พอกลับมาถึงบ้านเช่า หนิงซินนำของใช้ที่จำเป็นออกมาจากมิติเพื่อจัดเรียงไว้ตามจุดต่าง ๆ ให้เหมือนกับว่าเธอกับลูกอาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ
หลังจากจัดของเสร็จเธอก็พาลูกสาวกลับเข้าไปในมิติเพื่อทำกับข้าวกิน วันนี้เธอไม่คิดจะออกไปที่ไหนอีกจึงขนเสื้อผ้าของแม่ออกมาซักจนหมด ตามด้วยชุดใหม่ ๆ ของเสี่ยวเปาน้อย
"แม่จ๋าทำไยหย๋อ"
หนูน้อยที่นั่งเล่นอยู่กับพี่กระต่ายเดินตามกลิ่นหอมของอาหารมาที่ห้องครัว แม่ของเธอขลุกตัวอยู่ในนี้สักพักแล้วจนเสี่ยวเปาน้อยอดใจรอไม่ไหวจึงต้องเดินมาเกาะขาอย่างออดอ้อน
"แม่ทำมักกะโรนีกุ้งสดให้หนูกินจ้ะ"
"โรนีหย๋อ เป่าเปาอยากเห็ง" (มักกะโรนีเหรอ เป่าเปาอยากเห็น)
"ได้เลย อึ๊บ"
หนิงซินย่อตัวลงอุ้มลูกน้อยขึ้นมาดูอาหารที่เธอกำลังทำ หูของเธอแอบได้ยินเสียงเด็กกลืนน้ำลายอึกใหญ่เมื่อได้เห็นกุ้งตัวโต ๆ หลายตัวในกระทะ
อึก! จ๊อก จ๊อกกกก
"ฮะ ฮะ จ๊อก จ๊อกเยยแม่จ๋า"
มือเล็ก ๆ ป้องปากหัวเราะอย่างชอบใจ เห็นแบบนั้นผู้เป็นแม่จึงรีบหยิบช้อนมาชิมรสชาติ มิวายที่หนูน้อยจะชะเง้อคอเข้ามาขอชิมด้วยอย่างน่าเอ็นดู
"อร่อยรึยังลูก"
เธอเอ่ยถามลูกสาวพร้อมกับปิดแก๊สในเวลาเดียวกัน ก่อนจะหยิบถาดอาหารของลูกสาวมาตักมะกะโรนีใส่ ช่องข้าง ๆ กันมีไข่ต้มที่หั่นเป็นชิ้นเอาไว้ 1 ฟอง บล็อกโคลี่และหน่อไม้ฝรั่งลวกอีก 2-3 ชิ้น อีกช่องหนึ่งมีสตรอว์เบอร์รี 2 ลูกใหญ่ ๆ ผ่าครึ่งเอาไว้ให้อย่างพร้อมทาน
"แจ๊บ แจ๊บ ว้าวว หย่อยมากเยย แม่จ๋าเก่งตี้ฉุด" (อร่อยมากเลยแม่จ๋าเก่งที่สุด)
"หัดเป็นเด็กปากหวานนะเรา เอาล่ะไปประจำที่กันเลย"
"ฮะ ฮะ ฮะ ไปเยยแม่จ๋า เป่าเปาหิวอีกแย้ว" (ไปเลยแม่จ๋า เป่าเปาหิวอีกแล้ว)
เสี่ยวเปาน้อยถูกจัดให้นั่งบนเก้าอี้เด็กตัวเดิมที่เคยใช้ ผ้ากันเปื้อนถูกมัดเอาไว้ที่คอของหนูน้อยพร้อมกับเช็ดมือด้วยผ้าเปียกอีกรอบ
"รอแม่แป้บนึงนะลูก เดี๋ยวแม่ไปยกถาดอาหารมาให้"
"ค่า"
หนิงซินเป่ามักกะโรนีจนอยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะก่อนจะนำมาวางให้ลูกน้อย ส่วนของเธอเติมด้วยชีสขูดเพิ่มความมันนัวร์อีกเล็กน้อย ไม่วายที่ยัยหนูเป่าเปาจะขอชิมของมารดาจนได้
"มาแล้วจ้ะ ถาดนี้ของหนู ส่วนจานนี้ของแม่จ๋า"
"ขาว ๆ ไยหย๋อแม่จ๋า"
"ชีสจ้ะ หนูอยากชิมหรอ"
"ชีกหย๋อ เป่าเปาชิมได้ม้าย" (ชีสเหรอ เป่าเปาชิมได้ไหม)
"ได้สิจ๊ะ อ้าปากเร็วลูก"
มักกะโรนีในจานของหนิงซินถูกตักมาหนึ่งช้อน เธอเปาจนอุณหภูมิเย็นลงแล้วค่อยนำไปป้อนลูกสาวที่อ้าปากรออยู่ หนูน้อยเคี้ยวอาหารตุ้ย ๆ อย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่มือเล็ก ๆ จะหยิบช้อนขึ้นมาตักอาหารในถาดของตัวเองขึ้นมากิน
หนิงซินสังเกตอาการของลูกน้อยอยู่ตลอดเวลา อยู่ยัยหนูก็วางช้อนลงแล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเธอว่า...
"แม่จ๋าไม่ยุกทำเยย ของแม่จ๋าหย่อยกว่า"
(แม่จ๋าไม่ยุติธรรมเลย ของแม่จ๋าอร่อยกว่า)
"โอเคลูก แม่จ๋าจะไปขูดชีสมาเติมให้หนูเดี๋ยวนี้ แต่หนูต้องพูดกับแม่จ๋าดี ๆ ว่าเป่าเปาขอเติมชีสได้ไหมคะ ทำได้ไหมลูก"
สีหน้าไม่พอใจของยัยหนูแสดงออกมาอย่างชัดเจน หนิงซินจึงต้องรีบแก้ไขเสียแต่ตอนนี้ ก่อนที่คนอื่นจะมาเห็นพฤติกรรมไม่ดีของลูกสาว เธอเคยได้ยินพ่อแม่ยุคใหม่พูดกันว่า ลูกเราไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน นั่นจึงทำให้เธออยากให้ลูกใช่เหตุผลมากกว่าจะไปทำตัวไม่น่ารักนอกบ้าน
"ได้ค่า แม่จ๋าเป่าเปาขอเติมชีกได้ม้ายค้า" (แม่จ๋าเป่าเปาขอเติมชีสได้ไหมคะ)
"ได้ค่ะ เดี๋ยวแม่ไปหยิบมาให้"
พูดจบหนิงซินก็เดินไปหยิบชีสในตู้เย็นแล้วขูดใส่จานออกมาให้ลูกน้อยโรยบนมักกะโรนีของตนในปริมาณที่พอเหมาะ
"..."
"โรยเลยจ้ะ เวลาอยากได้อะไรหนูจะไม่ร้องไห้หรือโวยวาย มีอะไรเราจะพูดคุยกันดี ๆ ทำได้ไหมลูก"
"ได้ค่า"
"เมื่อได้รับของที่ต้องการหนูต้องรู้จักขอบคุณไม่ว่าจะเป็นแม่จ๋าหรือคนอื่นก็ตาม"
มือเล็ก ๆ ที่โรยชีสใส่บนอาหารของตัวเองเสร็จก็ก้มหัวลงน้อย ๆ พร้อมกับพูดกับแม่จ๋าของเธอว่า...
"คุงค่าแม่จ๋า"
"เก่งมาก กินต่อเถอะลูก แม่จ๋าเชื่อว่าลูกสาวของแม่จ๋าทำได้ เป่าเปาเป็นเด็กที่มีเหตุผล ไม่ร้องไห้งอแงแน่นอน"
ฟอดดด
หนูน้อยที่ได้รับคำชมจากมารดาเงยหน้าขึ้นมายิ้มแป้นแล้วเคี้ยวอาหารต่ออย่างเอร็ดอร่อย ซึ่งก่อนหน้านี้หนูน้อยก็กลัวว่าจะทำตัวไม่ดีจนแม่จ๋าไม่พอใจ แต่พอแม่จ๋ายอมหอมที่กลุ่มผมของเธอก็ทำให้หัวใจดวงน้อย ๆ พองโตขึ้นมาอีกครั้ง
หนิงซินกินไปก็นึกถึงเรื่องราวมากมายที่เธอทำ เพราะมีเป่าเปาที่ต้องดูแลจึงทำให้เธอลืมเรื่องอดีตแฟนเฮงซวยไปได้ อดคิดไม่ได้เลยว่าถ้าไม่มีเป่าเปาอยู่ที่นี่ด้วยเธอจะอยู่ยังไง รอยยิ้มของหนูน้อยเสมือนยาที่ชโลมบาดแผลของเธอให้ดีขึ้นเป็นระยะ
30 นาทีต่อมา
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จสองแม่ลูกก็พากันไปตากผ้าต่อ เสร็จแล้วก็ขึ้นอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณอยู่ในห้องน้ำอยู่เป็นเวลานาน แล้วมาต่อด้วยการมาสก์หน้าด้วยโยเกิร์ต ส่วนหนูน้อยก็ถูกจับทาโลชั่นสำหรับเด็กทั่วทั้งตัว
"งื้ออ ชาบายจัง"
"นอนสบายเชียวนะ ถ้าหนูชอบแม่จ๋าจะทำให้บ่อย ๆ ดีไหมลูก"
"ชอบมั๊ก ๆ ค่า" (ชอบมาก ๆ ค่า)
ใบหน้าเล็กถูกคนเป็นแม่นวดรอบ ๆ ใบหน้าเป็นรูปหัวใจ เริ่มจากหน้าผากแล้วไล่ลงมาถึงปลายคาง ใช้นิ้วนวดตาแนวคิ้วเริ่มจากหัวคิ้วไปจนสุดปลายคิ้ว นวดจากปลายจมูกไล่ไปถึงแก้ม ใช้ปลายนิ้วนวดกรามวน ๆ เป็นวงกลม
"นวดเสร็จแล้วเราต้องเริ่มหัดเขียนหนังสือกันต่อนะลูก อีกเดี๋ยวถ้าหนูรับผิดชอบตัวเองได้ แม่จะหาโรงเรียนให้หนูไปเรียนกับเพื่อน ๆ ดีไหมลูก"
"เพื่อง ๆ หย๋อ หื่อ เพื่อง ๆ ม้ายดี"
ทำพูดของลูกน้อยทำให้หนิงซินต้องหยุดคิดถึงความทรงจำเก่า ๆ ของร่างนี้ ลูกสาวของเธออยู่กับคำว่าลูกชู้ที่ผู้ใหญ่สร้างตราบาปเอาไว้ให้กับเด็กบริสุทธิ์คนหนึ่ง จากนั้นคนที่ไม่มีการยั้งคิดก็เอาไปพูดต่อกันอย่างสนุกปาก
เด็ก ๆ ในหมู่บ้านก็พาลรังเกียจเป่าเปาอย่างกับว่าหนูน้อยไปทำผิดอย่างไม่น่าให้อภัย ทั้งที่สองแม่ลูกเป็นฝ่ายถูกกระทำต่างหาก แต่กระนั้นทั้งคู่ก็ก้าวข้ามผ่านเรื่องต่าง ๆ มาได้
"ไม่เป็นไรนะลูก แม่จ๋าจะหาเพื่อนดี ๆ ให้หนู แต่สิ่งหนึ่งที่หนูต้องรู้ก็คือ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็มีทั้งคนดีและคนไม่ดี หนูต้องเข้มแข็ง ต่อให้ใครไม่รักแต่แม่จ๋าจะรักหนูและอยู่ข้าง ๆ หนูเสมอ"
"เป่าเปายักแม่จ๋าตี้ฉุด" (เป่าเปารักแม่จ๋าที่สุด)
ในระหว่างที่สองคนแม่ลูกกำลังพักผ่อนกันอย่างสบายใจ ชางหยวนที่กลับจากดูหน้างานก็ได้รับสายจากญาติผู้พี่ว่าให้ตามสืบเรื่องราวของหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง
"ข้อมูลของผู้หญิงคนนั้นได้แล้วครับลูกพี่"
ชางหยวนรับเอาเอกสารมาจากลูกน้องคนสนิท แล้วเปิดซองดูเอกสารที่ถูกส่งมา หว่างคิ้วของเขาขมวดเป็นปมด้วยความสงสัยเมื่อได้เห็นรูปภาพของหญิงสาวที่ชื่อหลี่หนิงซิน ซึ่งเธอคือคนที่เขาเห็นในช่วงเช้าที่ผ่านมา
"หมิงเจ๋อ เอารถออก"
"ได้ครับ ว่าแต่ลูกพี่จะไปที่ไหน"
"ไปร้านเฮียจื่ออัน"
ไม่รู้อะไรดลใจให้ชางหยวนเลือกที่จะไปคุยเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ทั้งที่เขาสามารถโทรไปแจ้งข้อมูลที่ค้นหามาได้เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
"ได้ครับ"
รถยนต์คันใหญ่เคลื่อนตัวออกจากหน้าสำนักงานบริษัทก่อสร้าง ตรงไปที่ร้านค้าของชางจื่ออันที่อยู่ห่างกันเกือบ 2 กิโลเมตรทันที ใช้เวลาประมาณ 10 นาที่รถของชางหยวนก็มาจอดเทียบหน้าร้านค้าใหญ่ในช่วงเวลาเกือบบ่าย 4 โมง
"อาหยวน มาเองเลยเหรอ เข้ามาข้างในก่อนเร็วเข้า"
ชางจื่ออันเห็นว่าเป็นรถของญาติผู้น้องจึงรีบเดินออกมารับที่หน้าร้าน
"หวัดดีครับเฮีย แล้วอาซ้อล่ะ"
"พ่านเอ๋ออยู่ในร้าน นั่งไงเดินมาพอดีเลย"
"พี่ชางหยวนสวัสดีค่ะ เชิญเข้าไปนั่งก่อน มาพร้อมซองเอกสารแบบนี้แสดงว่าเฮียอันต้องขอให้ทำอะไรให้แน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ"
ชางหยวนเดินตามญาติผู้พี่และพี่สะใภ้เข้ามาในห้องพัก ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้รับแขกแล้วยื่นซองเอกสารให้กับสองสามีภรรยา
"ผมขอถามได้ไหมครับว่าทำไมถึงต้องสืบประวัติของผู้หญิงคนนี้"
"รู้ไหมว่านายทำให้ฉันแปลกใจนะอาหยวน นายรู้จักผู้หญิงคนนี้เหรอ หรือว่านายสนใจเธอ"
ชางจื่ออันพินิจมองญาติผู้น้องที่ทำตัวแปลกไปจากเดิม ชางหยวนไม่ใช่คนที่จะให้ความสนใจกับหญิงสาวคนไหนง่าย ๆ แต่นี่เขากลับถามถึงเรื่องผู้หญิงที่มีลูกมีสามี แม้ว่าใกล้จะหย่าเต็มทีก็ตาม หรือว่าจะมีอะไรมากกว่านั้น
"มันไม่ใช่อย่างที่เฮียคิด แต่เมื่อเช้าผมจำได้ว่าเธอกับลูกมาที่นี่ แปลกใจที่ตอนบ่ายก็ต้องสืบประวัติเธอมาให้เฮีย เธอทำอะไรผิดเหรอครับ"
ชางจื่ออันยิ้มบาง ๆ ให้กับข้อแก้ตัวของน้องชาย ไม่ว่าจะปฏิเสธยังไงแต่สุดท้ายก็คือเขาสนใจเธอคนนั้น
"เธอก็ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ก็แค่คู่ค้ารายใหม่เลยอยากทำความรู้จักให้มากขึ้น"
ชางจื่ออันพูดไปก็หยิบเอกสารในซองออกมาอ่านไปด้วย ชางพ่านเอ๋อที่อ่านมาถึงข้อมูลของสามีหนิงซินก็ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างขุ่นเคือง
"สามีของหนิงซินมีผู้หญิงคนอื่นจริง ๆ ด้วยค่ะเฮีย บ้านสามีก็ช่างปะไร ใจร้ายกันน่าดู"
"หึ! ผู้ชายหน้าตัวเมีย"
เสียงเค้นหัวเราะดังทุ้มอยู่ในลำคอของชางหยวนทำให้ชางจื่ออันยิ่งมั่นใจในสิ่งที่เขาคิดมากยิ่งขึ้น
"ดูเหมือนชีวิตของหนิงซินจะทรมานกว่าที่พวกเรารู้อีกนะพ่านเอ๋อ ถูกกระทำขนาดนั้นยังทนอยู่มาได้ตั้งหลายปี"
เนื้อหาในเอกสารถูกบอกเล่ามาจากชาวบ้านและผู้นำหมู่บ้านที่พอจะรู้เรื่องราวของหนิงซินอยู่บ้าง แม้กระทั่งข่าวลือที่ว่าเป่าเปาเป็นลูกชู้ก็มีคนให้ข้อมูลมาด้วย หากนับระยะเวลาที่หนิงซินตั้งท้องก่อนสามีของเธอจะจากไป จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะไปยุ่งเกี่ยวกับชายคนอื่น
"หนิงซินขอให้ฉันปิดเรื่องการค้าเอาไว้ก่อนจนกว่าเธอจะหย่าเสร็จ เธอไม่ต้องการให้เงินที่หามาได้ต้องกลายเป็นสินสมรสที่ต้องแบ่งให้ผู้ชายคนนั้น"
พ่านเอ๋อเล่าความต้องการของหนิงซินให้สามีของเธอได้รับรู้ และทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องก็เห็นพ้องต้องกันว่าควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับตามที่เธอต้องการ