1

3939 คำ
ณวกาญจน์ละสายตาที่ชอบใช้เหม่อครุ่นคิดกลับมาสบตาเพื่อนร่วมโต๊ะ บรรยากาศโดยรอบของผับชื่อดังแห่งหนึ่งย่านใจกลางเมืองที่คนแก่อาวุโสกว่าเป็นคนนำมา ทำไมถึงดูคึกคักต่อเนื่องไม่หยุด เป็นแบบนี้เสมอหรืออย่างไร พวกเขาเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาเต้นได้ตลอดทั้งคืน  เมธาวี เพื่อนสนิทของเธอที่ตามมาด้วยนั่งไขว้ขาเล็กๆที่พันเกี่ยวกระหวัดกันไปมาเหมือนงูสองตัวพลอดรัดกัน โยกตามจังหวะเสียงเพลงเร็วบ้างช้าบ้างสลับตามอารมณ์ของเจ้าตัวหาใช่ตามจังหวะของเพลงที่ได้ยินไม่ ณวกาญจน์มองแล้วขำ โน้มตัวเข้าไปพูดกับวาสนาให้ใกล้ที่สุด จุดประสงค์คือเสียงโดยรอบนั่นดังและเธอขี้เกียจตะเบ็งแข่ง “วุ่นวายจังเลยเนอะพี่วา” วาสนาปรายตามองณวกาญจน์ บุตรสาวของอาจารย์ณหทัย ที่เป็นครูสอนวาสนามาตั้งแต่ชั้นอนุบาล และวาสนาเองก็เคารพรักท่านไม่ต่างจากแม่ เหน็บแนมตามนิสัย “ผับนะนังหนู ไม่ใช่วัด” ณวกาญจน์มุ่ยหน้า บอกต่อด้วยใบหน้าแหยๆ “ไม่น่าเชื่อนะคะว่าจะมีคนชอบมาที่แบบนี้ด้วย”           “พูดจาดูเป็นคนดี๊ คนดีอ่ะ” เพื่อนสนิทที่มองไปทางโต๊ะชายหนุ่มล้วนยิ้มหวานให้ทางนั้น ปากยังสามารถพูดแขวะเธอได้อย่างชำนิชำนาญตามนิสัยอีกคน ณวกาญจน์เถียงยิ้มๆ “อ้าว! ก็จริงนี่”           ขณะที่กำลังคุยกันอยู่นั่น เด็กในร้านเข้ามาหาวาสนาพร้อมรายงาน “พี่วาคะ คุณตุลามาค่ะ” วาสนาพยักหน้าเชิงว่ารับรู้ ไม่ตอบอะไร แต่หันมาบอกกับพวกเธอแทน “นั่งคุยกันไปนะ พี่ขอไปเทคแคร์ป๋ากระเป๋าหนักซักเดี๋ยว” แต่แล้วคนที่วาสนาต้องถึงกับลุกออกไปบริการด้วยตนเองกลับเดินมาหยุดยืนที่ด้านหลังโต๊ะตัวที่พวกเธอกำลังนั่งกันอยู่ เขาเป็นเจ้าของร่างสูงสง่าเกินมาตรฐานชายไทย แม้เสื้อผ้าที่สวมใส่จะไม่หวือหวาแฟชั่นจ๋าแบบคนอื่นที่เห็นดาษดื่นในผับแห่งนี้ แต่ดูโดดเด่นน่ามองไม่น้อย อาจเป็นที่บุคลิกนิ่งขรึมของเขาที่ดูขัดแย้งกับสถานที่ รวมถึงราศีที่จับอยู่รอบตัวเขาด้วยละมังที่ทำให้ณวกาญจน์ผู้ไม่เคยแอบมองใคร ละสายตาจากเขาไปไม่ได้ “สวัสดีคุณวา...” เขาเอ่ยทักทายวาสนาก่อน อาจเป็นเพราะอายุที่น้อยกว่าวาสนาก็เป็นได้ แต่เป็นวาสนาเสียเองที่ยกมือขึ้นไหว้เขาพร้อมทักทายกลับด้วยสีหน้าอ่านไม่ใคร่ออกเท่าไรนัก “สวัสดีค่ะคุณตุลย์ เดี๋ยววาให้เด็กจัดโต๊ะโซนด้านในให้นะคะ” “ไม่เป็นไรไม่ต้องยุ่งยากหรอกครับ ผมแค่พาน้องๆมาดื่มครู่เดียว แล้วว่าจะขอตัวกลับเลย ช่วงนี้งานค่อนข้างยุ่ง ไม่มีคุณวาคอยช่วย ผมก็เหมือนคนพิการดีดีนี่เอง” วาสนาทำเพียงยิ้มน้อยๆหน้าเจื่อนไปนิด ดูเหมือนทั้งสองคนจะเข้าใจความหมายของสายตาและคำพูดของกันและกันดี วาสนาเตรียมมองหาพนักงานในร้านเพื่อจัดโต๊ะให้ชายหนุ่มเป็นกรณีพิเศษ แล้วลุกยืนเดินนำไปยังโต๊ะในโซนที่เป็นส่วนตัวมากกว่าที่ตนนั่งอยู่กับสองสาวรุ่นน้อง ตุลามองพวกเธอก่อนยิ้มแบบผู้ใหญ่ใจดีแล้วจากไป ทันทีที่นั่งลงเรียบร้อย วาสนาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆแต่จริงจัง “เด็กคนนั้น...วารักเหมือนน้องสาวแท้ๆเลยนะคะ” วาสนาออกปากขรึมเข้มปกป้องหนึ่งในสองสาวราวแม่ไก่ที่กางปีกออก เมื่อเห็นว่ามีเภทภัยอันตรายเข้ามากล้ำกรายใกล้ลูกน้อยของตน ตุลามองยิ้มๆก่อนแค่นหัวเราะกล่าวว่า “ผมก็ยังไม่ได้อะไรเลยนี่”  เขารับแก้วจากพนักงานที่ชงเครื่องดื่มให้ จิบก่อนยิ้มแล้วเอ่ยล้อๆ “ดูท่าคุณวาจะหวงน้องคนนั้นไม่น้อยเลยนะ” “หวงสิคะ เด็กคนนั้นเป็นเด็กดี” “เด็กดี?” ตุลาทวนยิ้มๆขัดขึ้น แววตาคล้ายกับไม่เชื่อในคำของวาสนา เหลือบมองไปรอบๆร้าน ราวกับจะบอกว่าเด็กดีในสถานที่แบบนี้น่ะหรือ ย้อนแย้งไม่น้อยเลยนะ “แกมาหาข้อมูลเอาไปทำงานของแกน่ะค่ะ” วาสนาปดออกไปด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง “อ้อ ถ้าอย่างนั้น ผมรู้จักไว้คงไม่เสียหายอะไรมั้ง เพราะผมก็เป็นผู้ใหญ่ใจดี” ตุลาพูดต่อด้วยรอยยิ้มดูสบายๆในแบบของตน “เด็กคนนี้วาไม่ให้ยุ่งนะคะ” วาสนายืนยันคำเดิมพร้อมส่ายหน้าเบาๆ ส่งสายตาเอือมระอาใส่ผู้ที่เคยเป็นนาย  “ถือว่าวาขอก็แล้วกันนะคะนาย” “ทำไมต้องออกปากขนาดนั้นกันคุณวา” ชายผู้เคยเป็นนายถามกลับยิ้มๆ วาสนารู้จักตุลามานานก่อนหน้าจะมาจับธุรกิจผับบาร์แบบนี้ มีหรือที่มองตาแล้วจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ในหัว เธอเคยเป็นเลขาของเขามาพักหนึ่ง ก่อนลาออกมาบริหารงานที่ผับแห่งนี้ต่อ “ผมก็ยังไม่ได้ไปทำอะไรน้องเขาเลยนี่ครับ” “ให้จริงเถอะค่ะ ถ้าวารู้ว่านายพาตัวเองไปข้อง ไปเกี่ยวกับเด็กคนนั้น อย่ามาวาใจร้ายก็แล้วกันนะคะ” “ขู่ผมยังกับเป็นเมีย นี่ถ้ายอมให้ผมตั้งแต่แรกนู่นนะ ป่านนี้ลูกเต็มบ้านไปแล้ว” ตุลาเย้าเล่นเบาๆ วาสนาลอบกรอกตาก่อนติง “ทิ้งลายเถอะค่ะ แก่แล้ว” “สามสิบห้าแก่ตรงไหน” “แก่หมดทั้งตัวนั่นแหละค่ะนาย” “ถ้าเจอคนที่ใช่ก็จะยอมนะคุณวา...ลายที่บอกให้ทิ้งน่ะ” ตุลาบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ แต่วาสนาฟังออกว่านิ่งแบบนี้แล้วสัญญาณของตุลาคือจะไม่ถอย แถมแววตาที่ใช้มองณวกาญจน์นั่นก็ชัดเจนแจ่มแจ้งแดงแจ๋ว่าอย่างไรก็ต้องเอามาให้ได้อีกด้วย แต่แล้ววาสนาก็ไม่มีโอกาสได้อยู่กางปีกป้องหญิงสาวที่ตนห่วงหวงอีกต่อไป เมื่อมีแขกวีไอพีอีกคนแวะเวียนมาที่ร้าน เจ้าหล่อนจำต้องลุกไปทักทายอย่างนอบน้อมแต่น้อยกว่าตุลาเมื่อครู่นี้แล้วพาตรงไปยังอีกโต๊ะที่ทางนั้นจับจองไว้ ณวกาญจน์มองไปทางที่วาสนาหายไปกับชายแปลกหน้าคนนั้นแล้วค่อยแว่วเสียงเพื่อนซี้ว่าขึ้น “ท่าทางแบบนี้ เจ้าชู้ตัวพ่อเลยนะนั่นนังเปรม” “ใคร” ถามเพราะไม่รู้ว่าเมธาวีหมายถึงใครจริงๆ “ก็คนที่เจ๊วาพาไปที่โซนวีไอพีน่ะสิจะใคร” “ดูเจ้าชู้หรือ ไม่นะ เขาดู...ออกจะเป็นผู้ใหญ่ใจดี” เมธาวีปรายตามองก่อนแค่นเสียงหัวเราะทั้งที่ไม่ได้ขำกล่าวว่า “แกชอบเขาแล้วนังเปรม” “บ้า! ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะชอบใครง่ายๆแบบนั้น” “แล้วไป” สองสาวคุยสัพเพเหระต่ออีกเกือบชั่วโมง ณวกาญจน์จึงขอแยกกลับหอพักก่อน เมธาวีที่นึกเบื่อแล้วเช่นกันก็ว่าจะกลับด้วย โบกมือลาเพื่อนที่ขับรถนำหน้าออกไปแล้ว กำลังจะตามหลังไปบ้าง แต่แล้วก็นึกได้ว่าว่ากระเป๋าอีกใบที่ใส่หนังสืออ่านเล่นไม่ได้หิ้วขึ้นรถมาด้วย เลยจำต้องจอดรถไว้ดังเดิม เปิดไฟมองหาของอีกครั้งแต่กลับไม่พบ “ลืมไว้ไหนเนี่ย ขอให้อยู่ที่โต๊ะเถอะ” บ่นอยู่คนเดียวในรถแล้วเดินเข้ามาในร้านอีกครั้ง ในนั้นมีนิยายมือสองที่หายากมากที่เธอเพิ่งจองตัดหน้าเมธาวีมาได้ ยังไม่ได้อ่านเลยสักหน้าเดียว คิดแล้วยิ่งฉุนในความขี้หลงขี้ลืมของตัวเอง สอบถามจากพนักงานในร้าน ปรากฏว่าวาสนาออกไปแล้วเช่นกัน เลยต้องรบกวนให้พนักงานช่วยหากระเป๋าให้เธอที “หานี่อยู่หรือเปล่าครับ” ชายร่างสูงยื่นถุงผ้าที่ใส่ข้าวของของเธอกลับคืนมาให้ ณวกาญจน์มองหน้าชายคนนั้น ก่อนยื่นมือออกไปรับมาถือไว้แล้วเอ่ยขอบคุณ ดีใจยกใหญ่ที่ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากเรื่องใดกันแน่ ระหว่างเจอของ หรือ ได้เจอหน้าเขาอีกครั้ง เธอไม่ได้คุยอะไรกับเขาอีก นอกจากยิ้มแล้วขอตัว หันหลังเดินกลับไปที่รถของตน และคงจะลืมเขาไปแล้ว หากจะไม่ได้พบกับชายคนนั้นอีกในวันถัดมา ณวกาญจน์ออกมาหาซื้อของใช้หลังจากได้ของจนครบเธอแวะดูหนังสือที่ร้านใกล้ๆนั่นเอง ขณะหยิบเล่มนั้นอ่านวางเล่มนี้ได้พักใหญ่ ก็พบว่ามีคนเดินมาตรงที่เธอกำลังเลือกหาหนังสือ จึงขยับไปจนชิดชั้นเมื่อเข้าใจว่าตนเองขวางทางเดิน รู้สึกได้ว่าคนคนนั้นไม่เดินผ่านไปเธอเสียที จึงหันไปมองแล้วก็พบว่าเป็นเขา คนที่เธอเคยเจอที่ในร้านของวาสนา “บังเอิญจังเลยนะครับ”                                                    “พี่ตุลย์แกเอาแน่หรือวะคนนี้”           “ไม่รู้ แต่ทรงแบบนี้ น่าจะเอาแน่ว่ะ”           “เห้อ...เดี๋ยวก็เบื่ออีก ยิ่งขี้เบื่อ”                  เสียงสนทนาที่ด้านนอกร้านหนังสือมองเข้าไป ตรงที่นายของตนกำลังคุยอยู่กับหญิงสาวหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ผู้มีแววตาสดใสเป็นประกาย พร้อมเอ่ยปากพนันกันเอง            “ไม่จัดว่าสวย แต่น่ารัก แบบนี้แหละ เอาผู้ชายอย่างพี่ตุลย์อยู่แน่นอน” “ทำไมมั่นใจขนาดนั้น ของแบบนี้ต้องรอดูก่อนเว้ย” “พนันกันไหมเล่า” “ได้”    ถึงแม้ตุลาจะไม่ใช่ชายประเภทเพลย์บอย แต่เขาก็เป็นผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ถือพรหมจรรย์ และที่สำคัญเขายังโสด ไม่รวมฐานะที่ไม่ใช่เศรษฐีใหญ่ หรือเป็นลูกหลานเจ้าสัวระดับประเทศ ลูกเจ้าของกิจการมูลค่าพันล้านหมื่นล้านแสนล้าน แต่หากอยากได้อะไร วัตถุสิ่งไหน หรือแม้แต่ใครแล้ว ก็ไม่เคยเห็นว่าตุลาจะหามาไว้ในครอบครองไม่ได้ ชายหนุ่มต้องบริหารงานหลายอย่าง มีลูกน้องคนสนิทติดตามอยู่ไม่น้อย ที่เห็นติดสอยห้อยขาอยู่เป็นประจำก็มี ‘ดุ่ย’ กับ ‘ด่อง’ นี่เองที่กำลังยืนท้าพนันกัน ทั้งคู่รู้ใจนายดีที่แค่มองตาก็รู้ไปถึงก้นบึ้งของจิตใจผู้เป็นนาย หลังจากเห็นนายแยกจากสาวหน้าตาสดใสน่ารักคนนั้นที่ร้านหนังสือแล้ว ดุ่ยกับด่องก็เริ่มติดตามสาวน้อยนางนั้น พร้อมรายงานให้ผู้เป็นนายทราบเป็นระยะๆว่าเธอกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน และกับใคร ครั้งนี้ก็เช่นกันที่หนึ่งในสองคทายกโทรศัพท์รายงานผู้เป็นนายตุลารับสาย ฟังจบขมวดคิ้วแล้วคลายออกในที่สุด ถามทวน “บ้านพักคนชรา?”  “ครับ” “อือม์” ตุลาครางคล้ายกำลังใช้ความคิด จบด้วยการสั่ง “ใครสักคนถ้าว่างลองตามไปดูก่อน ว่าไปกับใคร แล้วไปทำอะไรบ้าง ได้เรื่องยังไง โทรมา” พอลูกน้องรับคำ เขาตัดสายทิ้งหันมาประชุมต่อเลิกประชุมแล้ว ตุลามีรถยนต์SUVสีดำเป็นรถประจำตัว ทั้งยังขับไปไหนมาไหนเองเสมอ ตรงสู่บ้านพักคนชราทันที “เจอกันอีกแล้วนะครับ” เสียงทักขณะที่เตรียมผลไม้ใส่ถาดอาหารให้บรรดาผู้สูงอายุที่บ้านพักคนชรา ณวกาญจน์ไม่คิดว่านี่จะเป็นการบังเอิญ หลังออกจากร้านหนังสือคราวนั้นเธอเห็นชายสองคนที่ด้านหน้า ครั้งนั้นไม่ได้นึกเอะใจ แต่พอเห็นชายหนึ่งในสองคนนั้นบ่อยขึ้นในช่วงสองสามวันมานี้ก็ชักจะเริ่มคิด เธอไม่ใช่สาวน้อยใสซื่อขนาดนั้น แม้จะเป็นคนพูดน้อยแต่ไม่ใช่รู้อะไรมาน้อย แม้จะเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีมาหมาดๆก็ตาม           “บังเอิญอีกแล้วหรือคะ”                                            เสียงใสๆที่ถามกลับมานั่น ไม่ทำให้ตุลาสะดุดใจได้เท่าแววตาสุกใสเป็นประกายแบบเด็กๆที่เหมือนเล่นเกมจับผิดได้ครบหมดทุกจุด           และนั่นยิ่งทำให้ตุลาถูกใจคนตรงหน้ามากขึ้นอีกหลายเท่าตัว นอกจากหน้าตารูปร่างจะถูกใจเขาแล้ว ตอนนี้ความรู้สึกชนิดหนึ่งพุ่งพล่านขึ้นอยู่ภายในกายของตุลา           มันเหมือนกับว่าเขาพบของหายากที่ตามหาอยู่เจอแล้ว           ของที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำ           และณวกาญจน์ก็คือสิ่งสิ่งนั้นในความคิดของตุลา  เสร็จจากกิจกรรมที่บ้านพักคนชรา ณวกาญจน์แวะไปที่ร้านหนังสือร้านที่ซึ่งพบกับตุลาคราวก่อน เพราะทางร้านแจ้งว่าหนังสือที่จองไว้มาแล้ว ตุลาไม่พูดมาก เขาไม่คิดว่ากำลังตามติดเธอ แต่ก็ขับรถตามมาด้วย ณวกาญจน์เลยได้กลับมาที่ร้านหนังสือพร้อมตุลาอีกครั้ง เมื่อได้ของครบ ณวกาญจน์แวะดูหนังสือต่ออีกครู่ใหญ่ๆ จงใจไล่เขากลายๆ แต่แล้วตุลาก็รอจนเธอเลือกหนังสือได้อีกสามเล่มแล้วยื่นมือขอถุงหนังสือไปถือให้ ก่อนจะตามมาส่งที่รถ           ณวกาญจน์รับของแล้วถือโอกาสลาเขาเสียเลย ขึ้นนั่งที่หลังพวงมาลัยรถยนต์เรียบร้อย สตาร์ทรถกลับไม่ติดเสียอย่างนั้น           “แบตน่าจะหมด” ตุลาวิเคราะห์แล้วเข้ามาช่วยดูให้ครู่หนึ่งก็ว่าขึ้น           “ถ้าไม่รังเกียจให้ผมไปส่งไหมครับ เดี๋ยวอีกครู่ผมจะให้เด็กๆมาช่วยเปลี่ยนแบตรถให้ ค่อยขับไปส่งทีหลัง”           เธออึ้งไปชั่วเสี้ยววินาที เพราะไม่ได้รู้จักเขาดีพอจะรบกวนเขาถึงขนาดนั้น ก่อนส่ายหน้าหวือเป็นการปฏิเสธ           “ไม่เป็นไรค่ะ เปรมเกรงใจ”           “เถอะครับ”           มองไม่เห็นว่าจะเล่นตัวไปทำไม ในเมื่อเธอต้องการความช่วยเหลืออยู่ในตอนนี้ เลยต้องตามเขาไปที่รถจากนั้น           “ปกติมื้อเย็นของคุณกี่โมงครับ”           เขาถามเมื่อขับรถออกสู่ถนนใหญ่มาได้ครู่เดียว           “ไม่แน่หรอกค่ะ บางทีก็สองทุ่ม สามทุ่ม เที่ยงคืนก็มี”           ตุลาไม่ว่าอะไรจากนั้นเขาขับรถที่ต้องฝ่าการจราจรที่แสนคับคั่งจนมาจอดที่ร้านอาหารบรรยากาศค่อนข้างดีร้านหนึ่ง           “ตอนนี้เกือบๆหนึ่งทุ่มแล้ว แวะรับประทานอะไรกันก่อนนะครับ”           ณวกาญจน์ออกฉุนนิดๆที่เหมือนถูกมัดมือชก แต่น่าแปลกที่ความฉุนนิดๆนั้น มีความรู้สึกหนึ่งผุดขึ้นในหัวใจ เธอนิ่ง แต่แล้วก็ยอมลงรถไปกับเขา           “ตุลย์คะ”           เสียงเรียกชื่อตุลาชนิดที่ต้องการให้โลกรู้ถึงความสนิทสนมแผดดังขึ้น ก่อนที่เจ้าของเสียงจะเดินมายืนจ้องหน้าณวกาญจน์           “นี่หรือเปล่าที่ทำให้คุณไม่ให้เอวาไปที่ห้อง”           หญิงสาวสวยจัดคนนั้นมองอาฆาตมาที่เธอ และไม่ทันที่ใครจะได้ตั้งตัว เจ้าหล่อนปราดเข้ามาตบหน้าของณวกาญจน์ในทันที           ตุลาคว้าแขนของเอวาเอาไว้ พร้อมกับมองหาใครสักคนในร้านไม่นานมีชายร่างสูงเข้ามารับช่วงต่อจากตุลา พาสาวอารมณ์ร้อนที่เพิ่งทำร้ายณวกาญจน์ออกไปจากที่ตรงนั้นเสีย           เขาเห็นแล้วว่าเธอมีเลือดซึมตรงมุมปาก ตุลาแตะแขนเธออย่างสุภาพจะพากลับขึ้นรถ           แต่ณวกาญจน์เบี่ยงตัวหนี บอกเสียงเรียบ ท่าทางแววตาดูนิ่งไป บอกด้วยน้ำเสียงที่เดาอารมณ์ไม่ออก “ไม่เป็นไรค่ะ คุณไปคุยกับแฟนให้เข้าใจกันดีกว่า เดี๋ยวจะยิ่งมีปัญหากัน”           “ผมยังไม่เคยคบหาผู้หญิงคนไหนในสถานะนั้นสักคน”ตุลาตอบกลับด้วยท่าทีนิ่งเรียบทว่าจริงจัง แววตาที่เขาใช้มองเธอลุ่มลึกราวกับบ่อน้ำยามราตรี “ต้องขอโทษแทนเธอด้วยที่ทำตัวไร้มารยาทแบบนั้นกับคุณ ผมจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคุณอีก”           แทบจะเป็นคำสาบานของเขา ตุลารู้สึกจริงจังมากทีเดียวขณะกับการกล่าวประโยคตอนท้ายนั่น           แต่ณวกาญจน์ไม่อยากสนใจอะไร เพราะเธอฉุนจัดชนิดที่ว่าไม่อยากอยู่ตรงนี้อีกต่อไปแล้ว ตั้งท่าจะกลับอย่างเดียว ด้วยการเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งยังที่พัก เมินหน้าไปอีกทาง พยายามระงับอารมณ์เดือดดาลของตนเอง           “ช่างเถอะค่ะ เธอคงเข้าใจผิด”           “ไม่ผิดหรอกครับ เธอเข้าใจถูกแล้ว”           ตุลาค้านด้วยแววตาเคร่งขรึม ก่อนเสริมต่อ           “ผมชอบคุณนะณวกาญจน์ เรา...ลองอยู่ในสถานะดูใจกันไปสักระยะ...ได้ไหม”           ณวกาญจน์หน้าร้อนผ่าวแทบไหม้ ตอนนี้อารมณ์เริ่มจะตีกัน เมื่อเห็นเขาคว้ามือเธอขึ้นมากุม ก่อนวอนด้วยน้ำเสียงจริงจังเร่งเร้า “ตกลงเราคบกันแล้วนะ” จำได้ว่าเธอไม่ได้ตอบตกลงกับตุลาด้วยคำพูด เพราะตอนนั้นความรู้สึกยังงุนงงอยู่มาก ไหนจะยังโกรธไม่หายที่ถูกแฟนของเขาทำร้ายเธออีก พอเห็นใบหน้าของเธอที่แดงจัด เขาเลยทึกทักเอาเป็นคำตอบเข้าข้างตัวเองว่า ‘ได้’ หลังจากวันนั้นตุลาลุกคืบเข้าหาเธอทีละนิดอย่างใจเย็นและมั่นคง จนณวกาญจน์เองก็ชักหวั่นใจว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา ทำไมก้าวกระโดดไวและมาไกลได้ถึงขนาดนี้ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เธอไม่ปริปากบอกให้ใครรู้เลยกับเรื่องของตนเองและตุลา                     ตุลาวางปากกาที่กำลังเคาะเป็นจังหวะขณะใช้ความคิดลงบนแฟ้มเมื่อประตูห้องทำงานของเขาถูกเปิดออกหลังมีเสียงเคาะไปเพียงสามครั้งเท่านั้น และเขายังไม่ทันได้เอ่ยปากให้เข้ามา คนที่ด้านหลังประตูก็ถือวิสาสะเปิด ไร้ซึ่งมารยาทจริงๆ แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใคร คำพูดที่เตรียมจะว่ากล่าวก็เป็นอันต้องพับไปในบัดดล           “อ้าวคุณวา แวะมาถึงนี่เลย มีเรื่องด่วนหรือครับ”           แม้ปากจะเอ่ยคำถามราวสุภาพกริ่งเกรง แต่วาสนาเคยทำงานกับตุลามาก่อน หล่อนมองออกว่านายเก่ากำลังไม่พอใจที่ตนเข้ามาโดยพลการแบบนี้           เมื่อเห็นแล้วว่าหากไม่ยับยั้งทางนี้ ก็ดูท่าจะสายจนแก้ไขไม่ได้อีกต่อไป           ณวกาญจน์เป็นเด็กดีติดจะหัวอ่อนด้วย หญิงอ่อนวัยที่วาสนาห่วงนักหนาเป็นบุตรสาวคนเดียวของอาจารย์ณหทัย ผู้อำนวยการโรงเรียนคนเก่าที่อุปการะวาสนาจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย           เมื่อก่อนวาสนาเรียนฟรี ได้หนังสือ เสื้อผ้า เงินค่าขนมก็ล้วนมาจากการเป็นพี่เลี้ยงให้ณวกาญน์ทั้งนั้น เธอเห็นณวกาญจน์ตั้งแต่อยู่ในท้อง ได้เลี้ยงหญิงสาวมาตั้งแต่บิดาของเจ้าหล่อนถูกยิงตาย  ทั้งป้อนข้าว ป้อนน้ำ ป้อนขนม พาเล่น พานอน ไม่สบายก็อยู่ดูแล ทำทุกอย่างแทบไม่ต่างจากเป็นแม่อีกคน จึงรักและผูกพันกับณวกาญจน์มาก มากพอๆกับที่ณวกาญจน์รู้สึกตอบกลับมา           วาสนาเข้ามายืนประจันหน้าเจ้านายเก่า บอกเสียงแข็ง           “นายคะ...วาบอกแล้วไง ว่าเด็กคนนี้วาขอ” ตุลากระตุกยิ้ม เขาวางปากกาลง ก่อนประสานมือ พร้อมกับจ้องเข้าไปในตาของวาสนาก่อนตอบกลับด้วยท่าทางก้าวแกร่งเอาจริงกลับไปยังวาสนา “คนนี้ผมก็ขอเหมือนกันครับคุณวา”   “เรากับเขา ไปถึงไหนกันแล้ว” วาสนาถามพร้อมจ้องหน้ารอคำตอบท่าทางจริงจังจนณวกาญจน์ต้องหลบตา รู้ว่าอีกฝ่ายถามถึงใคร อ้อมแอ้มว่า “จะไปถึงไหนล่ะคะ แค่ไปกินข้าวด้วยกันเฉยๆ” ท้ายประโยคแกล้งทำเสียงสูง กะจะให้วาสนาขำ แต่ดูเหมือนหญิงสาวรุ่นพี่จะไม่ขำตามไปด้วย วาสนาจ้องหน้าเธอแล้วถอนใจเฮือก บอกเสียงดุและจริงจัง “พี่เตือนเราเป็นครั้งสุดท้ายนะ อย่ายุ่งกับผู้ชายคนนี้” “ทำไมคะ”              “นั่นไง! แสดงว่าอยากยุ่ง ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ย้อนถามหาเหตุผลแน่ๆว่าทำไม” วาสนาฉุน แล้วเริ่มอธิบาย “นายไม่ใช่คนที่จะยอมหยุดที่ใครทั้งนั้นนะเปรม” “เปรมก็ไม่ได้...หวังขนาดนั้น” เสียงอ่อยลงแม้ลึกๆจะคาดหวังก็ตาม เห็นท่าทีของณวกาญจน์แบบนี้แล้ว เลยต้องพูดแรงๆให้รู้ตัว “อยากเป็นแค่ทางผ่านเขาหรือไงเปรม” “พี่วาน่ะ...” วาสนายกมือขึ้นประคองแก้มนุ่มของหญิงตรงหน้าเกลี้ยกล่อม “คุณตุลาไม่เหมือนผู้ชายคนไหนเลยที่พี่รู้จักมา ที่เขานิ่ง เขาอาจทำเหมือนเขาว่าไม่ใช่คนเจ้าชู้ แต่พี่จะบอกเอาให้รู้นะว่าผู้ชายคนนี้นะ โครตเหง้าของคนเจ้าชู้เลยเปรม เด็กอย่างเราไม่มีทางตามเขาทัน” ณวกาญจน์หลบตา แล้วย้ำคำตอบเดิม “เปรมก็ไม่คิดว่าจะไปได้ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แค่ไปกินข้าวด้วยกันเฉยๆเท่านั้นเองนะคะ” วาสนาถอนใจเฮือก บอกเสียงแข็ง “พี่มองตานายก็รู้” ณวกาญจน์ช้อนตาขึ้นมองหญิงสาวรุ่นพี่ ถามเสียงอ่อย “รู้ว่ายังไงคะ” “ก็รู้ว่าเขาอยากได้เปรมน่ะสิ” ได้ยินวาสนาบอกออกมาด้วยสีหน้าจริงจังก็หน้าร้อนผ่าวๆ หลบตาอ้อมแอ้มบอกปัด “เปรมไม่ใช่คนสวย”           วาสนามองคนตรงหน้านิ่ง ถอนใจเบาๆ “เปรมของพี่น่ารัก” ไม่ใช่น่ารักแบบธรรมดา แต่น่ารักมากด้วย และนายเก่าของวาสนาก็ต้องเห็นอย่างที่วาสนาเห็น คนถูกชมว่าน่ารักแกล้งมุ่ยหน้าหน่อยหนึ่ง ก่อนบอกสรรพคุณตัวเองตบท้าย “และเปรมก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นด้วยนะคะพี่วา” “เขาทำได้ เขาทำให้คนยากๆเป็นคนง่ายๆได้หมดนั่นแหละเปรม” ถ้าลงว่าเขาจะเอาน่ะ มองหน้าหญิงรุ่นพี่ ครางเสียงอ่อยๆอีก หวังใจว่าจะใช้กับวาสนาได้ผล “พี่วาน่ะ...เปรมแค่อยากลองคุยกับเขาดู ไม่ได้หวังจะไปไกลกว่านี้จริงๆนะคะ...” เห็นแววตาเหมือนเด็กดื้อเงียบอยากได้ของเล่นชิ้นใหญ่ ก็ได้แต่ใจแข็ง ส่ายหน้าทำนองว่าอย่าเลย จึงได้แต่หลุบตาลงอีกครั้งเพื่อปิดบังสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาของตน หากวาสนารู้มากกว่านั้นจะโกรธเธอไหม ไม่มีใครล่วงรู้เลยสักคนเดียวว่าหลังจากนั้นไม่นาน ณวกาญจน์ตกลงคบหากับตุลาแบบเงียบเชียบที่สุด และเธอจดทะเบียนสมรสกับตุลาหลังจากนั้นไม่นาน โดยไม่ปริปากบอกใครเลยสักคนเดียว  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม