ชายหนุ่มผู้นั้นมีผิวขาวละเอียด ดวงหน้าเขางดงามหากแต่ดูสง่ามิใช่อ่อนหวาน ยามนี้สองแก้มแดงปลั่งเพราะอากาศค่อนข้างอบอ้าว และมันขับให้เขาน่าหลงใหลประหนึ่งมีเวทมนตร์
ดวงตาสีดำขลับจับจ้องหน้ากระดาษด้วยความตั้งใจ เขานั่งอยู่ตรงนั้นนานแล้ว มือขวาถือพู่กันสะบัดไปมา เป็นเวลาอีกราวๆ หนึ่งก้านธูป เขาจึงหยุดมือ และยิ้มอย่างพึงใจเมื่องานสำเร็จ
“ส่งมันไปที่หอหูเตี๋ยฮวา มอบให้คุณชายสี่แห่งสกุลไป๋ อย่าลืมรับเงินส่วนที่เหลือกลับมาด้วย”
เขาสั่งเต่าน้อย บ่าวรับใช้ในบ้านซึ่งเป็นคนเดียวที่ยังจงรักภักดีต่อคุณชายผู้ไร้เกียรติ ซึ่งอาศัยในเรือนเก่าที่อดีตเคยเป็นเล้าหมู
หนึ่งปีก่อนหลังจากถูกส่งตัวมาที่นี่ก็ไม่มีใครอยากมารับใช้เขา แต่บ่าวต่ำต้อยเคยได้รับการเลี้ยงดูจากบิดาฉีหยางซิ่วตั้งแต่เล็ก มันลั่นวาจาไว้ถึงตายก็จักทดแทนบุญคุณนายตัวจริงของตระกูลฉี
หนุ่มรูปงามซึ่งยากพบเห็นได้ในใต้หล้า อดีตเขาเกิดในตึกใหญ่เทพเซียนอักษร แต่มรสุมชีวิตทำให้ระหกระเหินจากไปตั้งแต่แบเบาะ อาศัยอยู่กับผู้เฒ่าถานนับสิบปี ก่อนที่จะได้ไปฝึกวรยุทธ์ที่ผาไร้นามกับปรมาจารย์
ฉีหย่งชางผู้ล่วงลับ
ครั้นเติบใหญ่จึงกลับมายังบ้านเกิดตามคำสั่งเสียของปู่ที่ให้ไว้ เขาเดินทางมาพร้อมพู่กันเหล็ก ศาสตราวุธล้ำค่าซึ่งฉีหย่งชางมอบให้
“เลือดของเจ้าคือคนตระกูลฉี เรือนตายของเจ้าอยู่ที่นั่น ปู่มอบสิ่งนี้ให้เจ้าเก็บรักษา เมื่อเติบใหญ่จงสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าสำนักตะวันไร้พ่าย...ต่อแต่นี้อย่าได้เป็นคนหูเบา เหลาะแหละอย่างบิดา”
กระนั้น ชายหนุ่มก็มิใช่คนมักใหญ่ใฝ่สูง คำสั่งเสียสุดท้ายของปู่เป็นเหมือนภูเขาขนาดมหึมาที่กดทับบนหลังไหล่ และโชคชะตานั้นเล่นตลก เมื่อคืนสู่ตระกูลฉี ได้เกิดเรื่องพลิกพลันเมื่อผู้เป็นพี่ชายต่างมารดายึดทุกอย่างไปเป็นของตน
ฉีหยางซิ่วจึงกลายเป็นคุณชายตกอับ นั่นเป็นสาเหตุให้เขาเริ่มหากินด้วยการวาดภาพ ซึ่งภายหลังได้สร้างเม็ดเงินให้เขาอย่างงาม
แต่แรกหลังจากถูกส่งตัวมาอยู่เรือนเล้าหมู เขาต้องอดมื้อกินมื้อ ถูก
เหยียดหยามจากฉีเจียนหลิว รวมถึงคนรับใช้ในบ้าน และเหล่าสมุนนักดาบของมัน
ชายหนุ่มมิเคยตอบโต้ เขาอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว อาศัยข้าวและอาหารที่ถูกส่งมาเพียงน้อยนิดเลี้ยงตน ชีวิตจึงขัดสนหนัก นานวันเข้า คุณชายผู้นี้จึงถูกคนในตึกเทพเซียนอักษรลืมเลือน
“เอ่อ แล้วรูปสำหรับหอลู่ไป๋เซ่อที่แม่นางผู้หนึ่งต้องการให้คุณชายวาดจะทำเยี่ยงไร คนของนางท่าทางเป็นนักเลงโต วันก่อนติดตามบ่าวมาจนถึงประตูเล็กด้านหลัง โชคดีที่บ่าวซ่อนตัวทัน มิเช่นนั้น พวกมันคงบุกเข้ามา”
เต่าน้อยเล่าถึงเหตุการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานให้ฟัง คือเรื่องที่เขาลักลอบวาดรูปอนาจารซึ่งกำลังเป็นที่จับตาของคนภายนอก
“บัดซบ ข้าคือว่าที่เจ้าสำนักตะวันไร้พ่าย ผู้สืบทอดวิชา พู่กันปลิดวิญญาณ ใครหน้าไหนกล้ามาตอแย”
เด็กหนุ่มลุกพรวดจากม้านั่ง ความเดือดดาลท่วมท้นใจ
หอลู่ไป๋เซ่อเต็มไปด้วยคณิกาชายงามหลากหลายเชื้อชาติ พวกมันมีหน้าที่เล่นดนตรี และระบำรำฟ้อน เพื่อมอบความสุขสำราญแก่ผู้คน จริงอยู่ การที่จะให้เขาวาดรูปผู้ชายเปลื้องผ้ารวมถึงภาพสมสู่กันทางประตูหลังเป็นเรื่องชวนให้สะอิดสะเอียน กระนั้น หากเขาไม่กระทำตาม ข่าวที่เขาลักลอบวาดภาพสาวงามรวมถึงการเขียนหนังสือชุนกงอาจแพร่งพรายออกไป
“คุณชายโปรดระงับโทสะ บ่าวคาดว่าแม่นางผู้นั้นอาจแค่ลองใจท่าน”
“ลองใจอย่างงั้นหรือ” ฉีหยางซิ่วทวนคำพูดเต่าน้อย
มันมีอายุมากกว่าเขาเกือบครึ่งรอบ แต่ด้วยรูปร่างผอมบางจึงดูเหมือนเด็กผู้ชาย ผิดกับเขาซึ่งสูงสง่าเกินวัย
“ใช่ขอรับ หลังจากพบหน้ากันคราวนั้น บ่าวก็ไปขอความช่วยเหลือจากโรงเตี๊ยมป่าไผ่ ท่านป้าของนายน้อยกำชับว่าอย่าขัดใจแม่นางผู้นั้น”
“เอ ท่านป้าลู่เหลียนมีแผนอันใด” ฉีหยางซิ่วคิดใคร่ครวญ ก่อนกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นเอาเช่นนี้ บอกนางปีศาจบ้าตัณหาว่าข้าจะรีบจัดการให้ และเจ้าก็อย่าให้ใครจับตัวได้ หากพลาดพลั้งจงปิดปากเสีย”
คนรับใช้ค้อมศีรษะ แล้วรีบก้าวจากไปเพื่อส่งภาพวาดให้ลูกค้าของฉีหยางซิ่ว
ร่างสูงเพรียวก้าวเดินไปรอบๆ เรือนหลังเก่าซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย
ของเขา พลางคิดถึงเรื่องหญิงสาวจอมวายร้ายที่ต้องการรูปวาดคณิกาชายจากหอลู่ไป๋เซ่อ
“แผ่นดินนี้มีหญิงแพศยาจิตวิปริตถึงเพียงนั้น” เขารำพึงรำพันในใจ ก่อนหัวเราะออกมา
หากอีกฝ่ายต้องการภาพวาดดังกล่าว ย่อมหมายความว่าชายงามล่มเมืองอย่างเขาคงเป็นที่หมายตาของนาง
ฉีหยางซิ่วทิ้งเรื่องหญิงผู้นั้นไว้เบื้องหลัง เขาก้าวไปข้างหน้าพร้อมใคร่ครวญถึงความหลังที่ผ่านมา
นับแต่ก้าวเข้ามาในตระกูลฉี เขารู้สึกอดสูยิ่ง หมู่ตึกเทพเซียนอักษร
นั้น ฉีเจียนหลิวได้ครอบครองไว้ ก่อนส่งตัวเขาให้มาอยู่ที่นี่จนกลายเป็นคุณชายไม่เอาไหน ไร้ซึ่งบุญวาสนา หลายครั้งยังถูกคนของอีกฝ่ายหยามเกียรติ
สุดท้ายฉีหยางซิ่วทนไม่ไหวจึงก้าวออกไปสู่โลกภายนอก ปลอมแปลงตนเองเป็นคนไร้ชื่อ และเริ่มทำการค้าด้วยการใช้ศิลปะประจำตระกูลหากิน ด้วยการวาดภาพเริงรมย์ปลุกกำหนัดผู้คน
ในอึดใจต่อมา ฉีหยางซิ่วต้องแปลกใจที่มีบ่าวรับใช้หญิงก้าวเข้ามายังเรือนเล้าหมู
“เจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
เขาถามอย่างสงสัย แม้เรือนซอมซ่อจะอยู่ด้านหลังสุดของตระกูลฉี แต่ก็ไม่เปิดให้คนภายนอกเข้าออกอย่างย่ามใจ
“เงินและอำนาจอย่างไรล่ะเจ้าคะ บ่าวถึงมายืนอยู่ตรงหน้าท่าน...คุณชายเรือนเล้าหมู”
หญิงรับใช้วัยกลางคนรู้สึกรังเกียจชายผู้นี้มิน้อย การกระทำของเขาเป็นที่น่าขายหน้า กระนั้น คำสั่งจากผู้เป็นนายก็มิกล้าขัด
“สภาพเยี่ยงเจ้าร่ำรวยได้ถึงปานนั้น”
ฉีหยางซิ่วมองประเมินอีกฝ่าย ปกติตระกูลฉีมีคนรับใช้ดูแลเกือบทุกจุด เว้นแต่เรือนของเขาซึ่งถูกปล่อยปละละเลย ส่วนพวกสมุนของฉีเจียนหลิวไม่ค่อยย่างกรายมาที่นี่ เว้นแต่นายของมันสั่งการ เหตุนี้จึงทำให้หญิงรับใช้ชั้นต่ำเข้ามาพูดจาโอหังกับเขาถึงที่นี่
“อย่าเพิ่งบันดาลโทสะสิคุณชาย นายของบ่าวเพียงแต่เห็นว่า ด้วย
เกียรติของท่าน อย่างไรเสียก็ไม่ควรมาทนอยู่ในเรือนหลังนี้ จึงต้องการเจรจาการค้าด้วย”
“ฮึ นายเจ้าเป็นใครกัน ถึงได้นึกเห็นใจผู้อื่น”
“นายของบ่าวเป็นคนที่คุณชายสมควรเจรจาด้วยที่สุดในใต้หล้านี้”
ฉีหยางซิ่วเลิกคิ้วหนาขึ้นข้างหนึ่ง มองสาวใช้อย่างดูแคลน นางรู้สึกเสียหน้าอยู่มากแต่ยังยืนหยัดทำหน้าที่ตนต่อ
“คุณหนูเพ่ยเพ่ยให้บ่าวมาเชิญท่านไปที่ ห้างซือเชี่ยน มีงานสำคัญให้ทำ” นางเอ่ยถึงห้างการค้าอันดับต้นๆ ของเมืองจิ่นสือ
“จำเป็นด้วยหรือที่ข้าต้องออกจากเรือนอันโอ่โถง เพื่อไปรับใช้คุณหนูของเจ้า”
หญิงรับใช้เบ้ปากอย่างขัดเคืองใจ ด้วยรู้ถึงความยิ่งทะนงในตัวของคุณชาย
“หากท่านยังอยากมีหัวอยู่บนบ่า จงรีบตามข้าไปพบคุณหนูเพ่ยเพ่ย” หญิงรับใช้หมดความอดทนจึงกล่าววาจาโง่เง่าข่มขู่
“ฮ่าๆ ๆ ท่าทางคุณหนูของเจ้า คงนิยมชมชอบชายงาม แต่กลัวถูกครหาจึงอยากให้ข้าวาดรูปหนุ่มๆ ไว้ให้เชยชมในห้องนอน ใช่หรือไม่”
ฉีหยางซิ่วประเมินว่าคนที่อยากได้รูปชายงามจากหอคณิกาชายคงเป็นหญิงอ้วนดำอัปลักษณ์ กลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยว หาผู้ชายมาสู่ขอมิได้
“ต่ำช้า! ท่านกล่าววาจาเช่นนี้ สักวันจะต้องมิตายดี” นางรับใช้ตวาดใส่
คราวนี้ฉีหยางซิ่วเดือดดาล เขาจ้องอีกฝ่ายเขม็ง เตรียมไล่ไปให้พ้นๆ
หน้า ทว่ามีเสียงหวานไพเราะขัดขึ้นเสียก่อน
“โปรดระงับโทสะด้วยคุณชาย บ่าวรับใช้ของข้าปัญญาทึบ เมื่อกลับไป ข้าจะโบยมันสักร้อยทีเพื่อให้หลาบจำ”
เจ้าของน้ำเสียงคือสาวงามนางหนึ่ง นางมีเครื่องหน้าจิ้มลิ้ม เรือนร่างอวบอิ่ม แต่เอวคอดเล็ก และกลิ่นตัวก็หอมเหมือนมีมวลบุปผาโอบคลุมร่าง หาใช่สตรีอัปลักษณ์อย่างที่เขาคาดคิด
“ที่ต้องรบกวนท่าน เป็นเพราะ...อยากทำการค้าด้วย หากท่านเห็นดี ข้าจะเป็นผู้ออกทุนพร้อมจัดหาสาวงาม และชายหนุ่มมาเป็นแบบ รวมถึงลูกค้า ส่วนกำไร เรามาแบ่งกันอย่างยุติธรรม”
“ข้อเสนอของคุณหนูน่าสนใจ แต่ข้าเกรงว่าจะรับไว้มิได้”
ฉีหยางซิ่วประเมินอีกฝ่าย นางคงมีอายุมากกว่าเขาราวๆ 5 ปีเห็นจะได้ กระนั้นก็ดูโตเป็นผู้ใหญ่มาก และยังเป็นลูกสาวของตระกูลซือ หากขัดใจคงจะนำภัยใหญ่หลวงมาสู่ตน
“แล้วเหตุใด คุณหนูถึงสนใจภาพวาดพวกนี้ มิกลัวมันทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงหรอกหรือ”
“ทำการค้าย่อมต้องกล้าเสี่ยง ยิ่งเสี่ยงมากเท่าไร ผลลัพธ์ยิ่งหอมหวาน”
นางว่าแล้วก็ก้าวเข้ามาใกล้เขา มองอีกฝ่ายด้วยสายตาหยาดเยิ้ม ก่อนกล่าวว่า
“ในเมื่อคุณชายคือทายาทตัวจริงของตระกูลฉี แล้วจะไม่ให้ข้าสนใจอยากทำการค้า ได้อย่างไร”
คำกล่าวทิ้งท้ายของนางทำให้ทั้งฉีหยางซิ่ว และคนที่กำลังนอนฝันอยู่อีกภพหนึ่งตั้งคำถามในใจ