บทนำ
บทนำ
สายลมต้นฤดูฝนพัดพาเอากลิ่นดินผสมกลิ่นหญ้าอ่อนหลังฝนหยุดตกในยามดวงตะวันใกล้ลาลับเหลี่ยมเขาขึ้นมาให้สตรีครรภ์โตใกล้คลอดบนเก้าอี้โยกหน้าเรือนหลังน้อยในอาณาเขตอันยิ่งใหญ่ไพศาลของจวน ‘เยี่ยเฉิงโหว’ อู๋ 'อู๋หลิงเซียว'ได้สูดดม จนนางผ่อนคลายจากอารมณ์เบื่อหน่ายลงไปได้หลายส่วนเลยทีเดียว
นามของสตรีครรภ์โตผู้นี้คือ ‘เซี่ยผิงหลัว’ ผู้เป็นท่านหญิงห้าในชินอ๋อง ‘เซี่ยหลุนเปียว’ หรือตามยศศักดิ์ในราชวงศ์คือ 'จิ้งหรานเสียนจู่' ในวัยสิบแปดหนาว หรือแท้จริงแล้วนางคือดวงจิตของ ‘เพียงอรุณ จิรัตน์จุฑา’ เด็กสาวจากยุค 2023 ที่ตายลงเพราะโรคหัวใจกำเริบจากการถูกมารดาเลี้ยงสลับตัวยา เพราะคิดกำจัดเด็กสาวให้พ้นทาง หวังฮุบสมบัติหลังบิดาเพิ่งเสียไปได้ราวหกเดือน ทั้งที่ในขณะนั้นเพียงอรุณเพิ่งมีอายุได้เพียงสิบเก้าปีเท่านั้น
ทว่ามิอาจทราบได้ว่าเป็นด้วยเหตุอันใดแทนที่ดวงวิญญาณของเพียงอรุณจะได้ขึ้นสวรรค์ หรือไปชดใช้กรรมในนรกแต่ดันจับพลัดจับผลูพุ่งเข้ามาอยู่แทนที่ดวงจิตแท้จริงของท่านหญิงห้าเซี่ยผิงหลัวในวันที่ดื่มยาปลุกกำหนัดเกินขนาดจนถึงแก่ความตายพร้อมกันกับเพียงอรุณได้ก็สุดจะรู้แจ้ง
‘ช่างเป็นการตายได้อัปยศอดสูที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอจริงๆ’ คิดถึงสาเหตุการตายของผู้เป็นเจ้าของร่างนี้กี่ครั้งนางก็มีแต่ปวดใจ และยิ่งปวดใจกว่า เพราะเซี่ยผิงหลัวนั้นนอกจากดื่มยาปลุกกำหนัดจนตายแล้ว ก่อนหน้านั้นนางยังมอมสุราผสมยาปลุกกำหนัดพี่สาวแท้ๆ ของตนเองไปให้บุรุษข่มเหง เพราะในใจของท่านหญิงห้าคนงามต้องการช่วงชิงคู่หมั้นของท่านหญิงสาม ‘เซี่ยหมิงหลัน’ ผู้เป็นพี่สาวแท้ๆ คลานตามก้นกันออกมาให้ได้นั่นเอง
หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วทราบความจริง เพียงอรุณนั้นอยากจะหัวเราะก็หัวเราะไม่ออก คิดอยากร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตา มีเพียงต้องก้มหน้ารับผลกรรมที่ตนมิได้ก่อขึ้นมาอย่างสิ้นไร้หนทางแก้ไข เพราะนับจากความจริงเปิดเผย นางในร่างของท่านหญิงห้าก็ถูกพระบิดาลงโทษ ถูกผู้เป็นพี่สาวแท้ๆชิงชัง แม้แต่ผู้เป็นพระมารดาก็ยังตัดขาดไม่นับนางเป็นบุตรสาวอีกต่อไป
หากแต่คล้ายสวรรค์จะยังรังแกนางมิสาแก่ใจ อีกสามเดือนต่อมานับจากนางฟื้นขึ้นมาบนเตียงกับอู๋หลิงเซียวด้วยสภาพส่วนเร้นลับของสตรีบอบช้ำอย่างหนักกลับพบว่านางเกิดตั้งครรภ์ขึ้นมา จึงจำเป็นต้องแต่งงานกับบุรุษที่ชิงชังกันจนหน้าก็ไม่อยากมองหน้าด้วยอาการทั้งมึนและงง กว่าจะตั้งสติได้ก็พบว่าตนเองกลายเป็น ‘เยี่ยเฉิงโหวฮูหยิน’ ฮูหยินแสนชังของอู๋หลิงเซียวไปเสียแล้ว
นับจากเหตุการณ์เลวร้ายในวันนั้นนี่ก็ผ่านมาร่วมเจ็ดเดือนได้แล้ว นางใกล้คลอดเต็มทน แต่บิดาของเจ้าก้อนแป้งน้อย แม้เพียงครึ่งคำเขาก็ไม่เคยจะสอบถามถึงเจ้าตัวน้อยในครรภ์ หรือพูดคุยกับนางดี ๆ เลย แต่นางก็เข้าใจได้ เพราะอดีตเขารักใคร่ชอบพอหมั้นหมายกับท่านหญิงสาม ‘เซี่ยหมิงหลัน’ ผู้เป็นพี่สาวแท้ๆ ของร่างกายนี้แล้วโดยแท้ แต่กลับถูกเซี่ยผิงหลัวในอดีตใช้วิธีโสมมทำลายวาสนาของพวกเขาลงไม่เหลือชิ้นดีเช่นทุกวันนี้ จะชิงชังนางอย่างถึงแก่นย่อมไม่แปลก หากเขาดีต่อนางนั่นจึงเรียกว่าแปลกมากกว่า
ซึ่งนางเองก็มิได้ใส่ใจบุรุษผู้เป็นบิดาของเจ้าก้อนแป้งน้อยทั้งสองอยู่แล้ว ไม่ว่าอู๋หลิงเซียวจะสนใจกันหรือไม่ นางก็หาได้เดือดเนื้อร้อนใจอันใดอยู่แล้ว นั่นก็เพราะนางมัวแต่พยายามปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนในยุคคล้ายจีนโบราณเช่นอาณาจักร ‘ซีฉู่’ แห่งนี้ให้จงได้ แต่มันช่างไม่ง่ายเอาเสียเลย เมื่อนางมีครรภ์ที่ขยายใหญ่ขึ้นทุกวัน นางที่อดีตเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบเก้าที่มีร่างกายอ่อนแอ เพราะเป็นโรคหัวใจมาตั้งแต่กำเนิด จึงยากจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้โดยง่าย ไหนจะยังมีเหล่าสตรีบำเรอของสามีที่คอยจะหาโอกาสมาก่อความวุ่นวายให้อีก ชีวิตในแต่ละวันของนางก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ
‘ชีวิตใหม่นี้ช่างไม่มีอันใดง่ายสักสิ่ง!’
นางยังคงนั่งทอดสายตามองทุ่งนาข้าวเขียวขจีในช่วงตะวันชิงพลบที่เป็นของผู้เป็นสามี ซึ่งหลังจากนางและเขาแต่งงานกันแล้ว ผู้เป็นฮ่องเต้ที่เป็น ‘เสด็จอา’ ของร่างกายนี้ก็พระราชทานยศและบรรดาศักดิ์ให้แก่อู๋หลิงเซียวจากแม่ทัพบูรพามาเป็น ‘เยี่ยเฉิงโหว’ พร้อมจวนและที่ดินกว่าสองพันหมู่ แต่ช่างน่าขันที่นางซึ่งเป็นฮูหยินตราตั้งอันดับหนึ่งในสี่เฉิงกลับถูกสามีขับไล่ไสส่งมาอยู่เสียไกลถึงเรือนหลังน้อยซึ่งเพิ่งปลูกสร้างเอาไว้ท้ายจวนโหวเช่นนี้เพื่อนางโดยเฉพาะเสียได้ แต่จะเอาอันใดกับผู้ที่เป็นเพียง ‘ฮูหยินแสนชัง’ กันเล่า
‘นางสมควรต้องซาบซึ้งใจกับความเมตตานี้ของสามีเอาไว้ให้มากสินะหึ!’
ซึ่งตลอดหกเดือนเศษมานี้หนึ่งคำเขาไม่เคยพูดคุยกับนางด้วยดี ถึงแม้จะมีพบหน้ากันบ้าง เพราะทุกเช้านางต้องไปร่วมมื้อเช้ากับเขาที่เรือนใหญ่ แต่อู๋หลิงเซียวก็มีเพียงความเฉยชาและมึนตึงส่งมอบมาให้กันเสมอ หากไม่จำเป็นเขาจะไม่เปิดปากคุยกับนาง หรือหากหลีกไม่ได้ก็จะพูดจาจิกข่วนนางเก่งเสียยิ่งกว่าไก่ ซึ่งนั่นก็คงเพราะเซี่ยผิงหลัวได้กระทำเรื่องร้ายกาจและไร้ยางอายถึงขนาดวางยาปลุกกำหนัด และแอบปีนเตียงคู่หมั้นคู่หมายของพี่สาวตนเองเช่นเขาไม่พอ กลับล่อลวงเซี่ยหมิงหลันไปให้บุรุษอื่นข่มเหงอีกด้วย เขาไม่สังหารนางให้ตายนับจากวันนั้นก็นับว่าบุญโขแล้ว
"โอ๊ย!!!”
แต่ผ่อนคลายได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ท้องที่ขยายใหญ่จนตัวของนางเองยังหวาดหวั่นทุกคราเมื่อได้เห็นก็เกิดอาการแข็งเกร็ง เจ็บจนนางน้ำตาซึมออกมาทางหางตาทั้งสองข้าง พลันนั้นนางอยากจะด่าทอไปถึงสตรีโง่งมเจ้าของร่างนี้เสียจริง ที่ทำอะไรไร้สติปัญญาอย่างถึงแก่น สุดท้ายกลับเป็นนางผู้หลงภพข้ามมิติมาที่ต้องมารับเคราะห์กรรมนี้ทดแทน
‘บุตรนี้ข้าหาได้ช่วยทำขึ้นมา แต่ต้องทนอุ้มท้องไม่พอ ยังต้องมาเจ็บครรภ์คลอดแทนอีก ระหว่างข้ากับเซี่ยผิงหลัวนี้มีบุญคุณความแค้นกันมาหรือไรจึงต้องมาออกหน้ารับความผิดและทนทุกข์แทนอยู่ร่ำไปเช่นนี้!’
แต่คิดอีกทีก็ช่างน่าแปลกยิ่งนัก เพียงแค่หนึ่งคืนระหว่างเซี่ยผิงหลัวกับอู๋หลิงเซียวนี้กลับได้ก้อนแป้งมาถึงสองก้อนนางให้นับถืออู๋หลิงเซียวเหลือเกิน ก็มันต้องมีน้ำยาดีเพียงใดกันเล่าจึงได้ฝาแฝดมาให้นางต้องลำบากอุ้มท้องและคลอดคูณสองเช่นนี้!
"ท่านหญิงห้าเป็นอันใดไปหรือเจ้าคะ?"
‘ฉู่หรั่นจี’ ผู้เป็นสาวใช้ที่จงรักภักดีขอติดตามนางมาจากตำหนักชินอ๋องได้ยินผู้เป็นนายของตนอุทานพร้อมกับใบหน้าซีดเผือดราวกับไร้โลหิตไปหล่อเลี้ยง นางจึงพุ่งกายเข้ามาเกาะอยู่ข้างเก้าอี้โยกตัวโปรดนับจากเข้ามาอยู่ที่จวนแห่งนี้ด้วยกิริยาแตกตื่น เพราะบัดนี้เข้าสู่เดือนที่สิบจะครบกำหนดคลอดแล้ว แต่เยี่ยเฉิงโหวกลับยังไม่จัดเตรียมหมอตำแยมาอยู่ภายในจวนป้องกันเหตุฉุกเฉิน หากท่านหญิงห้าเกิดเจ็บท้องจะคลอดจริงในยามนี้คงลำบากแล้วเป็นแน่
“ข้า…ข้ารู้สึกว่าท้องแข็งผิดปกติน่ะหรั่นจี”
นางอายุเพียงสิบเก้า และนี่คือครรภ์แรกจึงไม่ทราบว่าอาการเช่นนี้หมายถึงสิ่งใดกันแน่ ในยามแรกนางคิดว่าคงใกล้คลอด อาการดังกล่าวคงเรียกว่าเจ็บท้องเตือนเท่านั้น ทว่าว่ายิ่งนานผ่านไปอาการปวดบีบรัดตัวนี้กลับไม่ลดน้อยลงเลยมีเพียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นางจึงคิดว่าชักช้ามิได้แล้ว หมอตำแยอยู่ไกลถึงในเมืองหลวง ใจเย็นคงได้ตายพร้อมกันแม่ลูกเป็นแน่
“เจ้าเร่งไปแจ้งเยี่ยเฉิงโหวว่าข้าเจ็บท้องคาดว่าใกล้จะคลอดแล้ว ให้เขาส่งคนไปรับท่านหมอตำแยโดยด่วน!”
ใบหน้าขาวผ่องราวกับเนื้อหยกบัดนี้ขึ้นสีแดงก่ำ เหงื่อกาฬไหลซึมออกมาทั่วกายอวบอั๋นฉู่หรั่นจีเห็นเช่นนั้นจึงลนลานเร่งไปยังเรือนหลังซึ่งเยี่ยเฉิงโหวพักอาศัยเพื่อแจ้งข่าวเร่งด่วนนี้ทันที
…ก๊อก…ก๊อก…ก๊อก…
“เยี่ยเฉิงโหวเจ้าคะ เป็นหรั่นจีเองเจ้าค่ะ ท่านโหวอยู่หรือไม่เจ้าคะ”
…ครืด…
ประตูถูกเลื่อนเปิดด้วยฝีมือของเกาเฟยหนึ่งในสองของคนสนิทคู่ใจของเยี่ยเฉิงโหวนั่นเองที่ออกมาสอบถามด้วยใบหน้าไม่พึงใจอย่างยิ่ง
“มีสิ่งใด”
“ท่านเกาเฟยช่วยไปแจ้งแก่เยี่ยเฉิงโหวว่าบัดนี้เยี่ยเฉิงโหวฮูหยินเจ็บท้องคาดว่าใกล้จะคลอดแล้วเจ้าค่ะ!”
ฉู่หรั่นจีบัดนี้นางร้อนใจอย่างยิ่งแต่เพราะตนถูกสั่งห้ามเด็ดขาดมิให้เข้ามาวุ่นวายในเรือนหลักแห่งนี้จึงมิอาจบุ่มบ่ามเข้าไปแจ้งเรื่องสำคัญนี้โดยตรงแก่เยี่ยเฉิงโหวไปได้เพราะหวาดกลัวโทษใหญ่จะบังเกิดแล้วคนที่ลำบากจะเป็นท่านหญิงห้าเท่านั้น
“รออยู่ตรงนี้”
เกาเฟยเอ่ยเพียงเท่านั้นก็ปิดประตูเกือบกระแทกโดนหน้าของสาวใช้เช่นฉู่หรั่นจีเสียแล้ว ยังดีว่านางเป็นคนว่องไวจึงหลบได้ทันท่วงทีไม่บาดเจ็บอันใด
“ท่านโหวขอรับ บัดนี้คนของเรือนเล็กมาแจ้งว่าท่านหญิงห้าเจ็บครรภ์คาดว่าใกล้จะคลอดแล้วขอรับ”
เกาเฟยรายงานไม่ขาดตกไปสักครึ่งคำทว่าสิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงความเงียบ บุรุษผู้มีเรือนกายกำยำสูงใหญ่ยังคงนั่งนิ่ง ในมือแกร่งนั้นยังคงตวัดปลายพู่กันเขียนอักษรออกมาอย่างสวยงามสม่ำเสมอฉู่หรั่นจีที่แอบเลื่อนประตูเพื่อแอบสังเกตการณ์ถึงกับกัดเรียวปากจิ้มลิ้มของตนจนได้กลิ่นคาวเลือดเพราะรู้สึกกรุ่นโกรธต่อกิริยาเย็นชาราวกับคนไร้หัวใจของอู๋หลิงเซียวอย่างยิ่ง
ถึงนางทราบดีว่าที่ท่านหญิงห้าทำลงไปนั้นมันผิดมหันต์ยากจะอภัยให้กันโดยง่าย ทว่าผิดก็ส่วนผิดมิได้หรือ บัดนี้คนใกล้คลอดแล้ว เยี่ยเฉิงโหวไยจึงแล้งน้ำใจเช่นนี้ รออยู่ครู่ใหญ่บุรุษใจทมิฬก็ยังนิ่งเฉย สุดท้ายนางก็ตัดสินใจไม่รอเพราะดูแล้วเขาคงไม่สนใจเป็นแน่ว่าท่านหญิงห้าของนางจะเป็นหรือตาย
“ท่านหญิงเจ้าคะท่านยังพอจะลุกไหวหรือไม่เจ้าคะ”
ฉู่หรั่นจีที่เร่งร้อนย้อนกลับมายังเรือนหลังน้อยก็พบว่าเซี่ยผิงหลัวมีสภาพย่ำแย่กว่าเมื่อครู่มากก็ยิ่งใจไม่ดี แต่จะปล่อยให้คนท้องโตใกล้คลอดนอนต่อไปบนเก้าอี้โยกย่อมมิใช่สิ่งดี นางจะต้องพาท่านหญิงห้าไปนอนในห้องเพื่อในยามนางไปรับท่านหมอตำแยในเมืองมาจะได้พร้อมทำคลอดได้เลย
ใบหน้างามถึงจะอวบอิ่มจากการตั้งครรภ์ก็ยังคงความงามเอาได้ไม่ต่างจากอดีตบิดเบี้ยวขึ้นเล็กน้อยเมื่อนางทอดสายตามองไปด้านหลังของสาวใช้คนสนิทแล้วไม่พบผู้ใดตามมาด้วยสักคน
“หมายความว่าเช่นไรหรั่นจี?”
นางถามออกไปแล้วกัดฟันอดทนกับความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาเป็นริ้วอยู่เป็นระยะ แต่ก็ยังไม่ถี่มากจนนางฝืนใจลุกจากเก้าอี้โยกมิได้ เมื่อได้สาวใช้ช่วยพยุงร่างอุ้ยอ้ายก็ขยับลงมายืนบนพื้นเรือนได้ถึงจะไม่มั่นคงเท่าใดนักก็ตาม
“……”
แต่คำถามนี้สาวใช้เช่นฉู่หรั่นจีกลับมีเพียงความเงียบเป็นคำตอบ เท่านั้นเซี่ยผิงหลัวก็พอจะคาดเดาคำตอบได้เสียแล้วว่าบังเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง นางสูดลมหายใจเข้าจนสุดแล้วปล่อยออกมาเพื่อเรียกกำลังให้ตนเองสามารถเดินกลับเข้าไปภายในเรือนให้จงได้ บัดนี้นางซาบซึ้งแล้วว่าตนสมควรพึ่งพาตนเองนั้นถูกต้องที่สุดจะมัวเอาชีวิตของตนเองไปผูกติดเอาไว้กับบุรุษผู้เป็นสามีมิได้แล้วที่จริงนางไม่ควรคิดพึ่งพาเขาตั้งแต่แรกจึงจะถูก
“ท่านหญิงอดทนหน่อยนะเจ้าคะ หรั่นจีจะเร่งเข้าเมืองไปรับท่านหมอตำแยมาเดี๋ยวนี้”
น้ำตาของเซี่ยผิงหลัวพลันหลั่งรินออกมาอย่างยากจะหักห้ามใจได้ไหวอีกต่อไป นางทราบดีว่าอู๋หลิงเซียวชิงชังกัน ทว่ามิคาดแม้แต่ลูก เขาก็มิต้องการเช่นนี้ยิ่งคิดน้ำตาก็ยิ่งไหลพรากหากแต่น้ำตาเหล่านี้หาใช่หลั่งออกมาจากความเจ็บปวดทางร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่ที่หยาดรินออกมานี้มันออกมาจากความน้อยต่ำใจในโชคชะตาที่ตนเองต้องมาตกอยู่ในสภาพน่าสมเพชเช่นนี้เขาชิงชังนางเซี่ยผิงหลัวไม่ถือโทษ แต่ขนาดลูกของเขาที่อยู่ในท้องของนางก็ไม่คิดจะเหลียวแลกันมันเกินไปแล้วจริงๆ
“ไปเถอะข้าจะอดทนรอ”
ถึงระยะทางจากจวนเยี่ยเฉิงโหวและในเมืองที่มีหมอตำแยอยู่จะไม่ไกล อาจต้องใช้เวลาทั้งไปและกลับนานราวสองชั่วยาม แต่นางคิดว่าตนเองคงยังไม่คลอดออกมาก่อนเป็นแน่เพราะนี่คือท้องสาว แล้วยังเป็นครรภ์ฝาแฝดอีกด้วยจึงเสี่ยงให้สาวใช้ไปรับหมอตำแย่ส่วนนางจะรอเพียงลำพังเอง
“เจ้าค่ะ”
ฉู่หรั่นจีรับคำแล้วเร่งฝีเท้าจากไปทันที บัดนี้เซี่ยผิงหลัวทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัว ยิ่งหันมองรอบกายมีเพียงนางผู้เดียวน้ำตาที่ข่มเอาไว้ก็พลันหลั่งรินออกมาราวกับเขื่อนแตกอีกครั้ง นางอายุเพียงสิบเก้าเท่านั้นแต่ต้องมาอุ้มท้องฝาแฝดแต่ต่อให้นางยากจะทำใจยอมรับกับการตั้งครรภ์นี้หากแต่นานวันเข้านางยิ่งผูกพันดังนั้นต่อให้ยากลำบากเพียงใดตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่นางจะยุติการตั้งครรภ์เพราะความผิดพลาดนี้เลย
ทว่าบัดนี้นางต้องมานอนเจ็บท้องคลอดเพียงผู้เดียวอีกมันเกินจะรับไม่ไหวแล้วจริงๆ ต่อให้นางไม่เคยรู้สึกอันใดกับอู๋หลิงเซียวเลย หากแต่ในครรภ์ที่นางอุ้มชูอย่างทะนุถนอมนี้ก็คือสายเลือดของเขากึ่งหนึ่งมิใช่หรือไร ไม่รักไม่ห่วงใยนาง เซี่ยผิงหลัวล้วนไม่คิดมาก แต่นี่คือความเป็นความตายของเด็กถึงสองคน ใจต้องอำมหิตเพียงใดจึงไม่มาดูแลหรือให้ความช่วยเหลือเช่นนี้
นับจากตั้งครรภ์นางก็แพ้อย่างหนักแต่อู๋หลิงเซียวแม้แต่ยาบำรุงครรภ์ก็ไม่เคยส่งมาให้อาหารก็มีเพียงมื้อเช้าที่นางกับลูกได้กินของดีจวบจนครบหกเดือนจากที่เคยมีท่านหมอจากในเมืองมาตรวจนางก็ต้องหารถม้าเพื่อไปหาท่านหมอตรวจครรภ์ในเมืองหลวงเอง อดอนและอดทนนางซาบซึ้งอย่างยิ่งกับสองคำนี้แต่จะโทษอู๋หลิงเซียวว่าต่ำทรามนั้นกลับพูดได้ไม่เต็มปากเลยเพราะเซี่ยผิงหลัวในอดีตทำเรื่องร้ายแรงเอาไว้จริงๆ
“พวกเจ้าต้องคลอดออกมาอย่างปลอดภัยนะ”
มืออวบอูมสั่นระริกขณะลูบไล้ไปบนหน้าท้องนูนเป่งคล้ายลูกแตงโมขนาดยักษ์ซึ่งกำลังบีบรัดอย่างรุนแรง หวังส่งผ่านความรักและหวังดีให้ทั้งสองปลอดภัย ตลอดมาเก้าเดือนนางไม่ได้คิดจะไปจากจวนแห่งนี้ ทว่าในวันนี้นางเริ่มคิดขึ้นมาบ้างแล้ว
“หากพวกเจ้าทั้งสองคลอดออกมาอย่างปลอดภัย แม่จะพาพวกเราออกไปจากขุมนรกแห่งนี้ ไร้บิดายังดีกว่ามีบิดาแต่เขาไม่ต้องการเช่นทุกวันนี้”
คนเขาไม่รักไม่ต้องการ นางก็ไม่คิดจะทนอยู่ เพราะนางหาใช่เซี่ยผิงหลัวในอดีต หากแต่นางคือ ‘เพียงอรุณ’ มีหนึ่งสมองกับสองมือ และสองเท้า กับสินเดิมของนางตรวจนับแล้วก็มีมากพอสมควรนางคิดว่าตนเอง และลูกทั้งสองจะอยู่รอดถึงอาจไม่สะดวกสบายเช่นอยู่ในจวนนี้ แต่นางคาดว่าพวกตนคงจะต้องมีความสุขอันแท้จริงได้อย่างแน่นอน
นางพยายามคิดสิ่งที่ดีเพื่อจะได้ไม่จดจ่ออยู่กับอาการปวดท้องซึ่งยิ่งนานก็ยิ่งบีบรัดตัว กัดฟันทนแล้วทนอีกท่องเอาไว้ในใจว่านางจะต้องเข้มแข็ง นางจะต้องคลอดก้อนแป้งน้อยออกมาให้สำเร็จ พวกเขาจะต้องปลอดภัย!