นิยาย เรื่อง #หมอคนสวยของนายมาเฟีย by adtree
----Ep03----ห้ามใช้เส้น
ตัดมา2เดือน ฉันจบการศึกษาป.ตรีแล้ว หมอครีมกลับไปก่อน เพราะแม่ของหมอครีมไม่สบาย ส่วนเราก่อนกลับก็ไปทำผมสีทองทั้งหัว กะจะให้คนที่บ้านจำไม่ได้
และแล้วก็มาถึงไทย ในช่วงบ่าย แดดประเทศไทยยังร้อนเหมือนเดิม เราแต่งตัวด้วยเสื้อโค้ทตัวใหญ่หนาสีดำ แต่งหน้าจัดมาปากสีแดง ใส่แว่นตาดำอำพราง เดินออกจากสนามบิน ตรงไปบริเวณด้านหน้า เราเห็นป๊าม๊ายืนรออยู่แต่ไกล ไม่เจอกัน7ปี ป๊ากับม๊าดูมีอายุขึ้น แต่ใบหน้าและรูปร่างยังเหมือนเดิม ทั้ง2คนชะเง้อมองผ่านเราไป คงจำเราไม่ได้แน่ๆ เราแกล้งเดินไปใกล้ๆ แต่ทั้ง2คนกลับไม่สนใจเราสักนิด แอบน้อยใจที่จำลูกตัวเองไม่ได้ เรากำลังจะเดินผ่านทั้ง2คนไป หมับ!! มีมือมาดึงเราไว้ กระชากตัวเราให้หันกลับไป แล้วกอดเราทันที
..?? ..: จะไปไหนตัวแสบ//เสียงที่เราคุ้นเคยและคิดถึงมาก เรากอดตอบทันที เพราะนั่นคือม๊าสโนว์ของเราเอง เราน้ำตาไหลด้วยความคิดถึง 7ปีที่ไม่ได้กอดม๊า นานเหลือเกิน
ป๊านที : คิดจะแกล้งอะไรอีกล่ะตัวแสบ//ป๊าที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดขึ้น ม๊าผละกอดออก เราถอดแว่นเช็ดน้ำตาตัวเอง
เรา : ก็แค่จะดูว่าป๊ากับม๊าจำลูกได้หรือเปล่า
ม๊า : แค่ย้อมผมสีทองเนี่ยนะ คิดว่าจะทำให้ม๊าจำลูกสาวไม่ได้หรือไง//ม๊าจับผมเรา
เรา : แต่เมื่อกี้ป๊ากับม๊าไม่เห็นจะสนใจบิวตี้สักนิด//เราทำเสียงงอน ป๊ายืนหัวเราะเบาๆ
ป๊า : ฝีมือม๊ามึงไง//ป๊าพูดขึ้น ควับ!! เราหันไปมองหน้าม๊าทันที
ม๊า : อยากแกล้งคนอื่นดีนัก เจอคนอื่นแกล้งกลับเป็นไง//ม๊ายืนยิ้มอย่างผู้ชนะ
เรา : โธ่ม๊า~//อารมณ์เศร้าๆ ของเราหายไปทันที
ป๊า : กลับกันดีกว่า//จากนั้นพวกเราก็มาขึ้นรถ ป๊าเป็นคนขับ ส่วนเรากับม๊านั่งด้านหลัง นั่งกอดกันคุยกัน เราเมาส์เรื่องที่เมกาให้ฟัง พูดเรื่องของฝาก ม๊าก็ตั้งใจฟัง เหมือนไม่เคยคุยกับเรามานาน จริงๆ ก็คุยกันทางโทรศัพท์ทุกอาทิตย์อะนะ ถึงเราจะงานยุ่งไม่มีเวลาขนาดไหน ก็ไม่เคยลืมที่จะโทรหาม๊าเลย เพราะเราคิดมาตลอดว่าครอบครัวของเราสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
มาถึงบ้าน เป็นบ้านที่อาก๊งโชกุนซื้อให้ม๊าเมื่อ9ปีก่อน เป็นบ้าน2ชั้น มี4ห้องนอนที่ม๊าขยายเพิ่มออกไป มีสระว่ายน้ำ มีครัว มีบ่อปลาขยายใหญ่ ร่มรื่น มีทางเดินเป็นบันไดไม้ข้ามบ่อปลา บ้านเขียวขจีเพราะป๊านทีใช้เวลาว่างในการปลูกต้นไม้ในบ้าน ถึงบ้านจะไม่ใหญ่เหมือนบ้านอาก๊ง แต่พวกเราก็มีความสุข ที่บ้านมีคนใช้ดูแล2คน ทั้งคู่มายืนรับเราอยู่หน้าบ้าน ถึงจะแก่ขึ้นแต่เราก็ยังจำทั้งคู่ได้ มีเด็กหนุ่มคนนึงในชุดนักเรียนวิ่งมาหาเราอย่างไว มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
เด็กหนุ่ม : เ**กลับมาแล้วเหรอ//เขาพูดด้วยเสียงแตกหนุ่ม มองเราหัวจรดเท้า
เรา : ทำเป็นห่างเหิน มาให้เ**กอดหน่อย//เรากาง2มือออก เด็กหนุ่มก้าวเข้ามาสวมกอดเราทันที เพราะนั่นคือสกาย น้องชายของเราเอง อายุห่างกัน9ปี ไม่ค่อยจะสนิทกันเท่าไหร่ แต่เราก็รักน้องชายมาก
สกาย : มีของฝากให้ผมเปล่า//เราได้ยินแบบนั้นผละกอดออกทันที
เรา : แหม๋~ที่วิ่งมารับเพราะต้องการของฝากซินะ//เราสะบัดหน้าหันไปทางอื่น
สกาย : ใครบอกล่ะ คิดถึงเจ๊คนสวยต่างหาก
เรา : ปากหวานนะเรา//เราหยิกแก้มสกายด้วยความมันเขี้ยว
ม๊า : มัวแต่คุณอยู่นั่นล่ะ รีบเข้าบ้านกันดีกว่า//ม๊าเดินนำเข้าไปในบ้าน พวกเราเดินตามเข้าไป พวกคนใช้ต่างยกกระเป๋าเราเข้าบ้าน วันนี้ทั้งวันเราอยู่แต่บ้าน เพราะการเดินทางข้ามประเทศ จึงมีอาการเจ็ทแลค เราจึงเลือกพักผ่อนที่บ้าน ปรับร่างกายตัวเองก่อน ช่วงทานอาหารค่ำ พวกเราต่างกินข้าวกันเสร็จ
เรา : ม๊ามีเรื่องอะไรจะเซอร์ไพร์สบิวตี้อีกหรือเปล่าคะ เช่นเรื่องที่รพ.อะไรแบบนี้//เราถามม๊าขึ้น ม๊าหันไปมองหน้าป๊า แล้วหันกลับมามองเรา
ม๊า : ไปคุยที่ห้องทำงานของม๊าซิ//ม๊าพูดด้วยเสียงเย็นชาแปลกๆ แล้วลุกขึ้นเดินไปทันที เรารู้สึกหวั่นๆ เหมือนจะมีเรื่องอะไร หันไปมองหน้าป๊า แต่ป๊าไม่พูดอะไร พยักหน้าให้เรา1ครั้ง เราจึงลุกขึ้นเดินตามม๊าไป
เข้าไปห้องทำงานของม๊า ม๊านั่งที่เก้าอี้ทำงาน ส่วนเราเดินไปที่โซฟามุมห้อง
เรา : ม๊าทำหน้าจริงจัง ที่รพ.มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ//เราถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ม๊า : ไม่มีอะไร แค่ช่วงนี้จะหาหมอเพิ่มเท่านั้นเอง
เรา : นั่นไง แสดงว่าจะให้บิวตี้ไปเป็นหมอที่รพ.ของเราใช่ไหมคะ//เรายกยิ้มขึ้นทันที เป็นอย่างที่คิดไว้
ม๊า : พูดแบบนี้แสดงว่ารู้เรื่องที่รพ.จะสอบรับหมอแล้วซิ//เราพยักหน้ารับรัวๆ
เรา : ม๊าวางใจได้ บิวตี้จะเป็นหมอเก่งๆ รักษาคนไข้ให้รพ.ของเราเองค่ะ//อืมๆ เรากำลังจินตนาการตัวเองในชุดหมอ เดินเข้ารพ.มีแต่คนโน้นคนนี้ยกมือไหว้ รู้สึกมีอำนาจมาก คิก!! คิก!!
ม๊า : พูดอะไร สอบเข้าให้ได้ก่อนเถอะ//ควับ!! เรามองหน้าม๊าทันที จากที่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ตอนนี้เต็มไปด้วยความสงสัย
เรา : สอบอะไรคะ//เราถามม๊ากลับ
ม๊า : อยากเป็นหมอที่รพ.ม๊า ก็สอบเข้ามาให้ได้ซิ
เรา : เดี๋ยวนะคะ บิวตี้เป็นลูกสาวต้องสอบอีกเหรอ บิวตี้ใช้เส้นเข้าไปเลยก็ได้นี่หน่า//เราลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปหาม๊า ตุบ!! ม๊าตบโต๊ะอย่างแรง จ้องหน้าเราอย่างจริงจัง
ม๊า : รพ.ของม๊าไม่มีคำว่าเส้น หมอทุกคนในรพ.ต้องมีฝีมือและคุณภาพ ม๊าไม่ยอมให้หมออ่อนหัดเข้ามาทำงานในรพ.ให้เสียชื่อเสียงหรอก//น้ำเสียงม๊าจริงจังมาก
เรา : แต่ม๊า~นี่ลูกสาวเองนะ อะลุ้มอล่วยไม่ได้หรอ//เราทำเสียงอ้อน
ม๊า : เรียนจบแค่ป.ตรี ให้เรียนต่อป.โทที่โน้นก็ไม่เอา มีหน้าจะมาขอเป็นหมอง่ายๆ ในรพ.อีกหรอ รู้ไหมหมอที่เค้าเก่งๆ ต้องดิ้นรนขนาดไหนกว่าจะมาเป็นหมอประจำได้
เรา : รู้!! แต่ช่วยไม่ได้หนิก็บ้านเรามันรวย มีเงินสร้างรพ. หมอพวกนั้นเก่งก็จริง แต่ก็จนด้วย ต้องแข่งขันเป็นธรรมดา
ม๊า : บิวตี้!! ไปเอาความคิดมั่นใจแบบนั้นมาจากไหน//ม๊าตะคอกเสียงดังใส่เรา
เรา : บิวตี้พูดทุกอย่างเป็นความจริงนะคะ บิวตี้เป็นลูกม๊า ถือว่าเป็นเจ้าของรพ.เหมือนกัน บิวตี้มีสิทธิ์ไปทำงานที่รพ.ได้อยู่แล้ว
ม๊า : ฝีมืออ่อนหัดแบบนั้นเนี่ยนะ จบแค่ป.ตรี ไม่มีสิทธิ์ผ่าตัดเองด้วยซ้ำ คะแนนก็ได้น้อยที่สุดในคลาส ยังมีหน้ามาพูดอีก//เรื่องที่ม๊าพูดเป็นความจริง เราเถียงไม่ออก
ม๊า : ม๊าขอยื่นคำขาด ในรพ.ของเราไม่มีการใช้เส้น บิวตี้อยากเป็นหมอก็สอบแข่งขันเข้ามาเอง ใช้ความสามารถตัวเอง ถ้าไม่ผ่านก็กลับไปเรียนป.โทที่เมกาให้จบซะ
เรา : ชิ๊!! สอบก็สอบ ถึงไงพวกกรรมการเห็นนามสกุลก็ต้องยอมให้บิวตี้ผ่านง่ายๆ อยู่แล้ว//เรายืนกอดอกด้วยความมั่นใจ ม๊าลุกขึ้นยืน มองหน้าเราด้วยสายตาจริงจัง
ม๊า : คิดว่ากูโง่ ยอมให้พวกกรรมการเห็นนามสกุลมึงเหรอ ในการเข้าสอบมึงไปใช้นามสกุลของฝั่งทวดมึงเลย//ม๊าพูดมึงกูกับเรา แสดงว่าโกรธมาก ม๊าพูดจบแสยะยิ้มมุมปากออกมาอย่างผู้ชนะ
เรา : ชิ๊!! ไม่ใช้เส้นก็ได้ ก็แค่เรื่องสอบเข้า แค่เปลี่ยนนามสกุลง่ายจะตาย บิวตี้ทำได้อยู่แล้ว//เรากดเสียงต่ำ จ้องตากับม๊าด้วยความจริงจัง ตาจ้องตาอย่างไม่มีใครยอมแพ้ เหมือนจะมีแสงสีฟ้าจากตาออกมาปะทะกันเลยทีเดียว
ม๊า : ก็ดี อยากจะรู้เหมือนกัน ว่าจะเก่งแต่ปากหรือเปล่า//ม๊าสะบัดหน้าหันไปทางอื่น
เรา : ชิ๊!! ขอตัวไปอ่านหนังสือเตรียมสอบก่อนนะคะ//เราสะบัดหน้า แล้วเดินออกมาจากห้องทันที ป๊ายืนรออยู่หน้าห้อง
ป๊า : ม๊าทำไปเพราะหวังดีนะบิวตี้//ป๊าเอามือจับหัวเราโยกเบาๆ ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่ป๊าชอบปลอบเราแบบนี้ หมับ!! เราจับมือป๊ามากุมไว้
เรา : ต่อให้จะสอบหรือทำอะไร บิวตี้ต้องผ่านแน่นอนค่ะป๊า//เราทำหน้าจริงจัง ป๊าส่งยิ้มมาให้ โอ๊ย~รอยยิ้มของป๊าเท่เป็นบ้า เมื่อก่อนใจดีกับเรายังไง ตอนนี้ก็ยังใจดีกับเราเหมือนเดิม ผิดจากม๊าที่พอเรายิ่งโตขึ้น ม๊ากลับเข้มงวดกับเรามากขึ้น เช่นเรื่องนี้ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ลูกตัวเองแท้ๆ กลับไม่ยอมใช้เส้น ชิ๊!!
ป๊า : นิสัยเหมือนกันจริงๆ แม่ลูกคู่นี้ ไม่ยอมแพ้อะไรเลย สู้ๆ ล่ะ
เรา : ค่ะป๊า//เราปล่อยมือป๊า แล้วเดินกลับเข้าห้องนอน
เรารู้หรอกว่าที่ม๊าทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดีกับรพ.แต่แค่เรื่องเล็กน้อยก็น่าจะมีข้อยกเว้นบ้างซิ แตาถ้าม๊ายืนยันหนักแน่นแบบนั้นแล้ว เราจะทำอะไรได้ นอกจากสอบเข้าไปจริงๆ นี่เราต้องมานั่งอ่านทฤษฎีน่าเบื่อพวกนี้อีกเหรอ เฮ้อ~ชีวิต
เช้าต่อมา เราตื่นแต่เช้า เดินลงไปที่โต๊ะอาหารด้วยความหิว ม๊ากับป๊านั่งกินกาแฟอยู่ที่โต๊ะอาหาร ป๊านั่งหัวโต๊ะ ม๊านั่งอยู่ด้านซ้ายมือป๊า เราเดินไปนั่งตรงข้ามกับม๊า
เรา : สกายล่ะคะป๊า//เราหันไปถามป๊า
ป๊า : ไปโรงเรียนแล้ว วันนี้มีกิจกรรมอะไรนี่แหละ//ป๊าตอบเรา แต่สายตามองเอกสารในมือ
เรา : ป๊าอ่านอะไร//เราขยับตัวไปใกล้ๆ ดูเอกสารที่ป๊ากำลังอ่านอยู่ เป็นประวัติการรักษาของคนไข้โรคหัวใจนั่นเอง เราอ่านได้4-5บรรทัด
เรา : caseนี้ทำบอลลูนที่เส้นleft coronary artery (หลอดเลือดแดงด้านซ้าย) แล้วแปลกตรงไหนหรอคะ//เราถามป๊าด้วยความสนใจ
ป๊า : การผ่าตัดก็เรียบร้อยดี ผ่านมา2วันแล้วคนไข้ยังนอนหลับไม่ได้สติล่ะซิ ป๊าเลยต้องมาดูประวัติคนไข้ใหม่
เรา : คนไข้หลับลึกหรือมีอาการอย่างอื่นด้วยหรือเปล่าคะ
ป๊า : ตอนผ่าตัดเสร็จ วิสัญญีบอกอาการปกติทั่วไปไม่มีความผิดปกติของการเต้นหัวใจใดๆ
เรา : ป๊าๆ คนใช้แพ้สารตัวเคลือบบนเครื่องมือทำบอลลูนหรือเปล่า เพราะที่เมกาก็เคยมีcaseแบบนี้ด้วย อาการเหมือนหลับไม่ได้สติ
ป๊า : จริงเหรอ คงต้องให้คนไข้ตรวจเลือดดูแล้วล่ะ เก่งจริงๆ ลูกป๊า ทำไมไม่เปลี่ยนมาเป็นหมอหัวใจน๊า//เราเหลือบหันไปมองหน้าม๊า แล้วหันกลับไปหาป๊า
เรา : ไม่เอาหรอก บิวตี้อยากเป็นหมอด้านสมองไว้รักษาม๊าหนิคะ
ม๊า : แฮ่ม!! //ม๊าแกล้งกระแอมขึ้น พวกเราหันไปมอง ม๊าหยิบแก้วกาแฟขึ้นดื่ม ป๊าสะกิดเราเบาๆ เราหันไปมองป๊าที่นั่งอมยิ้ม
ป๊า : วันนี้ลูกจะไปไหนหรือเปล่า
เรา : ว่าจะไปบ้านอาก๊งหน่อยค่ะ คิดถึงจะแย่
ป๊า : ให้ม๊าขับรถไปให้ซิ
ม๊า : นี่!! ฉันเป็นถึงระดับผู้บริหาร จะให้ไปเป็นคนขับรถได้ไง//ม๊าพูดขึ้นเสียงดัง สะบัดหน้าไปทางอื่น
เรา : ม๊าไม่ไปดีแล้วค่ะ เพราะบิวตี้จะไปพูดกับอาก๊งเรื่องใช้เส้นให้บิวตี้เข้าไปเป็นหมอ รับรองอาก๊งไม่ปฏิเสธแน่//เราแกล้งพูด เหลือบหน้ามองม๊า ควับ!! ม๊าหันกลับมาทางเราทันที
ม๊า : เออๆ วันนี้ฉันว่าง จะยอมลดตัวไปขับรถให้ก็ได้//ม๊ายังโกรธเราอยู่ แต่ก็ยังฝืนใจขับรถให้ จากนั้นม๊าขับรถออกมา เรานั่งข้างๆ คนขับ ระหว่างในรถ
เรา : บิวตี้ขอโทษเรื่องเมื่อวานนะคะ//ฉันหันไปมองหน้าม๊า แต่ม๊ากลับขับรถมองทางข้างหน้า ไม่หันมามองเราสักนิด
เรา : หนูรู้ว่าม๊าทำไป เพราะห่วงทั้งหนูและรพ. หนูยอมรับค่ะว่าตอนแรกดีใจเพราะคิดว่าเรียนจบปุปม๊าจะให้บิวตี้เข้าไปเป็นหมอที่รพ.ทันที แต่พอได้ยินม๊าปฏิเสธแบบนั้นก็เลยโกรธและเสียใจ หนูผิดเองม๊าอย่าโกรธหนูเลยนะ//เราทำเสียงอ้อน จับแขนม๊าเขย่าเบาๆ ม๊าเหลือบมามอง แล้วหันกลับไปมองทางต่อ
ม๊า : กว่าม๊าจะเป็นหมอรู้ไหมว่าเหนื่อยยากลำบากขนาดไหน ม๊าต้องดิ้นรน ทั้งเรียนทั้งทำงานกว่าจะเป็นหมอได้ ต้องแข่งขันกับคนมากมาย ลูกอยู่กับม๊ามาตลอด ลูกก็เห็นหนิ
เรา : หนูจำได้ค่ะ//เรานึกย้อนไปตอนเด็ก เราอยู่กับม๊าแึ่2คนที่เมกา ม๊าเหนื่อยมากแต่ไม่เคยบ่นสักคำ ได้นอนแค่วันละไม่กี่ชม.เอง เราเลยต้องอยู่คนเดียว ทำอะไรเอง และยังตื่นมาเตรียมอาหารเช้าให้ม๊าอย่างง่ายๆ ด้วย ตอนนั้นเหนื่อยจริงๆ เราเหงาแต่ก็ต้องอดทนไว้ จะเอาแต่ใจกับม๊าที่ทำงานเหนื่อยมาไม่ได้
ม๊า : การแข่งขันไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป แต่เป็นการแอคทีฟตัวเองให้พัฒนาฝีมือเก่งขึ้นเรื่อยๆ อึกอย่างการแข่งขันมีทั้งแพ้และชนะ มันจะสอนให้เราเข้มแข็งไปในตัว ถ้าลูกชนะด้วยตัวเองคิดดูซิว่าจะภาคภูมิใจขนาดไหน แต่ถ้าลูกแพ้ก็แค่ยอมรับความจริง กลับมาตั้งหลักใหม่ แล้วค่อยสู้อีกครั้งก็แค่นั้น แค่อย่าลืมว่ายังมีครอบครัวค่อยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง ทุกคนเป็นห่วงลูก//คำพูดของม๊ามันซึ้งจริงๆ ม๊าหวังดีและต้องการจะสอนเรา ทำให้เราเข้าใจม๊ามากขึ้น เราถึงกลับน้ำตาไหล
เรา : เข้าใจแล้วค่ะ บิวตี้จะสอบแข่งกับคนอื่นค่ะ จะพิสูจน์ความสามารถของตัวเอง//เราเช็ดน้ำตาตัวเอง
ม๊า : ดีแล้วลูกรัก//ม๊าเอื้อมมือมาโยกหัวเราเบาๆ ตาก็ยังมองทางข้างหน้าต่อ เราซบที่ไหล่ม๊า ขออ้อนหน่อย ม๊าขับมาถึงหน้าบ้านของอาก๊ง มีรถเก๋งคันสีดำขับสวนออกมาจากหน้าบ้านพอดี
เรา : สงสัยอาก๊งจะมีแขกแต่เช้า//เราพูดขึ้น ม๊าขับเข้ามาจอดในบ้าน เราลงจากรถทันที บ้านหลังใหญ่อย่างกับคฤหาสน์ เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี รีบเดินตรงเข้าไปในบ้าน เจออาม๊าทีน่ากับอาก๊งโชกุนนั่งอยู่ที่โซฟาตัวยาว ไม่เจอกันหลายปีทั้ง2คนมีผมยาวทั้งหัว มีรอยย่นรอยตีนกาเห็นได้ชัด เรายืนนิ่งมองทั้ง2คนสลับกัน เราน้ำตาคลอแทบจะร้องไห้
อาก๊งโชกุน : มึงเป็นใครมาบ้านกูทำไม//อาก๊งทำเสียงดุมองเราหัวจรดเท้า
อาม๊าทีน่า : เมียน้อยใครวะ ดูแต่งหน้าทำผมเข้าซิ//อาม๊ามองเราด้วยสายตาเหยียด ถ้ายังไม่รีบแสดงตัวออกไป ทั้ง2คนต้องด่าเราเสียหายแน่
เรา : บิวตี้เองค่ะ//เราพูดออกไปเบาๆ ทั้ง2คนทำตาโต ทำหน้าตกใจ
อาม๊า : อ่ะๆ บิวตี้หรอ กลับมาแล้วเหรอ มาหาอาม๊าหน่อยเร็ว//อาม๊ายื่นแขนทั้ง2ออกมา เรารีบวิ่งไปแทรกตรงกลางระหว่างอาก๊งกับอาม๊า แล้วกอดอาม๊าทันที น้ำตาไหลออกมา
เรา : ฮือ~อาม๊า คิดถึงจัง//อาม๊าเองก็สะอื้นร้องไห้ กอดเราแน่นขึ้น อีกมือก็ลูบหัวเราด้วย
อาก๊ง : ไหนๆ ดูซิ จบหมอมาแล้วล่ะซิ//อาก๊งพูดขึ้น อาม๊าผละกอดออก เราหันไปกอดอาก๊งทันที อาก๊งกอดตอบเบาๆ ม๊าเดินเข้ามาพอดี นั่งลงเก้าอี้ด้านข้างอาก๊ง
เรา : จบแค่ป.ตรีเองค่ะ ยังไม่จบโท//เราพูดจบ อาก๊งผละกอดออก
อาก๊ง : อะไรกูว่าไปเรียนนานแล้วนะ จบแค่ป.ตรีเองเหรอ
เรา : 7ปีก็แค่จบป.ตรีไงอาก๊ง นี่กะจะมาสอบทำงานที่รพ.ของอาก๊งนั่นแหละ
อาก๊ง : จะสอบทำไม เข้าไปทำงานเลยซิ//อาก๊งมองด้วยหางตาไปทางม๊า
เรา : สอบอ่ะดีแล้วค่ะ//เราหันไปมองหน้าม๊า
อาก๊ง : เออๆ กูเชื่อว่าหลานกูเก่งอยู่แล้ว//อาก๊งลูบหัวเราเบาๆ
อาม๊า : น่าเสียดาย เมื่อกี้ไอ้ไทเกอร์พึ่งจะกลับออกไปเอง เจอมันหรือเปล่าล่ะ//ชื่อของเฮียที่ไม่ได้ยินมานาน ทำให้หัวใจเราเต้นแรง รถคันเมื่อกี้ที่ขับสวนออกไปคงเป็นของเฮียซินะ
ม๊า : มันมาทำไมล่ะป๊าม๊า//ม๊าพูดถามขึ้น
อาก๊ง : มันก็มาถามอาการเมียมันนั่นแหละ//เฮียก็ยังรักเมียเหมือนเดิมซินะ เราได้แต่นั่งฟังการสนทนา ไม่พูดอะไรออกไป คิดมาตลอดว่าทำใจได้แล้ว แต่พอมาได้ยินแบบนี้ ทำไมยังรู้สึกเศร้าอยู่อีกนะ
ม๊า : เมียมันอยู่รพ.แต่กลับมาถามอาการจากป๊าเนี่ยนะ//ม๊าถามอาก๊ง ควับ!! เราหันไปมองหน้าม๊า
เรา : อยู่รพ.เหรอคะ//เราถามด้วยความสงสัย
ม๊า : อ๋อ!! บิวตี้อยู่ต่างประเทศเลยไม่รู้ล่ะสิ เมื่อ3ปีก่อนเมียไอ้ไทเกอร์ป่วยทางสมองจนต้องผ่าตัดใหญ่ ตอนนี้ก็ยังนอนรพ.ของเราตลอดเพื่อรักษาตัว ไม่ได้กลับบ้านหรอก//เราอึ้งไปเลย เพราะไม่คิดว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย ตอนนั้นรู้แค่ว่าเมียเฮียไม่ค่อยสบาย ไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้
อาม๊า : ติดต่อกับไอ้ไทเกอร์บ้างเปล่า//อาม๊าหันมาถามเรา
เรา : ไม่ได้ติดต่อกันเลย10ปีแล้วมั้งคะ
อาม๊า : เฮ้อ~เป็นพี่น้องกันก็คุยกับมันบ้าง หน้ามันนิ่งแต่สายตามันเศร้า น่าสงสารไอ้ไทเกอร์มันแหละ มันคงรักเมียมาก//อาม๊าพูดด้วยเสียงเบา
ม๊า : จะสงสารมันทำไม เมื่อก่อนร้ายยังไง ตอนนี้ร้ายยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ//ม๊าพูดเหมือนไม่ชอบเฮียไทเกอร์ เมื่อก่อนออกจะสนิทกัน ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
อาก๊ง : เออๆ มันเป็นมาเฟียก็ต้องร้ายเป็นธรรมดา
ม๊า : ป๊าก็ต้องเข้าข้างมันอยู่แล้ว ก็เป็นมาเฟียเหมือนกันหนิ//ม๊าพูดเหมือนโกรธอาก๊ง ถ้าปล่อยไว้แบบนี้มีเถียงกันยาว
เรา : นานๆ บิวตี้จะกลับมา ไม่มีใครสนใจบิวตี้เลยเหรอคะ//เราพูดแทรกขึ้น ทั้ง3คนหันมามองหน้าเรา
อาม๊า : ทำไมจะไม่สนใจล่ะ ว่าแต่ผมสีทองเข้ากับผิวขาวๆ ของหลานนะเนี่ย//อาม๊าจับผมเรา
เรา : บิวตี้ชอบเพราะมีอาม๊าเป็นไอดอลเลยนะคะ ผมสีดำแบบนั้นเชยจะตาย//เราส่งยิ้มให้อาม๊า
อาก๊ง : เลือกเรียนหมออะไรล่ะ//อาก๊งถามแทรกขึ้น
เรา : หมอศัลยกรรมทางด้านสมองเหมือนอาก๊งค่ะ
อาก๊ง : จริงเหรอ!! //อาก๊งทำตาโต อมยิ้ม
เรา : จริงซิค่ะ ถึงจะยากไปหน่อย แต่บิวตี้ว่าท้าทายดี//หมับ!! อาก๊งดึงตัวเราไปซบอกทันที
อาก๊ง : กูดีใจจริงๆ ในที่สุดหลานกูก็เลือกทางด้านสมอง ไม่เลือกรักษาหัวใจ กูจะมีคนคุยเรื่องรักษาสมองสักที//น้ำเสียงของอาก๊งตื่นเต้นมาก คงดีใจจริงๆ
อาม๊า : วันนี้ก็อยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันล่ะ//อาม่าพูดแทรกขึ้น แต่อาก๊งไม่สนใจ ผละกอดเราออก
อาก๊ง : ถ้าคนไข้ปวดหัว อาเจียนจะวินิจฉัยยังไง//เอาแล้วไง อาก๊งเริ่มตั้งคำถามเรื่องการรักษาแล้วซิ รู้งี้ไม่บอกเป็นหมอทางด้านสมองก็ดีหรอก
เรา : แค่เป็นอาการเบื้องต้น ต้องถามคนไข้ต่อถึงความผิดปกติว่าเป็นมานานหรือยัง
อาก๊ง : เป็นมา2เดือน ปวดหัวถี่ขึ้น อาเจียนบ่อยครั้ง ปลายประสาทเริ่มชา เป็นจากสาเหตุอะไร
เรา : ยังสรุปไม่ได้ค่ะ อาการที่บอกมาอาจจะเป็นเพราะขาดวิตามินบีก็ได้
อาก๊ง : แล้วถ้าคนไข้บอกว่ากินพวกอาหารเสริมวิตามินบีอยู่ล่ะ
เรา : ต้องถามคนไข้ถึงอาการอย่างอื่นประกอบ//เรากับอาก๊งนั่งคุยกัน โดยไม่สนใจอาม๊ากับม๊าเลย อาก๊งถามเยอะยิ่งกว่าสอบเป็นหมอซะอีก จากนั้นถึงเวลาเที่ยง พวกเรากินข้าวกันเสร็จ ม๊าขับรถกลับมาบ้าน ระหว่างในรถ
เรา : ม๊าค่ะ เรื่องเฮียไทเกอร์ทำไมหรอคะ ท่าทางม๊าดูโกรธเฮีย
ม๊า : เป็นเรื่องครอบครัวของมัน ม๊าไม่อยากพูดถึงอีก ต่อไปบิวตี้ไม่ต้องไปยุ่งกับมันด้วย เข้าใจมั๊ย
เรา : ค่ะ//เราหันไปมองวิวข้างทาง นั่งคิดย้อนไปตอน9ขวบ ม๊าที่ทิ้งเราไว้อยู่กับทวดและน้าเฟียต ตอนนั้นเราเศร้ามาก มีแค่เฮียไทเกอร์มาที่บ้าน เฮียดูท่าทางน่ากลัว แต่ตอนนั้นเฮียกลับใจดีมาก จนพวกเราเริ่มสนิทกัน พอม๊ากลับมา เราย้ายกับมาอยู่กับม๊า เฮียไทเกอร์ก็ยังมาหาเราบ่อย 2อาทิตย์จะมาครั้งนึง แถมยังพาพี่ภีมมาเล่นกับเราด้วย ถึงเฮียจะปากหมา พูดตรงๆ ชอบแกล้งเรา แต่เราก็รู้ว่าเฮียอยากให้เรายิ้มและสนุก เราเริ่มตั้งหน้าตั้งตารอเฮียให้มาหาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พอเฮียไม่มาเรารู้สึกเศร้า จะทำอะไรกลับไม่สนุกสักนิด จนเราอายุ14 ป๊าพาทั้งครอบครัวไปเที่ยวทะเล พักที่บ้านพักตากอากาศ เฮียไทเกอร์พาพี่ภีมมาด้วย ตอนนั้นเราสนุกมาก พวกเราทั้ง3คนเล่นน้ำด้วยกัน พาไปปีนเขา ปั่นจักรยานด้วยกัน เฮียไทเกอร์กับพี่ภีมต่างยิ้มหน้าบานเหมือนกับเด็ก เราจำได้ดี แต่พอหลังกลับจากทะเล เฮียและพี่ภีมไม่มาหาเราอีกเลย หายเงียบไปเหมือนไม่มีตัวตน ไม่ติดต่อหรือบอกอะไรเราสักคำ เราแอบสงสัยว่าเราทำอะไรให้เฮียไทเกอร์โกรธหรือเบื่อเข้าแล้วล่ะมั้ง เฮียเลยไม่มาหาเราอีก เราได้แต่นั่งคิดถึงเฮีย จับโน้นจับนี่ก็เห็นเป็นหน้าเฮีย จึงเข้าใจว่าคงเป็นความรักซินะ ไม่ใช่รักแบบพี่น้อง แต่เป็นรักแบบหญิงชาย มารู้ตัวอีกที ความรักนี้เป็นเรื่องต้องห้าม ตัวเองอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม ความรู้สึกนี้คงต้องเก็บไว้ในใจเพราะเราคือพี่น้องกัน ถึงไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่คำว่าพี่น้องก็ค้ำคออยู่ คิดอีกแง่เราพึ่งอายุแค่14เอง หรือจะเป็นแค่การปลื้มผู้ชายก็ได้ เวลาผ่านไปความรู้สึกที่คิดถึงเฮียไทเกอร์ก็ค่อยๆ หายไป เราทำใจได้แล้ว มุ่งเรื่องเรียนอย่างเดียวดีกว่า