"เฝ้านางไว้อย่าได้ห่างแม้ก้าวเดียว"
ก่อนจะออกจากห้องเสียงทุ้มสั่งสาวรับใช้ให้อยู่ดูแลซูเหยาไม่ให้คลาดสายตาดั่งเช่นเขา
"แคก แคก"
คล้อยหลังอี้เฟย เฟิงซูเหยาก็กระแอมไอออกมาหลายครั้ง
"คุณหนูไหวแน่นเจ้าคะ"
อาถังรีบปรี่เข้าไปแตะมือลงบนหน้าผากคุณหนูของนางพลางบีบนวดมือแน่งน้อยให้เลือดไหลเวียน
"ข้าขอน้ำหน่อย"
รู้สึกคอแห้งเผือดเหมือนมีแต่ทรายในลำคอ นางกระหายน้ำราวกับตอนที่กำลังจะขาดอากาศหายใจในครั้งนั้น
"เจ้าค่ะ"
อาถังรีบเดินไปรินน้ำชาอุ่น ๆ มาให้
เฟิงซูเหยาจิบชานั้นช้า ๆ จนหมดถ้วยแล้วนอนลงบนตั่งนอนตามเดิม
"หากข้าหลับ เจ้าช่วยตุ๋นน้ำแกงให้ข้าที"
"แต่ว่าองค์ชายสาม..."
"ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อน"
ครั้งนี้เฟิงซูเหยาไม่มีแรงจะหนีออกจากห้องนี้อีกแล้ว นางต้องการเวลาทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างอยู่คนเดียวเงียบ ๆ มากกว่า
"เจ้าค่ะ บ่าวจะรอให้คุณหนูหลับไปก่อนนะเจ้าคะ"
ว่าจบอาถังก็ห่มผ้าให้ซูเหยา จัดแจงปลดม่านกันแสงลงแง้มไว้เล็กน้อยเพื่อให้อากาศถ่ายเท รอไม่นานลมหายใจของคนบนตั่งนอนก็หายใจเข้าออกเป็นจังหวะ บ่งบอกว่าตอนนี้เฟิงซูเหยาได้เข้าสู่ห่วงความฝันแล้ว
เสียงสะอื้นเบา ๆ แบบข่มกลั้นน้ำเสียงเอาไว้ดังออกมาจากกองขยะในตรอกที่ทั้งมืดทั้งแคบแห่งหนึ่ง
เด็กน้อยวัยสักสิบขวบเศษขดตัวคุดคู้เร้นกายให้กลมกลืนกับกองขยะเพราะกลัวจะมีคนตามหานางเจอแล้วจับกลับไปยังสถานที่ที่น่ากลัวแห่งนั้นอีก
ทุกลมหายใจที่พ่นเข้าพ่นออกล้วนขมขื่นไปถึงขั้วหัวใจ ร่างน้อยสั่นเทิ้มด้วยความโดดเดี่ยวและหวาดกลัวหากแต่เด็กน้อยผู้นี้กลับไร้น้ำตาแม้แต่หยดเดียว มีเพียงเสียงสะอื้นในลำคอดังออกมาเป็นจังหวะเท่านั้น
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มราวอยู่ในห้วงลึกใต้หุบเหว ลมพัดกรรโชกแรงกลัวจะหอบเอาร่างเล็กพัดปลิวไปตามแรงลมนั้น เสียงฟ้าดังคำรามมาแต่ไกล ๆ บ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงตกแล้ว
ตลอดเวลาสิบปีที่ผ่านมาเด็กน้อยผู้นี้ไม่เคยหวาดกลัวกับสิ่งใด แต่วันนี้นางกลับรู้สึกถึงความสิ้นหวังเหมือนชีวิตนี้ไร้แสงสว่างให้เดินหน้าต่อไป
"เจ้าต้องอดทน เจ้าต้องอดทน"
เสียงแหบพร่าสั่นสะอึกพร่ำบอกตนเอง กว่าจะหนีออกมาจากค่ายโจรแห่งนั้นมิใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านกับดักมากมายจนเกือบจะเอาตัวไม่รอด ทั้ง ๆ ที่คิดว่าสิบปีที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นนางจะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมของค่ายโจรนี้แล้ว แต่เปล่าเลย...
ด้วยความเยาว์วัยทำให้การหนีออกมาจากที่แห่งนั้นลำบากแสนเข็ญ
เม็ดน้ำฝนค่อย ๆ ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าทีละเม็ด ๆ จนกลายเป็นสายฝนกระหน่ำจนมองไม่เห็นทิวทัศน์เบื้องหน้า
เด็กน้อยนอนกอดตัวเองแนบแน่นท่ามกลางสายฝนและลมพายุที่ตกลงมาราวสวรรค์กลั่นแกล้ง ในความคิดหนึ่งที่เด็กน้อยกำลังตัดพ้อชีวิตของตนเองอยู่นั้น ร่มคันหนึ่งก็ปรากฎขึ้นเหนือร่างของนาง
เด็กน้อยค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาแสนริบหรี่ สิ่งแรกที่สะดุดตาเห็นจะเป็นลวยลายของมังกรสีทองที่ปักบนเสื้อคลุมทั้งตัว
"มากับข้า"
เพียงแค่สามคำ เด็กน้อยที่คิดว่าตนเองคงไร้วาสนาได้อยู่ดูโลกกว้างแห่งนี้ต่อเหมือนได้เกิดใหม่
มือน้อย ๆ เอื้อมขึ้นไปจับมือหนาของบุรุษปริศนาที่มองไม่เห็นแม้แต่ใบหน้าเพราะดวงตานางอ่อนล้าจนพร่าเบลอ
"อุ่น จัง"
ใบหน้าซีดเผือดฝืนยิ้มออกมาให้บุรุษปริศนาที่แสนใจดี จากนั้นดวงตาสีรัตติกาลก็ค่อย ๆ หลับลงอีกครั้งในอ้อมกอดของดรุณปริศนา
"ค่อย ๆ กิน"
เสียงทุ้มฟังแล้วอบอุ่นหูเอ่ยขึ้นในเช้าวันต่อมาที่ได้ข่วยชีวิตเด็กน้อยเอาไว้
"ข้าชอบขนมอันนี้ อันนี้ แล้วก็อันนี้"
มือน้อย ๆ เรียวสวยชี้ไปตามขนมต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ ใบหน้านางมีความสุขต่างจากเมื่อคืนอย่างสิ้นเชิง
"เจ้าชื่ออันใด เป็นลูกเต้าเหล่าใคร"
ถ้อยคำที่ไถ่ถามเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่กลับทำเอาเด็กน้อยชะงักไปชั่วขณะหนึ่ง
ใบหน้านางซีดเล็กน้อย แววตามีแต่ความเศร้าหมองแลหดหู่
"ข้าทำเจ้ากลัว งั้นก็ไม่ต้องตอบแล้ว"
ดรุณตรงหน้านางช่างงามสง่า คาดเดาจากใบหน้าดรุณตรงหน้าเกรงว่าจะเด็กกว่านางด้วยซ้ำไป
"ฟะ...เฟิง"
เสียงเล็กตอบอย่งแผ่วเบาพร้อมหลบสายตาคมของดรุณน้อยตรงหน้า
"เจ้าชื่อเฟิง หรือแซ่เฟิง"
แม้จะได้ยินคำตอบไม่ชัดแต่ดรุณน้อยกลับอ่านปากนางได้เก่งจึงถกกลับ
ดรุณีน้อยส่ายหัวไปมาเพราะนางไม่รู้ว่า ชื่อหรือแซ่ที่ว่าต่างกันเช่นไร ตั้งแต่จำความได้ ใคร ๆ ต่างก็เรียกนางว่า 'เฟิง' คำเดียวเท่านั้น
"เจ้ามิต้องกลัว อยู่ที่นี่ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้าแล้ว กินให้อิ่ม นอนให้หลับ ข้าจะมอบชีวิตใหม่ให้เจ้าเอง"
ดรุณน้อยผู้สง่างามเอื้อมมือลูบผมนางอย่างไม่รังเกียจ
นี่คงเป็นครั้งแรกที่เฟิงได้สัมผัสถึงความอบอุ่นที่แท้จริง
"ซูเหยา เฟิงซูเหยา ต่อไปเจ้าชื่อนี้ดีไหม"
แม้จะไม่รู้ความหมายหรือต่อให้ชื่อนี้ไม่มีความหมาย แต่พอดรุณีน้อยได้ยินก็พยักหน้ารับพร้อมยิ้มกว้างออกมา
"เจ้าแซ่เฟิง ชื่อซูเหยา"
"ข้าแซ่เฟิง ชื่อซูเหยา"
น้ำเสียงนางช่างไพเราะยิ่งนัก ผิวพรรณดูดีไม่เหมือนลูกชาวบ้านทั่วสักเท่าไร แม้จะมีแผลเต็มตัวจากการถูกเฆี่ยนตีหรือถูกของมีคมขีดข่วนก็ไม่สามารถปกปิดผิวพรรณที่นวลเนียนของนางได้
"ต่อไป เจ้าเป็นคนของข้า มาเป็นคมดาบให้กับข้าสร้างความรุ่งเรืองไปพร้อมกัน"
แม้จะฟังดูไม่เข้าใจเท่าใดนักเพราะเฟิงเพิ่งจะสิบขวบเศษ แต่ฟังแล้วคงหมายถึงคนสำคัญของเขา เพียงคิดเช่นนั้นนางก็พยักหน้าตอบรับด้วยความไร้เดียงสาออกไป