อดีตของเฟิงซูเหยา : 1.1

1098 คำ
"เฝ้านางไว้อย่าได้ห่างแม้ก้าวเดียว" ก่อนจะออกจากห้องเสียงทุ้มสั่งสาวรับใช้ให้อยู่ดูแลซูเหยาไม่ให้คลาดสายตาดั่งเช่นเขา "แคก แคก" คล้อยหลังอี้เฟย เฟิงซูเหยาก็กระแอมไอออกมาหลายครั้ง "คุณหนูไหวแน่นเจ้าคะ" อาถังรีบปรี่เข้าไปแตะมือลงบนหน้าผากคุณหนูของนางพลางบีบนวดมือแน่งน้อยให้เลือดไหลเวียน "ข้าขอน้ำหน่อย" รู้สึกคอแห้งเผือดเหมือนมีแต่ทรายในลำคอ นางกระหายน้ำราวกับตอนที่กำลังจะขาดอากาศหายใจในครั้งนั้น "เจ้าค่ะ" อาถังรีบเดินไปรินน้ำชาอุ่น ๆ มาให้ เฟิงซูเหยาจิบชานั้นช้า ๆ จนหมดถ้วยแล้วนอนลงบนตั่งนอนตามเดิม "หากข้าหลับ เจ้าช่วยตุ๋นน้ำแกงให้ข้าที" "แต่ว่าองค์ชายสาม..." "ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน" ครั้งนี้เฟิงซูเหยาไม่มีแรงจะหนีออกจากห้องนี้อีกแล้ว นางต้องการเวลาทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างอยู่คนเดียวเงียบ ๆ มากกว่า "เจ้าค่ะ บ่าวจะรอให้คุณหนูหลับไปก่อนนะเจ้าคะ" ว่าจบอาถังก็ห่มผ้าให้ซูเหยา จัดแจงปลดม่านกันแสงลงแง้มไว้เล็กน้อยเพื่อให้อากาศถ่ายเท รอไม่นานลมหายใจของคนบนตั่งนอนก็หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ บ่งบอกว่าตอนนี้เฟิงซูเหยาได้เข้าสู่ห่วงความฝันแล้ว เสียงสะอื้นเบา ๆ แบบข่มกลั้นน้ำเสียงเอาไว้ดังออกมาจากกองขยะในตรอกที่ทั้งมืดทั้งแคบแห่งหนึ่ง เด็กน้อยวัยสักสิบขวบเศษขดตัวคุดคู้เร้นกายให้กลมกลืนกับกองขยะเพราะกลัวจะมีคนตามหานางเจอแล้วจับกลับไปยังสถานที่ที่น่ากลัวแห่งนั้นอีก ทุกลมหายใจที่พ่นเข้าพ่นออกล้วนขมขื่นไปถึงขั้วหัวใจ ร่างน้อยสั่นเทิ้มด้วยความโดดเดี่ยวและหวาดกลัวหากแต่เด็กน้อยผู้นี้กลับไร้น้ำตาแม้แต่หยดเดียว มีเพียงเสียงสะอื้นในลำคอดังออกมาเป็นจังหวะเท่านั้น ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มราวอยู่ในห้วงลึกใต้หุบเหว ลมพัดกรรโชกแรงกลัวจะหอบเอาร่างเล็กพัดปลิวไปตามแรงลมนั้น เสียงฟ้าดังคำรามมาแต่ไกล ๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงตกแล้ว ตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมาเด็กน้อยผู้นี้ไม่เคยหวาดกลัวกับสิ่งใด แต่วันนี้นางกลับรู้สึกถึงความสิ้นหวังเหมือนชีวิตนี้ไร้แสงสว่างให้เดินหน้าต่อไป "เจ้าต้องอดทน เจ้าต้องอดทน" เสียงแหบพร่าสั่นสะอึกพร่ำบอกตนเอง กว่าจะหนีออกมาจากค่ายโจรแห่งนั้นมิใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านกับดักมากมายจนเกือบจะเอาตัวไม่รอด ทั้ง ๆ ที่คิดว่าสิบปีที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นนางจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของค่ายโจรนี้แล้ว แต่เปล่าเลย... ด้วยความเยาว์วัยทำให้การหนีออกมาจากที่แห่งนั้นลำบากแสนเข็ญ เม็ดน้ำฝนค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าทีละเม็ด ๆ จนกลายเป็นสายฝนกระหน่ำจนมองไม่เห็นทิวทัศน์เบื้องหน้า เด็กน้อยนอนกอดตัวเองแนบแน่นท่ามกลางสายฝนและลมพายุที่ตกลงมาราวสวรรค์กลั่นแกล้ง ในความคิดหนึ่งที่เด็กน้อยกำลังตัดพ้อชีวิตของตนเองอยู่นั้น ร่มคันหนึ่งก็ปรากฎขึ้นเหนือร่างของนาง เด็กน้อยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาแสนริบหรี่ สิ่งแรกที่สะดุดตาเห็นจะเป็นลวยลายของมังกรสีทองที่ปักบนเสื้อคลุมทั้งตัว "มากับข้า" เพียงแค่สามคำ เด็กน้อยที่คิดว่าตนเองคงไร้วาสนาได้อยู่ดูโลกกว้างแห่งนี้ต่อเหมือนได้เกิดใหม่ มือน้อย ๆ เอื้อมขึ้นไปจับมือหนาของบุรุษปริศนาที่มองไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าเพราะดวงตานางอ่อนล้าจนพร่าเบลอ "อุ่น จัง" ใบหน้าซีดเผือดฝืนยิ้มออกมาให้บุรุษปริศนาที่แสนใจดี จากนั้นดวงตาสีรัตติกาลก็ค่อย ๆ หลับลงอีกครั้งในอ้อมกอดของดรุณปริศนา "ค่อย ๆ กิน" เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นหูเอ่ยขึ้นในเช้าวันต่อมาที่ได้ข่วยชีวิตเด็กน้อยเอาไว้ "ข้าชอบขนมอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้" มือน้อย ๆ เรียวสวยชี้ไปตามขนมต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ ใบหน้านางมีความสุขต่างจากเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง "เจ้าชื่ออันใด เป็นลูกเต้าเหล่าใคร" ถ้อยคำที่ไถ่ถามเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่กลับทำเอาเด็กน้อยชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง ใบหน้านางซีดเล็กน้อย แววตามีแต่ความเศร้าหมองแลหดหู่ "ข้าทำเจ้ากลัว งั้นก็ไม่ต้องตอบแล้ว" ดรุณตรงหน้านางช่างงามสง่า คาดเดาจากใบหน้าดรุณตรงหน้าเกรงว่าจะเด็กกว่านางด้วยซ้ำไป "ฟะ...เฟิง" เสียงเล็กตอบอย่งแผ่วเบาพร้อมหลบสายตาคมของดรุณน้อยตรงหน้า "เจ้าชื่อเฟิง หรือแซ่เฟิง" แม้จะได้ยินคำตอบไม่ชัดแต่ดรุณน้อยกลับอ่านปากนางได้เก่งจึงถกกลับ ดรุณีน้อยส่ายหัวไปมาเพราะนางไม่รู้ว่า ชื่อหรือแซ่ที่ว่าต่างกันเช่นไร ตั้งแต่จำความได้ ใคร ๆ ต่างก็เรียกนางว่า 'เฟิง' คำเดียวเท่านั้น "เจ้ามิต้องกลัว อยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้าแล้ว กินให้อิ่ม นอนให้หลับ ข้าจะมอบชีวิตใหม่ให้เจ้าเอง" ดรุณน้อยผู้สง่างามเอื้อมมือลูบผมนางอย่างไม่รังเกียจ นี่คงเป็นครั้งแรกที่เฟิงได้สัมผัสถึงความอบอุ่นที่แท้จริง "ซูเหยา เฟิงซูเหยา ต่อไปเจ้าชื่อนี้ดีไหม" แม้จะไม่รู้ความหมายหรือต่อให้ชื่อนี้ไม่มีความหมาย แต่พอดรุณีน้อยได้ยินก็พยักหน้ารับพร้อมยิ้มกว้างออกมา "เจ้าแซ่เฟิง ชื่อซูเหยา" "ข้าแซ่เฟิง ชื่อซูเหยา" น้ำเสียงนางช่างไพเราะยิ่งนัก ผิวพรรณดูดีไม่เหมือนลูกชาวบ้านทั่วสักเท่าไร แม้จะมีแผลเต็มตัวจากการถูกเฆี่ยนตีหรือถูกของมีคมขีดข่วนก็ไม่สามารถปกปิดผิวพรรณที่นวลเนียนของนางได้ "ต่อไป เจ้าเป็นคนของข้า มาเป็นคมดาบให้กับข้าสร้างความรุ่งเรืองไปพร้อมกัน" แม้จะฟังดูไม่เข้าใจเท่าใดนักเพราะเฟิงเพิ่งจะสิบขวบเศษ แต่ฟังแล้วคงหมายถึงคนสำคัญของเขา เพียงคิดเช่นนั้นนางก็พยักหน้าตอบรับด้วยความไร้เดียงสาออกไป
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม