บทที่ 2 ไม่ขอทน
เฟยเฟยเดินกระแทกส้นเท้าออกมาจากห้องประชุม ทุกก้าวที่เต็มไปด้วยอารมณ์ หญิงสาวเดินตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเองด้วยความโมโห เธอรวบรวมของที่จำเป็นด้วยมือสั่นเทาและก็พยายามทำเป็นใจแข็งไม่ให้น้ำตาไหลออกมา ขณะเก็บของที่จำเป็นที่โต๊ะทำงาน ที่ผ่านมาเธอยอมก้มหัวให้ทุกคนมาตลอด ยอมอ่อนน้อมและเงียบเสียงตัวเอง เพื่อหวังว่าสักวันจะมีโอกาสได้โชว์ฝีมือ แต่ในที่สุดความหวังที่มีมาตลอดก็พังทลาย เธอกลายเป็นเหยื่อของหัวหน้างานที่เห็นแก่ตัว มือที่สั่นน้อย ๆ เก็บเอกสารบางส่วนลงในกระเป๋า ก่อนจะหยิบหมอนใบโปรดที่ใช้หนุนหลังและผ้าห่มที่เธอเคยใช้คลุมขาเวลาทำงานมาถือเอาไว้ เธอตั้งใจจะเก็บของส่วนตัวไปให้ได้มากกว่านี้ แต่ดูเหมือนจะไม่ทันแล้ว
“เฟยเฟย!” หัวหน้าแผนก HR เดินมาขวางและจ้องหญิงสาวด้วยสายตาดูถูกน้อย ๆ “ถ้าจะลาออก ก็ต้องแจ้งล่วงหน้าให้ถูกต้องตามระเบียบนะ ส่วนของที่จะเอาไปก็ต้องตรวจเช็คก่อน”
เฟยเฟยกัดฟันข่มความโกรธที่พุ่งขึ้นในอก “ฉันไม่สนระเบียบแล้ว วันนี้ฉันตัดสินใจแล้วจะออกฉันก็จะออก”
“งั้นคุณจะไม่ได้รับเงินเดือนเดือนนี้นะ เพราะถือว่าผิดระเบียบ” หัวหน้าแผนก HR ยักไหล่อย่างไม่แยแส “ถ้าไม่สนก็แล้วไป ฉันจะถือว่าคุณลาออกเองโดยไม่ผ่านขั้นตอนตามระบบก็แล้วกัน”
เฟยเฟยกลอกตา เธอเบื่อหน่ายเหลือเกินกับกฎที่เอาแต่ทำให้คนที่ตั้งใจทำงานต้องถูกเอารัดเอาเปรียบ หญิงสาวขี้เกียจมีปัญหาจึงเอาแต่ของที่แน่ใจว่าที่นี่จะไม่มีอย่างของส่วนตัวจริง ๆ แม้แต่ปากกาแท่งโปรดหรือโพสอิสลายน่ารักเธอก็ทิ้งเอาไว้เพราะกลัวว่าคนเหล่านั้นจะบอกว่าเธอเอาของบริษัทไป ในมือของหญิงสาวจึงมีแค่กระเป๋าที่ใช้ใส่ของมาทุกวันแล้วก็หมอนกับผ้าห่มของเธอเท่านั้น
เฟยเฟยสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความรู้สึกที่เดือดพล่านในอก เธอมองหัวหน้าแผนก HR ที่ยืนขวางทางด้วยสายตาท้าทาย แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำ มือของเธอกระชับกระเป๋าและหมอนใบโปรดที่ถือไว้อย่างแน่น เธอรู้ดีว่าหากเธอหลุดคำพูดหรือการกระทำที่แสดงความไม่พอใจออกไปมากกว่านี้ มีแต่จะทำให้เรื่องแย่ลงเท่านั้น
“ถือว่าฉันขอบคุณนะ ที่ทำให้รู้ว่าพนักงานคนหนึ่งมีค่ากับที่นี่แค่ไหน” เฟยเฟยพูดอย่างเย็นชา เธอจ้องหัวหน้าแผนก HR เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย เธอทิ้งของส่วนตัวที่ไม่สำคัญไว้บนโต๊ะทำงาน โดยเลือกเพียงสิ่งที่จำเป็นจริงๆ เพราะไม่อยากให้ใครพูดได้ว่าเธอเอาของที่ไม่ใช่ของเธอไป
หญิงสาวเดินออกจากบริษัทด้วยหัวใจที่อ่อนล้าแต่มั่นคง เธอเลือกที่จะจากไปอย่างสง่างาม แม้จะรู้ว่าความยุติธรรมในที่ทำงานนี้ไม่มีอยู่จริงก็ตาม วันนี้เธอได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากที่ที่บั่นทอนศักดิ์ศรีและความพยายามของเธอแล้ว
เฟยเฟยเดินผ่านทุกคนออกมาอย่างรวดเร็ว แม้ใบหน้าจะเชิดไม่แยแส แต่ข้างในนั้นพังทลายไปแล้ว เธออยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียงแต่ก็ทำไม่ได้ และก็ไม่อยากจะเสียศักดิ์ศรีด้วยการหลั่งน้ำตาต่อหน้าคนพวกนี้
เมื่อเดินออกมาจากตึกบริษัทได้สักพัก หญิงสาวก็หยุดยืนตรงมุมหนึ่งของถนน เธอสูดหายใจลึกเพื่อสงบจิตใจ ในหัวก็ยังคิดวนเวียนถึงความอยุติธรรมและความพยายามที่สูญเปล่าของตัวเอง จู่ ๆ เธอก็นึกถึงอีเมลที่ใช้ติดต่อกับหัวหน้าทุกครั้ง ทุกการประสานงาน ทุกเอกสารที่เธอส่งงานไปให้เขา
เฟยเฟยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเริ่มฟอร์เวิร์ดอีเมลทั้งหมดไปยังเจ้าของบริษัท พร้อมเขียนข้อความสั้น ๆ บรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา
“ดิฉัน จ้าวเฟยเฟย พนักงานทั่วไปที่เคยทำโปรเจกต์ใหญ่ให้กับแผนกวางแผน ขอแจ้งเรื่องการลาออก และฝากเรียนให้ทราบถึงสิ่งที่ดิฉันทำในโปรเจกต์นี้ ดิฉันหวังว่าบริษัทจะเห็นถึงความพยายามของพนักงานทุกคนในอนาคต ไม่ใช่แค่ให้คนที่มีตำแหน่งใหญ่รับความดีความชอบทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำอะไรเลย ไปเพียงคนเดียว”
หญิงสาวกดส่งอีเมลด้วยรอยยิ้มบาง ๆ แม้ว่าจะได้เอาคืนไปบ้างแต่ความเสียใจที่เธออดทนไว้ก็ทำให้น้ำตารื้นขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลับไปนั่งทนฟังคำที่ไม่อยากฟังอีกต่อไป” เฟยเฟยถอนหายใจพลางเดินลงบันไดไปรถไฟใต้ดิน เธอก้มมองโทรศัพท์เพื่อเช็กการส่งอีเมลอีกครั้ง และนั่นก็ทำให้หญิงสาวไม่ทันระวัง ก้าวผิดไปราวกับไม่เห็นบันไดที่ทอดยาวลงไปข้างหน้า
เฟยเฟยก้าวพลาด ขาขวาของเธอลื่นไถลไปข้างหน้า ร่างของเธอกลิ้งไปตามขั้นบันไดยาวอย่างรวดเร็ว แม้จะพยายามคว้าราวจับเอาไว้แต่ก็สายไปซะแล้ว เสียงสิ่งของกระจายออกจากกระเป๋าของเธอดังก้องไปทั่วบริเวณ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงร่างกายของหญิงสาวที่กระแทกพื้นเป็นอย่างสุดท้าย ความเจ็บปวดค่อย ๆ ลามไปทั่วตัว เธอล้มแน่นิ่งลงที่พื้น
สติของเธอเริ่มพร่ามัว เหมือนทุกอย่างรอบตัวจะเลือนหายไป
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงรอบข้างค่อย ๆ หายไป เหลือเพียงความว่างเปล่าที่เข้ามาแทนที่ แล้วทุกอย่างก็มืดมิดไป...
“พระสนม... พระสนม” เสียงเรียกซ้ำ ๆ ดังขึ้นท่ามกลางความมืด เฟยเฟยรู้สึกเหมือนถูกดึงออกจากความว่างเปล่า ความรู้สึกเจ็บปวดที่หัวรุนแรงจนเธอคิดว่าอาจเป็นฝันร้าย เสียงของหญิงสาวแปลกหน้าแทรกเข้ามาในสติที่เลือนรางจนเธอคิดว่าอาจจะเป็นผู้หวังดีสักคนที่เข้ามาช่วยเธอ
“พระสนม... พระสนมเพคะ”
เฟยเฟยค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง สายตาเธอจับจ้องไปที่เพดานไม้แกะสลักที่ดูหรูหราเกินกว่าที่เคยเห็น
หญิงสาวขยับตัวเพื่อลุกขึ้นนั่งอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลก ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะความเจ็บปวดที่หัว แต่เพราะบรรยากาศที่แปลกประหลาดไปจากสิ่งที่เธอเคยชิน เรียกได้ว่ามองไปตรงไหนก็ไม่มีอะไรที่คุ้นเคย
“พระสนมตื่นแล้วหรือเพคะ” เสียงของหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่พื้นใกล้ ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง
“มีอะไร” เฟยเฟยหันไปมองตามเสียง ก่อนจะพบว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่ายอยู่ในชุดโบราณพร้อมทั้งทำท่าสงบเสงี่ยมอย่างน่าแปลก ท่าทางราวกับเคารพจนเกินพอดีทำให้เธอรู้สึกกระอักกระอ่วน
“...ที่นี่มันที่ไหนกัน” เฟยเฟยพึมพำออกมาอย่างงงงวย แต่คำถามของเธอกลับทำให้หญิงสาวคนนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “พระสนม... ยังรู้สึกไม่สบายอยู่หรือเพคะ ที่นี่ก็คือตำหนักของพระสนมในพระราชวัง ส่วนหม่อมฉันก็นางกำนัลของพระสนมอย่างไรเล่าเพคะ”
“พระราชวัง...” เฟยเฟยพูดซ้ำอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน หัวใจเธอเริ่มเต้นแรงขึ้น เมื่อคำตอบนี้ดูไม่ใช่ความจริง เธอจำได้ว่าเธอลาออกจากงาน ทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานเพราะเธอทนมาจนถึงที่สุดแล้ว ก่อนที่เธอทำสิ่งที่คนอื่นไม่คาดคิดคือการแก้แค้นหัวหน้างานที่ขโมยผลงานของเธอไปหน้าด้าน ๆ แต่เพราะมัวแต่สนใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรจึงก้าวเท้าพลาดตกบันได แต่ตอนนี้...
“นี่เราทะลุมิติมาเหรอ” เธอพึมพำ พลางหัวเราะหยันตัวเอง