บทที่ 5 สวมบทกุ้ยเฟยจะไปยากอะไร
เฟยเฟยนั่งคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่เธอตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ แม้จะชอบกับชีวิตใหม่แต่ก็ยังมีความรู้สึกสับสนอยู่บ้างกับการเป็นพระสนมเอก
ในบริษัทว่ามีการต่อสู้ขัดแข้งขัดขาแล้ว ในพระราชวังนี่กลับเต็มไปด้วยการแก่งแย่งชิงดียิ่งกว่า
และเมื่อดูจากการกลั่นแกล้งเล็กน้อยที่เธอได้รับอยู่เรื่อย ๆ มันก็ทำให้เฟยเฟยรู้ว่าเส้นทางนี้ไม่น่าจะง่าย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้หรอก อย่างน้อยอยู่ที่นี่ก็แค่กิน ๆ นอน ๆ และหาทางเอาตัวรอดไปวัน ๆ ก็เท่านั้น ไม่ต้องปากกัดตีนถีบทำงานหัวฟูแต่ไม่รู้ว่าผลตอบแทนจะคุ้มไหม
เพียงแต่สิ่งที่เธอยังสงสัยคือเพราะอะไรเธอถึงได้มาอยู่ที่นี่ แทนที่หญิงสาวที่รูปร่างบอบบางคนนี้
“แต่อย่างไรก็มาแล้ว... ต่อให้เป็นใครก็มาเถอะ นี่ใคร เฟยเฟยนะ จะไม่ยอมให้ใครมากดขี่ข่มแห่งได้อีกแน่ ๆ” หญิงสาวพูดกับตัวเองเบา ๆ พลางมองออกไปนอกหน้าต่าง สายลมเย็นพัดผ่านเข้ามาเป็นสัญญาณราวกับตอบรับคำที่เธอพูด
และถึงแม้สถานการณ์ของจางกุ้ยเฟยอย่างเธอจะไม่ดีนักในตอนนี้ แต่เธอก็ยังมีความหวังว่าเธอจะทำให้มันดีขึ้นได้
เพราะตอนนี้สิ่งที่เฟยเฟยมีมากที่สุดคือเวลา หญิงสาวจึงคิดจะตรวจสอบตัวตนของพระสนมคนนี้สักหน่อย
เฟยเฟยเดินไปทั่วตำหนักกุ้ยเฟยของร่างเดิม เพื่อค้นหาอะไรบางอย่างที่จะสามารถทำให้เธอรับรู้ได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เจ้าของร่างจากไป และเพราะอะไรเธอถึงมาอยู่ที่นี่
น่าแปลกยิ่งค้นหากลับพบว่าสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเหงาและความเศร้าใจ ร่องรอยของเจ้าของร่างเดิมยังคงอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ส่วนตัว ภาพเขียนที่หญิงสาวยังคงวาดไม่เสร็จ หรือแม้กระทั่งตำราที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นหนังสือ
เฟยเฟยหยิบตำราเล่มหนึ่งที่มีปกหนังเก่า ๆ ออกมาเปิดดู แต่เมื่อเธอพลิกหน้ากระดาษ กลับต้องสะดุดตากับบางสิ่ง บันทึกส่วนตัวของกุ้ยเฟยคนก่อนถูกซ่อนอยู่ในนั้น เป็นกระดาษที่บันทึกด้วยลายมืองดงามบ่งบอกถึงความตั้งใจของผู้เขียน เฟยเฟยเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจเมื่อได้อ่านข้อความในนั้น
ใครจะไปคิดว่าภายใต้ข้าวของมากมายที่สวยงาม เจ้าของตำหนักนี้กลับซ่อนความลับของตนเอาไว้ในมุมที่ไม่ค่อยมีคนสนใจ
“บันทึกเหรอเนี่ย” เฟยเฟยบ่นพึมพำกับตัวเอง หญิงสาวหยิบเอาบันทึกเล่มนั้นติดมือมาด้วย เธอค่อย ๆ นั่งลงที่ตั่งและเปิดบันทึกอ่านอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง แต่ละหน้าที่อ่านผ่านไปราวกับได้สัมผัสความรู้สึกและเรื่องราวของเจ้าของร่างคนก่อนและนั่นก็ทำให้เธอถึงกับขนลุกซู่
ยิ่งเมื่อเธอได้อ่านไปถึงตอนที่กล่าวถึงข่าวลือ ที่ทุกคนกล่าวหาว่ากุ้ยเฟยนั้นมีใจให้กับองค์ชาย มันก็ยิ่งทำให้เฟยเฟยรู้สึกหายใจไม่ออก
“ข้าไม่เคยคิดจะทรยศฝ่าบาท แม้จะไม่ได้ถวายตัวแต่ก็รับใช้ในฐานะพระสนมที่ดี แต่เพราะคำครหาจากพระสนมตำหนักอื่น และผู้คนในพระราชวังแห่งนี้ ทำให้ทั้งฝ่าบาทและองค์ชายต้องแปดเปื้อน ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่อาจทนได้อีกต่อไป...คงเป็นทางดีเสียกว่าที่คนไร้ค่าเช่นข้าจะจากไปเสีย”
เฟยเฟยเข้าใจลึกซึ้งก็ตอนนี้ ข่าวลือที่ราชองครักษ์คนนั้นพูดถึง คงเป็นข่าวเดียวที่ทำลายชีวิตของเจ้าของร่างคนก่อน ช่างน่าเศร้าและน่าหดหู่ เพราะคำนินทาของคนบางคนทำให้คนที่อมทุกข์และไร้ที่ปรึกษาทางใจ เลือกที่จะจากไปเพื่อให้หลุดพ้น
โลกเดิมที่เธอจากมาก็ไม่ต่างกัน การบูลลี่ การพูดบั่นทอนคนที่มีภาวะซึมเศร้า หลาย ๆ คนจึงเลือกที่จะจบชีวิตลง ในยุคโบราณนี้ก็คงไม่ต่างกัน แค่ผู้คนยังไม่รู้ว่ามีโรคเช่นนี้อยู่
“เขียนเช่นนี้ก็คงจะฆ่าตัวตายแน่ ๆ” เฟยเฟยพูดกับตัวเอง
เสียงในความคิดที่เธอได้อ่านยังคงดังก้องอยู่ในหัว เพราะหญิงสาวยังเด็กไร้เดียงสาและไม่เคยเผชิญกับความยากลำบาก เจอเรื่องราวเท่านี้จึงได้ทุกข์ทรมานจนรับไม่ไหว แม้จะยังไม่ได้ถูกตัดสินและลงโทษ แต่กลับเลือกที่จะลงโทษตัวเองไปแล้ว
นั่นก็เพราะความกดดันจากคำกล่าวหาของผู้คนที่ว่าเธอมีใจให้กับองค์ชายผู้หนึ่ง นี่เองสาเหตุที่ตำหนักนี้ถูกกลั่นแกล้งและโดดเดี่ยว มิต่างจากตำหนักเย็น หรือจะเรียกว่าตำหนักเย็นก็ไม่ผิดนัก
เฟยเฟยคิดถึงตัวเอง เธอเชื่อว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะตัดสินใจแบบนี้ก็คงจะพยายามอธิบายความจริงออกไปแล้ว แต่เมื่อดูจากการกระทำที่ทุกคนทำกับคนตำหนักนี้ เห็นทีตอนนั้นคงจะไม่มีใครเชื่อคำของจางกุ้ยเฟย สุดท้ายความทุกข์ที่มีคงมากพอจะพานางไปสู่การจบชีวิตตนเอง
เฟยเฟยวางบันทึกลงด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เธอนึกภาพออกเลยว่ากุ้ยเฟยคนก่อนจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดเช่นไร ถูกกล่าวหาทั้ง ๆ ที่ไม่มีความผิด
ถึงจะเข้าใจแต่สำหรับเฟยเฟยแล้ว การฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออกที่จะช่วยแก้ปัญหา เธอหายใจเข้าลึกแล้วปิดบันทึกเล่มนั้นลง ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจการตัดสินใจของเจ้าของร่าง
“ขอโทษนะจางกุ้ยเฟย แต่ข้าไม่ใช่คนที่ยอมแพ้เช่นนั้น” เฟยเฟยพูดกับตัวเอง ดวงตาของเธอส่องประกายแห่งความมุ่งมั่น “อะไรที่ไม่ได้ทำก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเดือดร้อน คำครหาก็แค่คำพูดของคน เอาไว้ฮ่องเต้สั่งประหารข้าค่อยคิดก็แล้วกัน ส่วนเรื่องกลั่นแกล้งไร้สาระพวกนั้น” หญิงสาวยกยิ้ม “ข้าจะเผชิญหน้ากับพวกที่กลั่นแกล้งข้า และข้าจะไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด หากวิญญาณท่านยังอยู่แถวนี้ก็เอาใจช่วยข้าด้วยก็แล้วกัน”
เฟยเฟยวางบันทึกลงบนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน ร่างกายของเธออาจจะยังอ่อนแอเพราะมันเป็นของเจ้าของร่างเก่า แต่จิตใจของเธอกลับแข็งแกร่งเหมือนอย่างที่เธอเป็นมาเสมอ
หญิงสาวตัดสินใจแล้วว่า ตั้งแต่นี้ไป เธอจะไม่ปล่อยให้ใครมาเอาเปรียบเธอและคนในตำหนักนี้ได้อีก เธอจะไม่ยอมแพ้เหมือนกุ้ยเฟยคนก่อนที่จบชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเพียงแค่เพราะคำคน
บทบาทของกุ้ยเฟยคนใหม่ ข้าจะเขียนขึ้นมาเอง