สตรีในอาภรณ์สีแดงกำลังร่ายรำกระบี่อยู่ในสวนดอกไม้อย่างสดใส เฟิงซูเหยากำลังใกล้สู่วัยปักปิ่นยิ่งทำให้หน้าตานางงดงามยิ่ง
เสียงชักกระบี่ดังขึ้นพร้อมบุรุษผู้หนึ่งกระโดดด้วยวิชาตัวเบาเข้ามายังด้านหลังนาง ปลายกระบี่คมกริบวางลงบนไหล่ของเฟิงซูเหยาที่ร่ายรำกระบี่อยู่ นางหยุดนิ่งอยู่กับที่ ไร้ความกลัวเกรงเพราะรู้ดีว่ากระบี่นี้เป็นของผู้ใด
"วันนี้อากาศดี ข้าขอรำกระบี่เป็นเพื่อนเจ้า"
เสียงทุ้มช่างไพเราะจับจิตของนางยิ่ง เฟิงซูเหยาไม่ตอบเป็นถ้อยคำ หากแต่ใช้ปลายกระบี่ของนางเขี่ยกระบี่ที่อยู่บนไหล่ออก ตั้งท่าเตรียมโจมตีกลับผู้ถือกระบี่อีกคน
ทั้งสองร่ายรำกระบี่ทั้งเหินฟ้าและบนดินอย่างสนุกสนาน สายตาทั้งสองสอดประสานกันตลอดเวลาที่รำกระบี่
หมับ!
เอวบางถูกสวมกอดจากทางด้านหลังจนแนบชิดกับอกแกร่งเป็นการบ่งบอกว่าสิ้นสุดกระบวนท่ารำกระบี่ในครั้งนี้แล้ว
ดอกเหมยมากมายร่วงหล่นลงมาราวกับหิมะโปรยปรายชวนให้บรรยากาศอบอุ่นละมุนหัวใจยิ่งนัก
"ข้าให้คนเตรียมของกินอร่อย ๆ ไว้ให้เจ้าแล้ว"
"คุณชายยังคงเห็นข้าเป็นเพียงเด็กน้อยสินะเจ้าคะ"
เสียงหยอกเย้ากันอย่างสนิทสนมของเฟิงซูเหยาดังขึ้น
"ในสายตาข้า เจ้ายังคงเป็นเด็กน้อยในวันนั้นเสมอ"
หน้าผากนางอุ่นวาบเมื่อบุรุษตรงหน้าจุมพิตลงมาอย่างนุ่มนวล พวงแก้มทั้งสองแดงระเรื่ออย่างเขินอาย
"เช่นนั้นต่อไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเหยาเหยา จะได้ไม่ดูเด็กน้อย ดีหรือไม่"
ทุกถ้อยคำหวานที่ออกมาจากปากบุรุษผู้นี้ยิ่งทำให้หัวใจของเฟิงซูเหยาสั่นรัว
"ข้าว่าคุณชายเรียกข้าซูเหยาเช่นเดิมดีกว่า"
"เขินข้าหรือ"
ใครใช้ให้เขาถกกลับนางด้วยถ้อยคำตรงเช่นนั้น สตรียิ่งหวั่นไหวง่าย บุรุษผู้นี้ก็ช่างรุกหนักจนเฟิงซูเหยาเขินอายรีบวิ่งไปยังศาลากลางน้ำที่มีอาหารจัดวางไว้ให้นางทันที
ทุกวันเวลาที่ทั้งสองใช้ชีวิตร่วมกันในจวนตะวันบูรพา เฟิงซูเหยาไม่เคยรู้สึกว่าตนเองขาดเหลืออะไรอีกแล้ว ขอเพียงข้างกายนางมีแต่บุรุษผู้นี้อยู่ร่วมเรือนทุกวันจนแก่เฒ่า นางขอเพียงเท่านั้น ทว่า...
หลังจากที่นางผ่านพ้นวัยปักปิ่นมาหลายปี ทำงานเป็นดาบข้างกายให้คุณชายผู้นี้มาหลายหน วันที่นางได้ตาสว่างก็เกิดขึ้น
คุณชายที่เฟิงซูเหยามองว่าเป็นคนใจดี อบอุ่น เป็นบุรุษที่หาตัวจับยากก็เผยธาตุแท้ออกมา เมื่องานสุดท้ายที่นางถูกสั่งให้ไปทำผิดพลาดจนถูกทางการจับได้ ตัวหมากอย่างเฟิงซูเหยาจึงถูกเขี่ยทิ้งอย่างเลือดเย็น
"ข้าไม่น่าเก็บเจ้ามาเลี้ยงตั้งแต่ตอนนั้นเลย" เสียงเฉยชาดังขึ้น
เฟิงซูเหยาที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขาถึงกับถอดใจเมื่อได้ยินถ้อยคำตัดขาดนั้น
"เจ้ากล้าหลอกใช้ข้าเพื่อหาที่ซ่อนสุมกองกำลังข้าศึกได้เยี่ยงไร"
เฟิงซูเหยาเอาแต่มองหน้าคุณชายที่นางมอบหัวใจให้อย่างไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน
"เจ้ารู้หรือไม่ โทษของการก่อกบฎต้องโทษประหารทั้งตระกูล"
กบฎ..?
เหตุใดนางที่เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาทำตามแค่เพียงคำสั่งเขาคนเดียวถึงได้ถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎได้
เฟิงซูเหยาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ นางกำลังจะลุกขึ้นเพื่อเดินไปมองหน้าคุณชายแสนอบอุ่นผู้นั้นใกล้ ๆ ทว่าถูกทหารใช้กระบองฟาดลงใต้ข้อพับเข่าจนต้องนั่งลงกับพื้นที่เดิม
ดวงตาสีรัตติกาลจ้องมองชายที่นางแอบรักแอบชอบอย่างหลากหลายความรู้สึก
"เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวหรือไม่"
เสียงของเหม่าทันเจ้ากรมตุลาการผู้มีอำนาจในการสืบสวนตัดสินคดีถามขึ้น
"หากข้าน้อยปฏิเสธ พวกท่านจะเชื่อหรือไม่"
เสียงเฟิงซูเหยาช่างฟังดูสิ้นหวังเสียจริง
"หลักฐานมัดตัวเจ้าขนาดนี้ยังกล้าปฏิเสธอีก หรือเจ้ากำลังใส่ร้ายข้า"
คุณชายที่นางเคารพยกย่องชี้หน้านางด้วยดวงตาเรียบเฉยต่างจากสุ้มเสียงที่ฟังดูเกลียดชังนาง
"ข้าหรือจะกล้าใส่ร้ายคุณชายที่ข้ารักและเคารพ"
เฟิงซูเหยาแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งครั้ง
นางเอื้อมมือไปหมายจะหยิบเอาของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ เป็นเพียงถุงหอมที่นางตั้งใจฝึกเย็บปักเป็นชื่อของเขา หากแต่กลับถูกมีดสั้นปริศนาพุ่งมาปักที่ต้นแทนเพื่อให้หยุดการกระทำนั้น
"โอ๊ย!"
เฟิงซูเหยาร้องอกมาด้วยความเจ็บปวด ใบหน้านางเหยเกดวงตาแดงก่ำจากการกักกั้นน้ำใส ๆ ไม่ให้ไหลออกมา
"ต้องเป็นผู้บ่งการนางแน่ รีบไปตามจับตัวมา"
เสียงเจ้ากรมตุลาการเหม่าทันสั่งทหารใต้อาณัติ
เฟิงซูเหยาได้ยินเช่นนั้นกลับยกยิ้มมุมปากอย่างยิ้มเยาะ
"หึ ผู้บ่งการ..."
นางหยุดถ้อยคำไว้เพียงเท่านั้น เงยหน้าจ้องคุณชายผู้สง่างามที่มองนางไม่ต่างจากคนแปลกหน้า
"หากพวกท่านต้องการหาตัวผู้บ่งการ ข้าเฟิงซูเหยาจะบอกให้"
ดวงตาสีรัตติกาลยังไม่ละไปจากคุณชายตรงหน้า นางอย่างมองลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจของเขายิ่งนัก อยากรู้ว่าตลอดเวลาที่เขาชุบเลี้ยงนางมาเก้าปี ทำดีกับนางมามากกว่าพันหนเคยมีความจริงใจอยู่ในนั้นสักครั้งเดียวหรือไม่
"ดี หากเจ้ายอมคายความลับออกมา ข้าจะทูลขอพระราชทานอภัยโทษจายจากฝ่าบาทให้"
โทษตายงั้นหรือ...
ใครว่านางกลัวการรับโทษนั้นกัน
ต่อให้ฝ่าบาทลดโทษให้นาง คนที่ต้องการให้นางเป็นแพะรับบาปให้ก็ไม่มีทางปล่อยนางให้มีลมหายใจอยู่ดี
ดูจากตอนนี้สิ!
มีดสั้นที่ยังคงปักคาอยู่ที่แขนนางคนผู้นั้นยังไม่เหลียวแล ทั้ง ๆ ที่เขารู้ดีว่าใครคือเจ้าของมีดสั้นนั้นแต่กลับเงียบปากไว้
เหตุผลคืออะไรหากไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนสั่งการลูกน้องคนสนิทของเขากระทำเอง