บทที่ 4 ตำหนักเย็น
เฟยเฟยนั่งอยู่ในศาลาเล็กภายในสวนตำหนักของเจ้าของร่างเดิม แสงแดดยามเช้าอาบผ่านใบไม้ที่ปลิดปลิวลงมาจากต้นไม้ใหญ่ สายตาคมของหญิงสาวมองไปที่ศาลาอีกหลัง ที่ยังคงมีร่องรอยเผาไหม้อยู่ไกล ๆ
บรรยากาศที่นี่ดูสงบแต่ใจของเธอกลับไม่สงบตามไปด้วย ชีวิตใหม่ในร่างของกุ้ยเฟยไม่ใช่สิ่งที่เธอเคยคาดคิดไว้ เธอคิดว่าจะได้ไปเมาให้หายเครียดก่อนจะหางานใหม่ต่างหาก
การเป็นพระสนมเอกดูเหมือนจะนำมาซึ่งอำนาจและความสุขสบาย แต่ในความเป็นจริง ชีวิตของเธอกลับเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและความกดดัน
“นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คิดไว้เลย...จะโดนฆ่าเมื่อไรก็ไม่รู้” เธอพึมพำกับตัวเอง สายตามองไปยังสวนที่เงียบเหงา สถานที่ที่ควรจะเต็มไปด้วยคนรับใช้และของประดับหรูหรา กลับเหลือเพียงความว่างเปล่า
เฟยเฟยพยายามปรับตัวกับชีวิตในตำหนักที่ถูกลดความสำคัญจนแทบไม่มีใครเหลียวแล เหลือเพียงแค่สาวใช้เพียงคนเดียวและขันทีชั้นผู้น้อยที่คอยดูแลเธอ แม้ทั้งสองจะซื่อสัตย์และนอบน้อม แต่ความเป็นอยู่ของเธอก็เรียกว่ายังต่ำกว่าที่ควรจะเป็นในฐานะกุ้ยเฟย
“พระสนมเพคะ วันนี้ของที่นำมาจากคลังหลวงถูกยึดไปอีกแล้วเพคะ” สาวใช้รายงานด้วยเสียงอันเศร้าสร้อย ขณะที่วางถาดอาหารเช้าธรรมดาลงบนโต๊ะ
“อีกแล้วหรือ” เฟยเฟยเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทรัพย์สินและสิ่งของที่ควรจะได้รับตามฐานะของเจ้าของร่างนี้ถูกยึดไป เธอรู้ดีว่ามันเป็นการกลั่นแกล้งเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเหล่าสนมคนอื่นที่ต้องการให้กุ้ยเฟยรู้สึกต่ำต้อย แต่เธอไม่คิดจะยอมแพ้ต่อเรื่องนี้ง่าย ๆ หรอก เล่นเป็นเด็กกันไปได้ หญิงสาวคิดอย่างรำคาญใจพลางมองอาหารตรงหน้า
“พวกเขาจะให้ข้ากินแค่ข้าวต้มแบบนี้ ทั้งที่ข้าเป็นกุ้ยเฟยเนี่ยนะ” เฟยเฟยตักอาหารในจานที่ดูจืดชืด ทั้งอาหารและของใช้ที่ได้รับไม่เคยตรงตามที่ควรจะเป็น เธอเคยอ่านมาบ้างว่า ตามปกติสนมในวังจะได้รับการปันส่วนข้าวของที่หรูหรา ทั้งอาหารนานาชนิด นางกำนัลคอยรับใช้หลายคน และขันทีที่คอยดูแลตามยศตามตำแหน่ง แต่สำหรับเธอแล้ว สิ่งเหล่านั้นเหมือนถูกลบเลือนไป
“พระสนม... ข้าน้อยเกรงว่า หากท่านไม่จัดการเรื่องนี้ สถานการณ์อาจยิ่งเลวร้ายขึ้นอีก แม้แต่ข้าวสารพวกเรา ก็คงจะหามาไม่ได้แล้ว” ขันทีชั้นผู้น้อยที่ดูแลเธออยู่เอ่ยด้วยความเป็นห่วง
เฟยเฟยพยักหน้า เธอไม่ต้องการอยู่ในสภาพที่ไร้ความสะดวกสบาย หลังจากคิดทบทวนอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงตัดสินใจทำสิ่งที่คงไม่มีพระสนมคนไหนทำมาก่อน
“ข้าจะไปเบิกของกับพวกเจ้าด้วย” หญฺิงสาวพูดด้วยรอยยิ้ม ที่ของถูกขโมยไปเพราะจูหลิงเป็นนางกำนัลไม่มีขั้น ขันทีน้อยก็หนักกว่าทั้งไม่มีขั้นและยังไม่ได้รับการต้อนรับจากเหล่าขันทีด้วยกัน
แต่ถ้าหากเธอที่เป็นถึงกุ้ยเฟยไปด้วยจะมีใครกล้ากับคนของเธอ แม้จะดูแปลกไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าอดตาย
ช่วงบ่ายวันนั้น เมื่อของที่นำมาจากคลังหลวงถูกส่งมาถึงตำหนัก เฟยเฟยก็ก้าวออกมาพร้อมกับขันทีและสาวใช้ เธอยืนอยู่ตรงประตูตำหนัก จ้องมองพวกที่นำของมาด้วยสายตาเย็นชา
“วันนี้ ข้าจะดูของด้วยตัวเอง” เธอพูดเสียงเย็น ทำให้นางกำนัลจากตำหนักอื่นที่กำลังจะเข้ามาขโมยของชะงักงันไป
“เอ่อ... พระสนม ข้าน้อยไม่คิดว่า...” หนึ่งในนางกำนัลจากตำหนักอื่นรีบกล่าวอย่างเกรงกลัว แต่ไม่ทันจะได้พูดจบ เฟยเฟยก็หยุดนางไว้ด้วยมือที่ยกขึ้นเบา ๆ
“ข้าจะไม่ฟังคำแก้ตัว หากวันนี้ของที่ควรมาถึงข้าอยู่ไม่ครบ ข้าคงต้องรายงานให้ราชองครักษ์ตรวจสอบ” เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด
นางกำนัลตำหนักอื่น ๆ ลอบมองหน้ากันอย่างตระหนก เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ง่ายดายอย่างเคย พวกนางก็ต่างรีบถอยกลับไป เฟยเฟยมองตามพวกนางด้วยสายตานิ่ง ก่อนจะหันไปหาขันทีน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“พวกเขามักจะขโมยของไปเช่นนี้เสมอหรือ” เธอถามด้วยความสงสัย
ขันทีพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “เหล่าสนมคนอื่นทำการกลั่นแกล้งพระสนมมาตลอด แม้กระทั่งฮ่องเต้ยังไม่ได้ออกคำสั่งให้ยึดข้าวของเหล่านี้แต่นางกำนัลของพระสนมอื่น ๆ ก็มาเอาไป สิ่งที่ท่านประสบเป็นเพียงความอิจฉาของเหล่าสนมเท่านั้น”
เฟยเฟยขมวดคิ้ว “งั้นหรือ... ข้าคิดว่าฮ่องเต้สั่งลงโทษและลืมข้าไปแล้วเสียอีก”
“ไม่ใช่เช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้เฟยเฟยหันไปมอง เป็นราชองครักษ์ที่มาตรวจสอบเรื่องไฟไหม้ในคืนก่อน เขาเดินเข้ามาใกล้และโค้งคำนับให้เฟยเฟย
“พระสนมยังคงเป็นที่โปรดปราน อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ได้ถูกส่งไปตำหนักเย็นหรือริบตำหนักคืน”
เฟยเฟยมองเขาด้วยความสงสัย “แล้วทำไมข้าถึงตกอยู่ในสภาพนี้”
ราชองครักษ์พยายามหลบสายตาของเธอ เขารู้ดีว่าหากเขาพูดความจริงมันอาจเป็นการเปิดเผยเรื่องที่ไม่ควรพูดออกมา แต่เมื่อเห็นสายตาของกุ้ยเฟยที่เต็มไปด้วยความสับสน เขาจึงตัดสินใจตอบ ใครจะรู้ว่าวันข้างหน้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้จะมีตำแหน่งเป็นอะไร
“ที่เรื่องราวเป็นเช่นนี้ก็เพราะข่าวลือที่เกิดขึ้นก่อนหน้า และฝ่าบาทก็ยังไม่ได้รับสั่งอะไร ทั้งยังไม่เสด็จมาที่ตำหนักหลินอันเช่นทุกครั้ง ทุกคนจึงคิดว่าพระสนมถูกทอดทิ้งแล้ว”
เฟยเฟยถอนหายใจเบา ๆ “เป็นอย่างนี้นี่เอง เช่นนั้น ข้าก็ต้องสู้กลับสินะ...”
ราชองครักษ์ไม่ได้กล่าวอะไร นี่เป็นเรื่องของเจ้านาย ต่างคนก็ต่างสรรหาปัญหามาให้กันได้ในแต่ละวัน หน้าที่ของพวกเขาก็แค่ทำให้พระราชวังยังคงสงบสุขเท่านั้น
“ข้าน้อยจะช่วยเท่าที่ทำได้”
และด้วยความช่วยเหลือของราชองครักษ์และขันทีที่ยังภักดีต่อกุ้ยเฟย เฟยเฟยจึงสามารถได้รับข้าวของและสิ่งจำเป็นที่เธอควรจะได้รับกลับคืนมา
แม้ว่าจะไม่ได้ต้องการต่อสู้กับใครโดยตรง เพราะหน้าฮ่องเต้เธอก็ยังไม่ได้เห็นเลยด้วยซ้ำ ใครจะไปอยากแย่งผู้ชายที่ไม่รู้จัก เธอก็แค่อยากกินอยู่สบายให้สมฐานะหน่อยก็เท่านั้น
หากเธอจะอยู่ในฐานะกุ้ยเฟยต่อไป ชีวิตของเธอก็ต้องสบายกว่านี้ เฟยเฟยยิ้มก่อนจะหยิบผลไม้ส่งเข้าปาก
“อา...อร่อยจัง” อดไม่ได้ที่จะชื่นชม ชีวิตก่อน ผลไม้ดี ๆ ได้กินเพียงแค่วันเงินเดือนออกเท่านั้น แต่การเป็นพระสนมแค่เพียงนั่ง ๆ นอน ๆ ก็มีของกินมาส่งถึงตำหนัก ชีวิตที่สุขสบายขนาดนี้ เหตุใดเจ้าของร่างเดิมถึงได้ไม่รักชีวิต ทิ้งมันไปได้อย่างง่ายดาย ก็แค่ถูกชายที่มีหญิงสาวมากมายรายล้อมหลงลืม
จากชีวิตเด็กกำพร้าที่ต้องปากกัดตีนถีบมาตลอด ทั้งทำงานพิเศษไม่รู้กี่งาน นอนบนฟูกเก่าในห้องเช่าที่แทบจะล้มพัง ความฝันที่จะมีชีวิตสบายถูกลืมไปตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้…กลับต้องมานั่งในตำหนักเย็น ท่ามกลางกำแพงสูงและลานกว้างเหมือนคุกที่ไม่มีทางออก
นั่ง ๆ นอน ๆ ยังมีคนรับใช้เอาอาหารมาเสิร์ฟถึงที่ ขนาดในห้องเช่าของเธอยังไม่มีแบบนี้!
“ตำหนักเย็นแค่นี้เองเหรอ สบายยิ่งกว่าชีวิตก่อนเสียอีก” เธอพูดกับตัวเองพลางนอนเหยียดกายลงกับเตียง หัวเราะคิกคัก เพราะรู้สึกว่าชีวิตแบบนี้มันน่าขำจริง ๆ