ชีวิตแบบไหนกัน
ท่ามกลางความเงียบในช่วงกลางดึก กระท่อมหลังเล็กท้ายหมู่บ้าน ที่ซึ่งสองคนแม่ลูกเรียกมันว่าบ้าน แม้สภาพของมันแทบบังแดดบังฝนไม่ได้เลยก็ตาม
หนูน้อยเป่าเปาในวัย 2 ขวบนั่งสะอื้นไห้อยู่ใต้ความมืดมิดมาค่อนคืน โดยที่เด็กน้อยไม้มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าแม่ของตนเองได้จากไปแล้ว หนูน้อยเอาแต่คิดว่าแม่นอนหลับ ปลุกเท่าไหร่ก็ปลุกไม่ตื่น
"ฮึก แม่จ๋า ตื่ง ๆ เป่าเปากัว เป่าเปาหิวแย้ว ฮึก ฮื้ออ ตื่งนะแม่จ๋า"
(แม่จ๋าตื่น ๆ เป่าเปากลัว เป่าเปาหิวแล้ว ตื่นนะแม่จ๋า)
ครั้งแล้วครั้งเล่าที่หนูน้อยพยายามเขย่าแขนมารดา แต่ก็ไม่มีการตอบรับใด ๆ กลับมา
"ฮื้อออ แม่จ๋าตื่งเถอะ มืกตื๋อเยย เป่าเปากัวแย้ว"
(แม่จ๋าตื่นเถอะ มืดตึ๊ดตื๋อเลย เป่าเปากลัวแล้ว)
"ซี๊ด ปวดหัว โอ๊ะ ทำไมถึงเมื่อยไปทั้งตัวแบบนี้เนี่ย"
"ฮึกแม่จ๋าตื่งแย้ว เป่าเปาหิวแย้วแม่จ๋า"
หลี่หนิงซินสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เธอคิดว่าเธอที่ได้พบเห็นเป็นเพียงความฝันเท่านั้น แต่ภาพที่ฉากให้เห็นผ่าแสงจันทร์ที่ลอดช่องหลังคาหญ้าลงมา มันทำให้เธอตระหนักได้ว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริง
ก่อนหน้านี้
หลี่หนิงซินหญิงสาววัน 24 ปีกำลังกลับจากงานนอกสถานที่ก่อนกำหนด เธอจึงตั้งใจจะซื้อของไปฝากคนรักที่กำลังเฝ้าร้านมินิมาร์ทของเธอและเขาอยู่ แต่เหมือนฟ้าทำให้เธอได้ตาสว่าง ช่วงเวลา 2 ทุ่ม หนิงซินเดินเข้าไปในร้านก็พบแต่ลูกน้องที่ขายของอยู่ข้างล่าง
หน้าตาของพนักงานดูตื่นตกใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นเธอกลับมาในคืนนี้ ความสังหรณ์ใจทำให้หนิงซินเดินขึ้นไปดูที่ห้องนอนที่อยู่บนชั้นสอง เพียงแค่ก้าวแรกที่เธอเหยียบบันได หูของเธอก็ได้ยินเสียงที่เธอคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เสียงของลู่หลันเพื่อนที่เธอคิดมาตลอดว่าเชื่อใจได้ หนิงซินเดินขึ้นไปทั้งน้ำตาที่อาบไหลเต็มใบหน้า เธอจ้องมองผ่านบานประตูที่ปิดไม่สนิท หนึ่งคนคือเพื่อนรัก อีกหนึ่งคนคือชายอันเป็นที่รัก ที่เธอคิดจะฝากชีวิตไว้กับเขา
ทั้งคู่นอนกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงที่เธอเป็นคนเลือกซื้อ หลี่หนิงซินกรีดร้องเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าที่ทั้งคู่กำลังบรรเลงเพลงรักต่อหน้าเธอ เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอวิ่งออกไปนอกร้านท่ามกลางสายฝน
สุดท้ายเธอก็กลายเป็นเพียงหญิงสาวที่โง่งม ทำงานหาเงินส่งแฟนเรียนมหาวิทยาลัยจนจบเพราะหวังว่าเขาจะต้องการสร้างอนาคตไปพร้อมกับเธอ แต่ทุกอย่างมันก็สิ้นสุดลงที่วันนี้ หนิงซินถูกรถชนเสียชีวิตคาที่ท่ามกลางสายฝน
หลังจากวิญญาณออกจากร่างเธอได้ไปยังดินแดนแห่งหนึ่งแล้วได้พูดคุยกับชายชราที่มอบโอกาสให้เธออีกครั้ง แลกกับการช่วยชีวิตเด็กน้อยผู้น่าสงสารและการช่วยเหลือผู้คนที่เธอต้องประสบเหตุร้ายที่กำลังจะเกิดขึ้น
กลับมาที่ปัจจุบัน
"ร้านของเจ้า ที่ทำงานของเจ้า จะติดตามเจ้าไปทุกที่ ขอเพียงเจ้าระลึกว่าต้องการสิ่งใดที่มีอยู่ในนั้น แล้วแตะที่แหวนที่อยู่ในนิ้วของเจ้า ของเหล่านั้นก็จะมาปรากฏอยู่ตรงหน้า"
เสียงของชายชราดังก้องอยู่ในหัวของหนิงซิน เธอลองสัมผัสที่มือของเธอก็พบว่ามีแหวนอยู่จริง ๆ
"ลองดูซักหน่อยแล้วกัน คงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้วมั้ง"
"ไยหย๋อแม่จ๋า เป่าเปาหิวแย้ว"
"รอแป้บนึงนะหนูน้อย เดี๋ยวฉันจะหาอะไรให้หนูกินเอง แต่ตอนนี้ฉันต้องหาไฟฉายก่อน ที่นี่มืดมาก"
แม้หนูน้อยเป่าเปาจะงุนงงกับคำพูดของมารดา แต่ยัยหนูก็ปล่อยให้อีกฝ่ายทำธุระตามที่ต้องการ เพียงแค่เห็นแม่ของเธอลุกขึ้นมาเท่านั้นหนูน้อยก็ใจชื้นขึ้นมามากแล้ว
"โอ๊ะ ทำได้จริง ๆ ด้วย"
หนิงซินเตะที่แหวนพร้อมกับนึกถึงไปฉายเป็นสิ่งแรก เพียงพริบตาสิ่งที่เธอต้องการก็มาวางอยู่ตรงหน้าแล้ว พอหยิบไฟฉายมาเปิดไฟส่องสว่าง ภาพที่เห็นก็ทำให้หนิงซินรู้สึกหดหู่ใจจนไม่รู้จะพูดอะไร
"อยู่กันไปได้อย่างไงเนี่ย กระต๊อบนี่มันจะพังทับหัวคนอยู่แล้วนะ หลังคาก็แทบจะไม่เหลือ ประตูก็มีแค่เชือกคล้องเอาไว้ แถมยังอยู่ห่างไกลกับบ้านคนอื่นอีกต่างหาก"
ภาพตรงหน้าทำให้หนิงซินสงสารสองคนแม่ลูกมากกว่าเดิม จากที่เห็นชีวิตของทั้งคู่มาบางส่วนในตอนที่ได้ตอบตกลงชายชราไปแล้ว แต่เธอก็ไม่คิดว่าสถานที่จริงจะกันดารขนาดนี้ ของใช้ในบ้านก็ไม่มี เท่าที่เห็นก็มีเพียงหมอนเก่า 2 ใบกับผ้าห่มบาง ๆ อีกหนึ่งผืนและเสื้อผ้าเก่าอีก 2-3 ชุดเท่านั้น
จ๊อก จ๊อก โคร๊กก
"แม่จ๋าหิวข้าว"
"ที่นี่อันตรายเกินไป หลับตาลงแล้วกอดฉันไว้นะหนูน้อย"
"ฉังหย๋อ" (ฉันเหรอ)
เสี่ยวเปางุนงงกับคำแทนตัวของผู้เป็นแม่ที่แปลกไปจากเดิม หนูน้อยจึงย้ำอีกครั้ง นั่นจึงทำให้หนิงซินรีบเปลี่ยนคำแทนตัวทันที
"ไม่ใช่ ๆ แม่จ้ะ กอดแม่ไว้นะ"
"อ๋า กอกแม่จ๋า" (กอดแม่จ๋า)
หนิงซินลูกหัวทุยของเด็กสาวตัวน้อย ดูท่ายัยหนูน่าจะพูดเก่ง แต่เสียดายที่ผอมไปหน่อย เห็นที่เธอคงต้องบำรุงยัยหนูเป่าเปาให้อ้วนตุ้ยนุ้ยเสียแล้ว แขนเล็กของเสี่ยวเปาโอบกอดผู้เป็นแม่เอาไว้ แล้วหลับตาตามที่แม่ของเธอสั่ง
พรึบ
"เข้ามาได้จริง ๆ ด้วย ลืมตาได้แล้วจ้ะหนูน้อย หนูชื่อเป่าเปาใช่ไหม"
หนูน้อยลืมตาขึ้นมาก็เห็นสถานที่แปลกใหม่ที่ไม่คุ้นตา ดวงตาของเสี่ยวเปาเบิกโพลงมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้นก่อนจะเอ่ยถามแม่จ๋าของเธอด้วยความตื่นเต้น
"ที่ไหนหย๋อแม่จ๋า นี่เป่าเปางาย แม่จ๋ายืมแย้วหย๋อ ฮึก แม่จ๋าไม่ยักเป่าเปาแย้วหย๋อ เป่าเปายักแม่จ๋าได้ยึป่าว"
(ที่นี่ที่ไหนหรอแม่จ๋า นี่เป่าเปาไง แม่จ๋าลืมแล้วหรอ แม่จ๋าไม่รักเป่าเปาแล้วหรอ เป่าเปารักแม่จ๋าได้รึเปล่า)
หนิงซินใจกระตุกฮวบเมื่อได้เห็นแววตาหม่นเศร้าของหนูน้อย เพียงครู่เดียวความทรงจำที่เจ็บปวดมากมายของสองคนแม่ลูกก็ไหลเข้ามาในหัวของหนิงซิน จนหัวของเธอคล้ายจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยง ๆ
"มะ..ไม่ใช่แบบนั้น โอ๊ะ .. โอ๊ย ทำไมมันปวดหัวแบบนี้"
ความทรงจำของร่างนี้มีอยู่ว่า หลี่หนิงซินสูญเสียครอบครัวไปในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เธอจึงมาอาศัยอยู่กับป้าที่เป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ พร้อมกับเงินเก็บของพ่อแม่ที่เหลืออยู่ 1,000 หยวน
มาถึงเธอก็มอบเงินให้ป้าเป็นผู้รักษาเอาไว้ ตอนนั้นเธออายุเพียง 15 ปีเท่านั้น ปี คศ.1974 3 ปีที่เธอใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของป้าไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากทำงานที่คอมมูนแล้วเธอยังต้องกลับมาทำงานบ้านให้กับป้าและลุงเขย
ไม่เท่านั้น ลุงเขยที่เป็นเ*******ูยังจ้องแต่จะลวนลามและขืนใจเธอ ครั้นบอกผู้เป็นป้าก็ถูกต่อว่าต่าง ๆ นานา หาว่าไปใส่ร้ายสามีของนาง หนิงซินต้องกล้ำกลืนฝืนทนจนอายุครบ 18 ปี เธอกลายเป็นหญิงสาววัยแรกแย้มที่มีชายหนุ่มเหลียวมองอยู่เป็นประจำ แม้ร่างกายจะซูบผอมก็ไม่อาจปิดบังใบหน้าที่มีเอกลักษณ์ของเธอได้ รวมไปถึงชื่อเสียงเรื่องความขยันจึงทำให้หลายบ้านอยากได้ไปเป็นสะใภ้
"โอ๊ย ปวดหัว ซี๊ดด"
"แม่จ๋าเป็งไยหย๋อ ฮึก เป่าเปากัวแย้ว" (แม่จ๋าเป็นอะไรเหรอ เป่าเปากลัวแล้ว)
บ้านตระกูลมู่ส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอเธอไปเป็นสะใภ้ในวัย 18 ปี ด้วยเงินสินสอดมากถึง 200 หยวน เพื่อหวังว่าเธอจะเป็นแม่พันธุ์ที่ดีในการผลิตทายาทชายไว้สืบสกุล เพราะตระกูลนี้มีลูกชายยากมาก ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น
แต่เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้งเธอ หลังจากตัดสินใจแต่งเข้าบ้านมู่เพื่อหนีลุงเขยที่จ้องแต่จะฉวยโอกาสกับเธอ งานบ้านงานเรือนหลี่หนิงซินไม่เคยบกพร่อง แม้แต่หน้าที่ภรรยาเธอก็ทำออกมาได้ดีจนมู่ปิงเฉิงที่เคยเป็นคนเสเพลยอมอยู่ติดบ้าน
1 ปี (ปี1978)ผ่านไปเธอก็ยังไม่ตั้งท้อง เข้าสู่ปีที่ 2(ปี1979) ก็ยังไร้วี่แวว จากที่พ่อแม่สามีเคยเอ็นดู ทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อแม่ไก่ไม่ทำหน้าที่ออกไข่สักที คำต่อว่าค่อนขอดจากพี่น้องของสามีก็หนาหูขึ้นทุกวันจนหนิงซินก็เริ่มอยู่ในจุดที่อึดอัดใจ
เนื้อนวลที่หอมหวาน เมื่อได้เชยชมเป็นเวลานานกลิ่นรสก็ย่อมจืดจาง มู่ปิงเฉิงเริ่มออกเที่ยวเตร็ดเตร่ ทำตัวเสเพลอีกครั้ง และทุกคนก็โยนความผิดมาที่หนิงซินทั้งหมดว่าเป็นความผิดของเธอ ทุกครั้งที่มู่ปิงเฉิงเมากลับมาก็มักจะทุบตีเธอและขืนใจหลับนอนกับเธออย่างรุนแรงจนร่างกายของหนิงซินบอบช้ำ
เข้าสู่ปีที่ 3 (ปี1980) มู่ปิงเฉิงตัดสินใจเข้าไปสมัครทหาร เพราะสถานการณ์ทางการเงินของบ้านไม่สู้ดี หลังจากที่สามีไปประจำการที่เมืองเซี่ยงไฮ้ยังไม่ถึงเดือน หลี่หนิงซินก็เป็นลมในระหว่างที่ทำงานบ้านตากแดด พอชาวบ้านเห็นจึงพาเธอไปส่งที่อนามัยโดยที่คนในบ้านมู่ไม่มีใครไปดูดำดูดีเธอเลยสักคน
"น..นี่มันชีวิตแบบไหนกัน ฮึก ซี๊ดด ปวด"
หลังจากได้สติเธอก็ได้รู้ว่าตัวเองกำลังตั้งครรภ์ หนิงซินรีบกลับมาบอกที่บ้านของสามีด้วยความตื่นเต้นเพราะนี่เป็นสิ่งที่ทุกคนเฝ้ารอมานาน แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะจิตใจของทุกคนเปลี่ยนไปแล้ว นางมู่หลีผู้เป็นแม่สามีโทรไปส่งข่าวให้ลูกชาย เมื่อได้รู้ว่าลูกกำลังคบหากับผู้หญิงอีกคนอยู่ ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็สามารถทำให้ลูกของนางมีหน้าที่การงานที่ดีได้
นางจึงตัดสินใจรอดูว่าเด็กจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ตลอดเวลาหลานเดือนกว่าจะคลอด หลี่หนิงซินต้องลุกมาหาบน้ำทำงานบ้านทุกอย่างให้ครอบครัวมู่ไม่เคยได้หยุดพัก กระทั่งถึงวันที่เธอคลอด.....