอกลายเป็นเด็กซึมเศร้าอยู่นาน เนื่องจากสนิทกับบิดามากกว่า ค่าที่ท่านรักบุตรสาวคนเดียวอย่างเธอมาก อีกทั้งยังเป็นทั้งพ่อและแม่เกือบทุกโอกาสให้เธอ รวมไปถึงใส่ใจดูแลเธอเป็นอย่างดีมาโดยตลอดจนถึงวาระสุดท้ายของท่าน ชีวิตของเด็กหญิงณวกาญจน์จึงมีบิดานำหน้ามารดาเสมอ และเรื่องที่บิดาถูกยิงก็สะเทือนใจณวกาญจน์มากที่สุดในชีวิต กว่าจะกลับมาเป็นแบบเดิม พูดคุยกับคนอื่นๆได้ ก็ใช้เวลารักษาตัวอยู่นานเหมือนกัน ความเป็นลูกคนเดียวที่มีแม่ทำงานนอกบ้านมาโดยตลอด ทำให้ณวกาญจน์อยากมีน้องสาวสักคนเป็นเพื่อนยามเหงา พอได้พบพรรษมนบวกกับหน้าตาอากัปกิริยาที่น่ารักของรุ่นน้องเลยทำให้ผูกพันกันได้ง่ายดายขึ้นไปอีก  แต่แล้วจู่ๆพรรษมนก็หายไปในช่วงขึ้นปีที่สองจวบจนเธอจบการศึกษา ก็ไม่ได้เจอหน้ากันเลย มาพบอีกครั้งเมื่อตอนที่ณวกาญจน์เข้าคอร์สเรียนบริหารการเงินกับโค้ชชื่อดังคนหนึ่งซึ่งพรรษมนเองก็ไปเรียนเช่นเดียวกับเธอ พอรู้ว่าพรรษมนไม่ได้ทำงานประจำที่ไหน เธอเลยลองเอ่ยปากถามวาสนาดูว่าพอมีตำแหน่งว่างในร้านให้พรรษมนบ้างหรือไม่ ได้งานในร้านของวาสนา เจ้าหล่อนก็ทำได้ไม่นานแล้วขอลาออก ก่อนจะไปเป็นตัวแทนขายสินค้าให้บริษัทขายตรงที่ว่านั่น           หลังจากนั้นทั้งสองถึงได้ติดต่อกันเรื่อยมาจนวันนี้           “กินอะไรดีพัด” ณวกาญจน์ถามขณะจอดลงที่ลานจอดภายในห้างสรรพสินค้าแล้ว           “แล้วแต่พี่เปรมเลยค่ะ”           ณวกาญจน์เปิดประตูลงมาพร้อมกับเพื่อนรุ่นน้องคนสนิท เดินเข้าไปด้านในด้วยกันแล้วแหงะมองซ้ายขวาหาร้านอาหารอยู่อึดใจถึงถาม “อาหารเวียดนามดีไหม”           “ได้ค่ะ” ตอบรับด้วยรอยยิ้มแบบคนว่าง่าย คนชวนเลยคว้ามือจับจูงเข้าไปด้านในทันที พอดีกับที่มีชายคนหนึ่งผลุนผลันออกมาจากในร้านชนโครมเข้ากับพรรษมน           “อุ๊ย ขอโทษครับ…”           ชายหนุ่มหน้าตาพอใช้ได้ท่าทางสำอางเดินชนเข้ากับพรรษมนเอ่ยด้วยรอยยิ้มหวานหยด ทั้งแววตาเป็นประกายวิบวับขณะจับจ้องพรรษมน           “อ้าวริว”           ณวกาญจน์มองชายหนุ่ม ทักทายอีกฝ่ายก่อนยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นอีกคนเดินตามหลังออกมา           “นึกแล้วว่าแกต้องมายืนป้อสาวต่ออีก” เป็นกิตติภาภรณ์นั่นเองที่ทักบ้าง ก่อนบอก “ฉันมาบรีฟงานกับมัน”           “เสร็จแล้วหรือ”           ณวกาญจน์ไม่ได้เจาะจงถามใคร กิตติภาภรณ์พยักหน้าตอบ           “อือม์ จะกลับแล้วเนี่ย”           “เสียดายจังไม่น่ามีงานต่อเลย ไม่งั้นริวจะได้อยู่เลี้ยงข้าวสาวๆสักมื้อ นี่ริวยังไม่รู้จักชื่อเลย เปรมไม่แนะนำหน่อยหรือ” ท่าทางริวดูออกว่าสนใจสาวสวยที่มากับณวกาญจน์           “หยุดเจ้าชู้สักครู่เถอะค่ะคุณริว” กิตติภาภรณ์บอกเอือมๆ           ริวรีบแก้ “เจ้าชู้อะไรกิตนี่ เดี๋ยวใครไม่รู้เขาจะมองเราไม่ดีนะ”           “มองไปเถอะค่ะ มันน่ะไม่ดีจริงๆ”            ทั้งหมดยืนคุยอีกครู่เดียวแล้วร่ำลากันไป ชายหนุ่มชื่อริวมีสายตาอาลัยพรรษมนอย่างเห็นได้ชัด ณวกาญจน์กรอกตาแล้วยิ้มอย่างเหนื่อยหน่ายใจก่อนดึงแขนรุ่นน้องให้ตรงไปยังด้านในต่อจากนั้น กระซิบล้อๆ “เสน่ห์แรงตลอดตลอดนะน้องพี่”           พรรษมนยิ้มหวานไม่ได้ตอบอะไร คุ้นชินกับเหตุการณ์ทำนองนี้ดี ด้วยว่าเป็นเรื่องปกติที่พบเจออยู่บ่อยที่เพศตรงข้ามแสดงท่าทีสนใจตนเอง           สาวรุ่นพี่มองเสี้ยวหน้าของพรรษมนด้วยสายตาชื่นชม หญิงสาวสวยชนิดไม่ต้องเพ่งนานแบบเธอ ไม่แปลกที่จะมีหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่คอยส่งสายตามาให้อยู่เสมอ หรือรายใดใจกล้าหน่อยตรงมาจีบเลยก็มีไม่น้อย สองสาวเดินควงแขนกันเข้าไปในร้านอาหารเวียดนามเลือกที่นั่งแล้ว ณวกาญจน์แกล้งมุ่ยหน้าบ่น           “พี่เริ่มเขียนนิยายแล้วนะพัด”           พรรษมนยิ้มแล้วพูดเสียงเบาตามแบบของเธอ “ดีแล้วค่ะ อยากเป็นนักเขียนก็ต้องเริ่มเขียนถูกแล้ว พัดสิ ไม่ได้เขียนนิยายเลยค่ะช่วงนี้”           พยักหน้าเข้าใจ แต่ก็ถาม “ยุ่งใช่ไหมล่ะ” “ก็...ค่ะ” พรรษมนอึกอักคล้ายจะพูดอะไรแต่กลับเปลี่ยนใจไม่พูด ตอบรับออกมาคำเดียวแล้วยื่นมือหยิบเมนูจากพนักงานเผลอรูดแขนเสื้อเลื่อนขึ้นจนเห็นรอยบนแขน ณวกาญจน์ตาลุกวาวขึ้นทันที รอสั่งอาหารเสร็จย้ายที่นั่งฟากตนเองมาขนาบข้างพรรษมน คว้าแขนข้างนั้นขึ้นมามองตาขวาง “พี่จะดูแขน” พรรษมนยื้อพร้อมครางเสียงอ่อย “พี่เปรม...” ณวกาญจน์ส่ายหน้าอย่างไม่ใคร่พอใจนัก ถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ “ทะเลาะกันอีกแล้วหรือพัด” พออีกฝ่ายนั่งก้มหน้านิ่งเงียบไม่ยอมตอบก็เลยบ่นเข้าให้ “โธ่เอ๊ยพัด จะทนไปทำไมพี่ไม่เข้าใจเราเลย แล้วลูกล่ะ” พรรษมนนิ่งไปครู่ หลบตาอ้อมแอ้มว่า “เขาเอาไปค่ะ เห็นว่าจะให้แม่เขาเลี้ยงให้ค่ะ”            “แล้วที่บ้านรู้ไหมว่าทะเลาะกันบ่อยแบบนี้น่ะ”            สาวรุ่นน้องก้มหน้า ตอบเสียงเบา “ไม่รู้ค่ะ พัดไม่ได้บอกใคร” “ไม่คิดจะบอกเลยหรือไง” พรรษมนเงียบเสียงไปแล้ว ตาแดงก่ำเหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ ณวกาญจน์เลยเอนตัวออกห่างกระแทกพนักพิง พูดเสียงห้วนนิดๆ           “เอาเถอะ พี่เองก็คนนอกไม่อยากเข้าไปยุ่งนักหรอกชีวิตครอบครัวคนอื่นเนี่ย”           คนฟังรับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายกล่าวด้วยความน้อยใจ ณวกาญจน์ไม่นิยมการแก้ปัญหาแบบนี้เลยสักนิด หากรู้จะบ่นเธอตลอด พรรษมนเลือกที่จะหลบ ไม่ต่อสู้ ไม่ตอบโต้กลับ ทั้งที่ตนเองไม่ใช่คนผิด           แล้วถึงได้หน้าหงอยลง เข้าใจความคิดของสาวรุ่นพี่ “พี่เปรมอย่าพูดแบบนี้”           ณวกาญจน์ถอนหายใจหนักๆแล้วว่า “พอแล้วเลิกคุยเรื่องเครียดๆ กินก่อนดีกว่า” พอพรรษมนเผลอตัว ณวกาญจน์ก็ลอบมองอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจในความเป็นผู้หญิงเช่นกันกับตน พรรษมนมีครอบครัวแล้วทั้งๆที่ยังเรียนไม่จบ และนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ณวกาญจน์ยิ่งทวีความรัก ความสงสารและเห็นใจสาวรุ่นน้อง หลังจากที่หายไปในช่วงที่เรียนนั่นเอง เจ้าหล่อนเล่าว่าผู้ชายที่คบหาเป็นรุ่นพี่คนละคณะ คนละสถาบันเดียวกัน ที่รู้จักก็เพราะทางนั้นเข้าหาหญิงสาวก่อน ตามจีบได้ไม่นาน ก็คบหาดูใจ พอความสัมพันธ์ลึกซึ้งมากขึ้นหน่อย พรรษมนก็ตั้งครรภ์ เจ้าตัวดร็อปเรียนยอมอุ้มท้องเก็บลูกเอาไว้ เจ้าตัวเล่าว่าเพราะรักผู้ชายคนนั้นมาก คิดว่าสายสัมพันธ์นี้จะสามารถรั้งเขาไว้ได้ แต่เปล่าเลย ช่วงนั้นผู้ชายที่เป็นพ่อของเด็กเริ่มตีตัวออกห่าง ความสัมพันธ์ระหองระแหงเรื่อยมา ในเมื่อยังเรียนไม่จบกันทั้งคู่วุฒิภาวะก็ต่ำจึงมีปากเสียงทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆทุกเรื่อง ด่าทอกันและเริ่มลงไม้ลงมือตั้งแต่บัดนั้น เขาไปคบหาผู้หญิงคนใหม่อีกมากหน้าหลายตา และต้องการเลิกกับพรรษมน แต่สาวรุ่นน้องอยากให้อยู่เป็นครอบครัวต่อไปจึงได้แต่ยื้อ และยอมให้ทางนั้นตบตีมาโดยตลอด ส่วนมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้ไปเรียนอีกแล้ว จนพรรษมนคลอดลูกและตัดสินใจไม่กลับไปศึกษาต่อ แล้วเริ่มหางานทำ ส่วนผู้ชายคนนั้นก็เทียวไปเทียวมาหาพรรษมน บางวันก็มาดี บางวันก็มาร้าย ทะเลาะตบตีพรรษมนตลอดจนถึงปัจจุบัน ณวกาญจน์เกลียดนัก เธอไม่เคยเจอหน้าผู้ชายเลวๆคนนั้นหรอก ไม่อยากเจอด้วย เรื่องราวทั้งหมดเป็นพรรษมนเองที่ออกปากเล่าให้ฟัง และไม่เคยคิดด้วยว่าคนหัวอ่อนอย่างพรรษมนจะโกหก ไม่มีเหตุผลกลใดที่พรรษมนต้องทำแบบนั้น และการที่ไม่ได้เจอกับสามีของพรรษมนนั่นดีไปอย่างเพราะเธอทนไม่ได้เลย หากรู้ว่าเพศเดียวกันต้องถูกย่ำยีแบบนี้ก็จะอารมณ์ขึ้นมาทันที ยิ่งถ้าเห็นกับตา ได้เจอหน้ากันจังๆเชื่อว่าเธอคงเข้าไปมีเรื่องด้วยอีกคนเป็นแน่ บอกตัวเองให้เลิกคิด แล้วกินข้าว ชวนคุยเรื่องอื่นให้มันจรรโลงใจ จนอิ่มท้องในเวลาต่อมาจัดแจงชำระค่าอาหารแล้วถึงเดินออกไปด้านนอกด้วยกัน ณวกาญจน์หยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นกดๆอะไรดูอยู่ครู่ก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะมองนิ่งตรงไปที่เบื้องหน้า หันมาจับมือพรรษมนแล้วเดินเร็วๆไปยังชายคนหนึ่งที่ยืนหันหลังให้ทั้งคู่           “พี่ตุลย์”                          ชายหนุ่มที่ณวกาญจน์เรียก หันขวับทันที เขาดูหล่อเหลาและสุขุมนุ่มนวลแลอบอุ่นแบบนี้เป็นนิจ ตุลาเพิ่งเดินแยกออกมาจากชายต่างชาติตรงหน้าร้านกาแฟมีชื่อในชั้นเดียวกันกับที่พวกเธอรับประทานอาหารแล้วยืนรับสายเรียกเข้าอยู่ตอนที่ณวกาญจน์ร้องทัก ท่าทางของเขาดูองอาจ มีอำนาจแฝงเร้นอยู่ภายใต้บุคลิกราบเรียบ และมาต้นปีนี้เองที่เขาเริ่มสวมแว่นสายตา แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้เขาดูแก่หรือเชยเลยแม้แต่นิด กลับยิ่งทำให้ดึงดูดสายตาใครต่อใครที่เดินผ่านไปผ่านมาได้เสียอีก โดยเฉพาะสาวน้อยสาวใหญ่ที่พากันสะกิดมองแล้วยิ้มเขินอาย เพียงแค่เขากวาดสายตาผ่านเท่านั้น ณวกาญจน์ยิ้มจนตายิบหยี ก่อนเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง ทำเอาตุลายิ้มกว้างทันทีที่ได้ยิน “บังเอิญจังเลยนะคะ” แล้วแนะนำให้ทั้งสองคนได้รู้จักกัน           “นี่พัดค่ะพี่ตุลย์ จำได้ไหมที่เปรมเคยบอกว่าเป็นน้องที่เปรมรักมากที่สุดแล้วก็สนิทที่สุดของเปรมไงคะ”           “พัดจ๊ะ นี่พี่ตุลย์จ้ะ” พรรษมนมองอีกฝ่ายนิ่งๆผุดรอยยิ้มมุมปากเล็กๆ แล้วยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่าย แนะนำเสร็จสิ้น เสียงเข้มเปรยขึ้นคล้ายมีกระแสน้อยใจนิดๆในนั้น “ไม่เห็นแนะนำกับน้องเลยว่าพี่ตุลย์เป็นอะไรกับเปรม”           ณวกาญจน์เม้มปากอมยิ้มจนปวดแก้มกับคำกล่าวท้วงของเขา แววตาหญิงสาวเต้นวิบวับเป็นประกายซุกซนขึ้นมาทันที ตอนที่สบตากับชายหนุ่ม เลยเบือนหน้าไปหาพรรษมนพูดยิ้มๆ           “พี่ตุลย์เป็น...รุ่นพี่สนิทที่สุดเหมือนกับที่พัดเป็นน้องที่สนิทที่สุดของพี่ไงจ๊ะ” ได้ยินคำตอบของณวกาญจน์แล้ว ตุลาได้แต่ถอนใจยาวๆ มุมปากกดลงอย่างให้รู้ว่าไม่พอใจคำตอบของเธอ แววตาที่มองทางณวกาญจน์คล้ายจะบอกว่า ‘นึกไว้แล้ว ว่าต้องแนะนำแบบนี้’ แล้วเลยยอมว่าตามกันไป “พี่เป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้นที่เปรมอยากให้พี่เป็น พี่เป็นได้หมดนั่นแหละ” ณวกาญจน์ยิ้มอ่อนๆก่อนถาม “งอนหรือคะ” “พี่เป็นแค่พี่ที่สนิทที่สุดเท่านั้นเอง มีสิทธิงอนได้ด้วยหรือครับ คนที่งอนกันได้พี่ว่าน่าจะเป็นมากกว่านั้นนะ” “แหน่ะ ฟังแล้วก็เหมือนจะงอนนะคะ” สองหนุ่มสาวพูดคุยหยอกล้อกันโดยไม่ทันเห็นสายตาชนิดหนึ่งของพรรษมน พอหันมาสบตาด้วย พรรษมนถึงได้ผุดรอยยิ้มอ่อนหวานตอบกลับมาอย่างไม่ให้ผิดสังเกตเลยสักนิด คุยกันอีกไม่กี่คำค่อยแยกย้ายกัน ชายหนุ่มเดินแยกไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับที่พัก ส่วนณวกาญจน์เอารถมาจึงเดินไปยังลานจอดพร้อมเพื่อนรุ่นน้อง พรรษมนขอลงที่ป้ายรถประจำทางเจ้าตัวบอกว่ามีธุระจะไปต่อ เธอเลยไม่ได้เซ้าซี้อะไรแล้วจึงวนรถกลับไปยังคอนโดมิเนียมแถบชานเมืองที่ใช้เป็นที่พำนักมาได้ระยะหนึ่งแล้ว ตุลาบอกว่าที่นี่ราคาไม่แพงมาก และทุกอย่างลงตัวพอดีกับที่เธอต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ที่ตั้งรวมไปถึงสภาพแวดล้อม พอมารู้ราคาทีหลังก็ได้แต่ค่อนเขาว่านี่นะหรือราคาไม่แพงอย่างที่บอกเธอ เปิดประตูห้องเข้าไปแล้วค่อยบอกเสียงหวานให้คนในนั้นรู้ มั่นใจว่ามีคนอยู่เพราะไฟเปิดสว่าง เครื่องปรับอากาศทำงานจนเย็นฉ่ำปอด           “กลับมาแล้วค่ะ”           “นึกว่าวันนี้จะไม่กลับ ‘รังรัก’ ของเราแล้วนะเนี่ย” เสียงถามดังมาจากส่วนที่กั้นเอาไว้เป็นห้องครัว “อยากกินอะไรอีกไหม หิวอีกหรือเปล่า”             เธอเดินไปหยิบแก้วเทน้ำใส่ดื่มอักๆถึงพูดขึ้นบ้าง “จะทำให้กินหรือไงคะ” “เปล่า พี่ถามไปงั้นเอง” ชายหนุ่มแทนตัวเองว่าพี่หลังจากขอคบหากับเธอได้ไม่ถึงห้านาทีดี จากนั้นก็เรียก ‘พี่’ แทนคำอื่นที่ดูห่างเหินกว่ามาแต่บัดนั้น คนพูดอยู่ในชุดเดิมที่เธอเจอเขาที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า แต่ตอนนี้มีผ้ากันเปื้อนสีสดตัดกันกับชุดคาดทับเอาไว้อีกชั้น           “เห๊อะ เรารึนึกว่าที่ถามเพราะจะทำให้กิน”           แล้วมองเขาราวกับต้องการจับโกหก           “เราบังเอิญเจอกันจริงอ่ะ?”           ใช่ครั้งแรกที่ไหนกันที่เธอมักจะเจอตุลาในห้างสรรพสินค้าแบบนี้ เรียกว่าเจอบ่อยตั้งแต่ก่อนคบหากันเสียอีก จวบจนทุกวันนี้ เธอก็บังเอิญเจอเขาอยู่บ่อยๆ           เลยโหลดแอปพลิเคชั่นเอาไว้จับผิดเขาบ้าง และดูเหมือนตุลาก็เต็มใจให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โทรศัพท์ของเขาไม่ใช่ของหวงห้ามสำหรับณวกาญจน์ จนหลังๆชักเบื่อจะหยิบมาดู           แล้วก็พบว่ามันโชว์หราว่าตุลาอยู่ที่ไหนในตอนนี้ ตุลาเองก็ดูชอบใจที่เธอเช็คเขาอยู่เรื่อยๆ       
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม