บทรักอันช่ำชองของเจ้าบ่าวจอมหื่นยังขับเคลื่อนตั้งแต่ก่อนค่อนคืนจนใกล้รุ่งสาง ทำเอาเจ้าสาวคนงามสิ้นแรงแทบลุกจากเตียงไม่ได้ มาลุลีได้หลับเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น ทั้งเหนื่อย ทั้งเพลีย ทั้งปวดเมื่อยไปหมด แต่แทนที่จะได้นอนตื่นสายให้สมใจ กลับต้องรีบลุกจากเตียงเพราะธุระของสามี
“พรุ่งนี้แพรดาวต้องไปดูที่ที่ต่างจังหวัด และไหนๆ หนูเกลก็ต้องย้ายมา ฉันเลยคิดว่าจะให้แกย้ายมาวันนี้เลย” โกมินทร์บอกภรรยาสาว เขากำลังแต่งตัวอยู่หน้ากระจกเงาบานใหญ่
“เฮ้อ...ทำไมต้องพูดชื่อนั้นตอนนี้ด้วยนะ” บอกเขาด้วยเสียงอันขุ่นเคือง เธอเพิ่งลุกจากเตียงที่เขาตักตวงจากเธอจนอิ่มเปรม ทำไมล่ะ...ทำไมต้องพูดชื่อเมียเก่าด้วย
เขาจ้องหล่อนผ่านกระจกเงา เมื่อได้ยินเสียงขุ่นๆ นั่น
“ฉันพูดเพราะฉันไม่ได้คิดอะไร ฉันบริสุทธิ์ใจ ระหว่างฉันกับแพรดาวเป็นแค่พ่อกับแม่ของหนูเกลเท่านั้น”
เขาหมายถึงลูกสาววัยสิบขวบ แพรดาวแต่งงานทันทีที่เรียนจบ หล่อนแต่งงานไปกับผู้ชายที่รวยกว่าเขา ซึ่งตอนนั้นเป็นแค่ลูกเจ้าของสวนมะลิ แพรดาวไม่ได้รู้ว่าสมบัติเก่าของตระกูวงศ์กิจจามีมากเพียงใด ใช่แล้วหล่อนพลาดตำแหน่งภรรยาของเขาไปอย่างน่าเสียดาย
“ค่ะ ลุลีจะรอดู”
เธอตอบเขาบ้าง มองเห็นตัวเองแวบๆ ผ่านกระจกที่เขาส่องอยู่ มีรอยคิสมาร์กลายพร้อยทั่วคอของเธอ ช่างน่าอายนัก
“แล้วเธอ...จะทำอะไรที่กรุงเทพฯ” ถามอย่างใคร่รู้ อยู่ที่นี่มาลุลีช่วยดูแลมารดาเขา และยังช่วยดูแลสวนมะลิด้วย มันทำเงินให้มารดาที่รักมากโขอยู่ โดยเฉพาะเดือนสิงหาคมที่มีวันสำคัญคือวันแม่
หญิงสาวยักไหล่
“ไม่ทำค่ะ ลุลีแต่งงานแล้วก็ต้องให้สามีเลี้ยงสิคะ หรือไม่จริง”
เขาค่อนข้างประหลาดใจที่ได้ยินเช่นนั้น
“ได้...เอ่อ...ได้สิ เธอได้สามีรวยด้วยนะ ฉันลืมไป”
มาลุลียิ้มประชด
“รู้แล้วก็ดีค่ะ รับรองว่าจะใช้เงินให้เป็น ขยันๆ เข้าไว้นะคะ อยู่บ้านสวนลุลีไม่ค่อยได้ใช้เงินเท่าไหร่ เข้าไปอยู่ในเมือง ลุลีจะใช้ให้เปรมเลยค่ะสามี” ประชดเขาแล้วก้าวเข้าห้องน้ำ และเพียงแค่ประตูห้องน้ำปิดลง ความหนักอกหนักใจ ความกังวล และความเกรงกลัวก็ประเดประดังเข้ามา
เมื่อคืนนี้เธอได้กลายเป็นภรรยาเขาแล้วอย่างสมบูรณ์ ทว่าสามีของเธอไม่ได้มีความรักต่อเธอแม้แต่น้อย เขาทำไปเพราะสิ่งนั้นควรทำ ทำไปเพราะความต้องการอย่างพวกผู้ชาย ในขณะที่เธอเสียเปรียบเขา เพราะต่อให้เขาร้ายกาจต่อเธอเพียงใด หัวใจของเธอก็ทรยศเจ้าของอยู่ดี
หยดน้ำตาของมาลุลีร่วงรินอย่างเงียบงัน เหนือความรักที่เธอมีต่อเขา คือบททดสอบของชีวิตคู่ เธอจะอยู่ได้ไหมในบ้านที่มีลูกสาวของเขาอยู่ด้วย แล้วแม่ของเด็กล่ะ ถ้าผู้หญิงคนนั้นยังเข้ามาข้องแวะกับครอบครัวของเธอ เธอจะทำอย่างไร เธอจะมั่นใจได้แค่ไหนว่าโกมินทร์จะรักษาสัญญา เขาอาจจะไม่ได้นอกใจเธอด้วยการมีผู้หญิงคนใหม่ แต่ว่า...เขาอาจกลับไปหาคนที่เคยๆ คนรักเก่าของเขานั่นไง
เจ้าสาวหมาดๆ ปาดน้ำตาแห่งความอ่อนแอทิ้งเสีย เธอจัดการธุระในห้องน้ำ ก่อนจะออกมาแต่งตัว โกมินทร์ไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว เสียงเขาดังอยู่หน้าเรือน เธอแต่งตัวแล้วเดินออกมาบ้าง ด้านล่างหน้าเรือนมีคนงานกำลังเก็บข้าวของจ้าละหวั่น งานเลี้ยงเมื่อคืนทำเอาหน้าเรือนรกไปหมด
“ลุลี”
เสียงอย่างสตรีสูงวัยทำให้มาลุลีหันมอง คุณท่านแสงทิพย์ แม่สามีของเธอนั่นเอง คุณท่านเป็นสตรีวัยเจ็ดสิบปลายที่ร่างกายใกล้จะร่วงโรยเต็มที นางไม่ได้ย่ำเท้าในสวนมะลิมาหลายปีแล้ว และโรคชราของนางก็ยิ่งอาการหนักเมื่อมีอาการเจ็บไข้รุมเร้า ปีนี้นางมีโรคประจำตัวเพิ่มขึ้นอีกโรค และมักพูดกับเธอเสมอว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน
“คะ คุณท่าน ตื่นแล้วหรือคะ น่าจะนอนอีกสักหน่อย” เธอท้วงอย่างห่วงใย นางแสงทิพย์นั่งเอนอยู่บนเบาะยัดนุ่น มีรอยยิ้มกระจ่างบนวงหน้า เธอรีบเข้าไปหา นั่งลงข้างๆ แล้วยิ้มให้นางเช่นกัน
“โอย...ไม่ไหวล่ะ ข้างล่างเสียงดังอย่างนี้ คนแก่รึจะหลับลง แล้วนี่หนาวรึ ใส่ผ้าพันคอทำไม”
นางว่าแล้วเอื้อมมือจะดึงผ้าพันคอสาวเจ้าออก มาลุลีกลับเบี่ยงกายหนีมือนาง
“หนะ...หนาวค่ะ หนาวมากเลย” บอกอย่างนั้นแต่ยกมือปาดเหงื่อที่กำลังผุดซึม
แสงทิพย์ลุกมานั่งดีๆ ผมมวยของนางเรียบตึงพอๆ กับใบหน้าในเวลานี้ มาลุลีปิดบังอะไรนางหรือ
“ขยับมานี่” นางสั่ง
มาลุลีอิดออด ไม่อยากทำตามแต่ขัดคำสั่งมิได้ เธอขยับเพียงนิด มือเหี่ยวๆ ของหญิงชราก็ดึงผ้าพันคอผืนบางของเธอให้หลุดออก แล้วคิ้วของนางก็ได้ขมวดเข้าหากัน ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางมองจิกไปยังคนที่เพิ่งเดินเข้ามา มือเหี่ยวๆ สะบัดชายผ้าพันคอทิ้งอย่างเคืองๆ
“อะไรครับคุณแม่ โกรธอะไรผมแต่เช้า” คนเป็นลูกถามอย่างงงๆ มองมาลุลีก็เห็นแต่ก้มหน้านิ่ง มือไม้กำลังพันผ้าผืนบางรอบลำคอ
“แกมันร้ายกาจ ทำลูกฉันได้ยังไง”
“หือ?” โกมินทร์เป็นงง เขาไปทำอะไรใครที่ไหน
“อย่ามาทำไขสือนะไอ้คนหื่น เพลาๆ มือหน่อยก็ไม่ได้ ลูกฉันตัวเล็กแค่นี้จะไปสู้แกไหวได้ยังไง”