BOAT TALK
“ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ”
“ไม่ได้ครับ”
ผมตอบโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมอง น้ำเสียงติดรำคาญไปสักหน่อย เพราะตั้งแต่ผมเดินเข้ามานั่ง ก็มีคำถามนี้ดังขึ้นมา 5-6รอบแล้ว
“แต่...”
“ไม่ต้องบอกนะครับว่าโต๊ะเต็ม ผมฟังจนเอียนแล้ว”
แต่ละคนที่เดินเข้ามาขอนั่งด้วย ต่างก็ให้เหตุผลแบบนี้กันทุกคน ฟังจนเบื่อแล้วครับ
“ก็โต๊ะเต็มจริง ๆ นี่คะ คุณลองเงยหน้ามองไปรอบ ๆ ร้านสิ”
“ถ้าร้านเต็ม ก็ไปร้านอื่นสิครับ”
มันยากตรงไหนวะ?
ที่นี่เต็ม... ก็รอ! ถ้าไม่อยากรอ ก็ไปร้านอื่น!
“ทำไมล่ะคะ ร้านโต๊ะเต็มแล้ว ที่ตรงนี้ก็ว่างอยู่ และฉันก็ไม่อยากไปหาร้านอื่น ฉันขอนั่งด้วยคนนะคะ”
ผมนี่ชักจะรำคาญเต็มทน ไม่มีใครตื๊อได้เท่าผู้หญิงคนนี้เลยจริง ๆ
“ไม่ได้ครับ ตรงนี้แฟนผมนั่ง แฟนผมกำลังมาแล้ว”
หวังว่าตอบไปแบบนี้จะเลิกตื๊อแล้วไปให้พ้นสักทีนะ เดี๋ยวณิชามาเห็นเข้าจะไม่พอใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันซะก่อน
“หูยยยย ขี้ตู่อ่า ไม่ใช่แฟนสักหน่อย”
ยังอีก... ยังไม่ไปอีก! แถมรู้ดีซะด้วยนะว่าไม่ใช่แฟน
แต่เดี๋ยวนะ...
“...ณิชา” ผมเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา เบาจนแทบไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาริมฝีปาก เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นเจ้าของเสียงหวาน ๆ ที่ยืนตื๊อขอนั่งด้วย
น่ารัก...
น่ารักโคตร ๆ
น่ารักฉิบหาย!
หน้าตาจิ้มลิ้ม ขนาดว่าไม่ได้แต่งแต้มสีสัน แต่กลับชวนมองจนไม่สามารถละสายตาไปได้ ในรูปว่าน่ารักแล้ว ตัวจริงน่ารักกว่าหลายเท่า
“ให้นั่งไหมอ่า ยืนนานเมื่อยแล้วนะ” น้ำเสียงเง้างอน ใบหน้างอง้ำ ปลุกให้ผมหลุดออกจากภวังค์
เผลอตัวเอาแต่ชื่นชมกับความน่ารักของเธอ จนลืมที่จะพูดคุยหรือชักชวนให้นั่ง เหมือนสมองโล่งไปชั่วขณะ โล่งจนลืมไปว่าคนตรงหน้าคือน้องสาวของคู่อริ
ทำไมไอ้เชนทร์มันมีน้องน่ารักจังวะ?
“เอ่อ นั่งดินั่ง” ผมลุกขึ้นแล้วจับแขนณิชาให้มานั่งลงที่โซฟาฝั่งที่เดิมที่ผมนั่งอยู่
แขนนุ๊มนุ่ม คนอะไรวะดีครบไปหมด
“นอกจากจะขี้ตู่ว่าเป็นแฟน ยังแต๊ะอั๋งอีกด้วย” เสียงหวานเอ่ยแซว
ฟังแล้วก็หน้าร้อน ๆ อย่างไรชอบกล
เขินเหรอวะ?
ไม่หรอก ผมหน้าด้านหน้าทน ไม่น่าเขินใครได้ ที่ผ่านมาเปลี่ยนแฟนมากี่คน ก็ไม่เคยเขินใครสักคน
“แล้วนี่นัดมามองหน้าแล้วเอาแต่ยิ้มเหรอ”
อะไรยิ้ม ๆ วะเมื่อกี้ ฟังไม่ค่อยถนัด เอาแต่มองหน้าณิชาอย่างเดียว ผมก็เลยถามกลับไป “นัดยิ้ม?”
“ทะลึ่ง!” ณิชาหันซ้ายหันขวา คงกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินเข้ามั้ง
“ฟังไม่ถนัดอะ ได้ยินแค่คำว่ายิ้ม ยังงงอยู่ว่าณิชาจะนัดยิ้มกับโบ๊ทเหรอ” ผมตอบก่อนจะกลั้วเสียงหัวเราะ
หูผมนี่หาเรื่องจริง ๆ
“ณิชาถามว่าโบ๊ทนัดมา เพื่อที่จะมองหน้าแล้วยิ้มให้แค่นี้เหรอ”
อ๋อ... ใจหายใจคว่ำ นึกว่าจะชวนยิ้มแบบอื่น
“ฮ่า ๆ ณิชาอยากกินไร เดี๋ยวโบ๊ทไปสั่งให้” ผมหัวเราะแล้วลุกพรวดขึ้นมา ณิชาก็ตกใจเล็กน้อย แต่พอผมถามไปเธอก็คลี่ยิ้มออกมา
“ณิชาชอบสตรอว์เบอร์รี เอาอะไรก็ได้ที่เป็นสตรอว์เบอร์รี”
“โอเค”
ผมหมุนตัวจะเดินไปเลือกเค้ก เลือกเครื่องดื่มให้ณิชา แต่ก็ต้องชะงักเพราะอีกฝ่ายเรียกเอาไว้
“โบ๊ท”
“ครับ?” ผมเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม
“ตู้เค้กอยู่ทางนี้... ทางนั้นเป็นห้องน้ำ” ณิชาชี้นิ้วไปที่ฝั่งซ้าย
ผมรีบหันไปทางที่ตัวเองจะเดินไปเมื่อสักครู่ ป้ายห้องน้ำโชว์หราอยู่แบบนั้น หลุดลอดสายตาไปได้ไงวะ
“ฮ่า ๆ ผิดทาง” ผมหัวเราะกลบเกลื่อนแล้วรีบเดินไปอีกทาง
ให้ตายสิ เสียอาการอะไรขนาดนี้วะ
ผมหยุดยืนอยู่ที่หน้าตู้เค้ก เลือกให้ณิชาไม่ถูก จะเอาแบบไหนให้ดีวะ
ยืนจด ๆ จ้อง ๆ มองอยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนมายืนข้าง ๆ ผมก็เลยขยับตัวออก
ตัดสินใจจะเอาชอร์ตเค้กให้ณิชา ผมและคนข้าง ๆ ก็ดันชี้ที่แบบเดียวกัน ซึ่งมันเหลืออยู่แค่หนึ่งชิ้น
“ใจตรงกันเลยแหะ” เสียงนี้...
ผมหันไปมองคนข้าง ๆ ที่ตอนนี้ยิ้มจนตาหยี เธอหันไปบอกพนักงานว่าจะเอาชิ้นนี้แล้วหันมาหาผม
“หายเงียบไป ก็เลยลุกมาดู” ณิชาบอกกับผม เธอกวาดสายตามองไปทั่วตู้เค้ก แล้วหันมาถาม “โบ๊ทจะกินอะไร เลือกหรือยัง”
“โบ๊ท” ณิชาเรียกชื่อผมอีกครั้ง เพราะผมเอาแต่มองการกระทำของเธอ จนไม่ได้ตอบอะไรไป
“ถามว่าอะไรนะ”
“เป็นไรเนี่ย” ณิชามองหน้าผมแล้วยิ้ม แต่สีหน้าเธอก็ดูงง ๆ กับผม
ไม่งงก็แปลกละ ผมยังงงตัวเองเลย
วันนี้เป็นบ้าอะไรวะ เสียอาการจนเกินไปมาก!
“เปล่าครับ”
“เลือกเค้กหรือยัง”
“ยังครับ... เลือกให้หน่อย”
ให้ณิชาเลือกให้ไปเลยจบเรื่อง ไม่งั้นวันนี้คงไม่ได้กลับจากคาเฟ่นี่แน่ ๆ
“เอาอันนี้ด้วยค่ะพี่... เครื่องดื่มเอาสตรอว์เบอร์รีโซดาสองแก้วค่ะ”
ทำดีแล้วครับ สั่งเครื่องดื่มให้พร้อมเลย ถ้าให้ผมเลือกเองอีก ก็อย่างว่าอะ ไม่ได้ไปจากตรงนี้แน่ ๆ