Chapter 2 รักของเราเริ่มต้นที่ตรงนั้น (4)
"ไปนะครับ แล้วก็อย่าอ้อนอย่างอแงกับ..."
คนพูดหยุดค้างเอาไว้พร้อมเหลือบมองสบตาคนที่อุ้มลูกสาวมาส่งถึงโรงรถ...ม่านไหมรู้ดีว่าเขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับกันง่ายๆ ว่าหล่อนคือแม่ของลูก ความน้อยใจถาโถมบาดลึกในห้วงอารมณ์ แววตาซ่อนความเสียใจไม่อาจหลอกเขาได้ ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีแสร้งไม่ใส่ใจ นั่นคือเปลือกนอกแสนแข็งกระด้าง ใช้ห่อหุ้มใจอันแสนอ่อนไหวที่ยากเกินจะทำความเข้าใจกับมัน
"ถ้าจะไม่ต้องลำบากใจ คิดเสียว่าจ้างไหมมาเป็นพี่เลี้ยงแกก็ได้นะคะ บอกน้องไปว่า...ไหมเป็นพี่เลี้ยงเท่านั้นพอ"
เขาไม่พูดอะไร ความสากระคายถูไถลงบนแก้มซาลาเปาแล้วสูดกลิ่นหอมๆ เข้าปอดแรงๆ จนชื่นใจ...ม่านไหมตวัดตามอง เมื่อจมูกของเขาหอมแก้มลูกสาว แต่มือกลับตะปบลงบนบั้นท้ายเต่งตึงแล้วออกแรงบีบเคล้นคลึงราวกับว่าทั้งร่างกายนี้มีเขาเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
"อาเต!"
"ถูกนิดถูกหน่อยทำเป็นออกอาการ หรือเธอกลัวไอ้ปาล์มมันรู้ว่าเราสองคนน่ะ..."
"คนอื่นไหมไม่กลัว แต่คนในบ้านสิน่ากลัวที่สุด ไม่คิดบ้างเหรอคะว่าถ้าสองแม่ลูกนั่นเห็นเข้า ก็คงจะเอาไปพูดจนรู้กันทั้งซอย"
"จริงๆ แล้วเธอกลัวไอ้ปาล์มมันรู้มากกว่า...เธอกลัวว่าถ้าหมอนั่นรู้ ความรู้สึกดีๆ มันคงจะไม่มีเหลือ อย่างนั้นใช่มั้ยที่เธอกลัว"
"ใช่ค่ะ ไหมแคร์ความรู้สึกของเขา เรื่องระหว่างเราขอให้เป็นความลับต่อไป เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่เราจะมารักกัน"
พูดจบก็อุ้มลูกเดินหนีเข้าบ้าน ทิ้งระเบิดไว้ในใจคนที่ยืนหัว
ร้อนอยู่ข้างรถ เสียงเข่นรอดไรฟันดังตามหลัง หล่อนไม่รู้ว่านั่นคือความหึงหวงหรือแค่อยากเอาชนะกันแน่
"จริงๆ แล้วเธอคิดยังไงกับหมอนั่น ไหนลองตอบให้ชื่นใจหน่อยซิ!"
ม่านไหมหยุดเดินแล้วหันกลับมา แววตาที่มองดูอวดดีจับจ้องเจ้าของคำถามเขม็ง วินาทีนี้อยากถามเขากลับบ้าง...ทุกวันนี้รักกันบ้างไหม นั่นคือความอัดอั้นใจมานานวัน ทว่า...เสียงกระซิบสั่งว่าอย่าเรียกร้องอะไรกับผู้ชายที่ไม่เคยมีแม้คำรักให้ได้ยิน ยืนอยู่ในที่ตัวเองแล้วทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุด ความเข้มแข็งเหล่านี้หล่อนนึกแปลกใจ ไม่คิดว่าจะทนมาได้จนลูกสาวของเขาล่วงเข้าสามเดือน
"ไอ้สายตาอวดดีแบบนี้หมายความว่าไง หรือว่าปีกกล้าขาแข็งแล้วก็เลยเริ่มมีปากเสียง ออกอาการพยศทั้งที่เธอไม่เคยเป็น!"
"....."
"ว่าไงล่ะไหม เธอคิดยังไงกับหมอนั่น ถ้ารักกันก็ขอให้บอก จะได้ไปบอกพ่อของมันให้รีบยกขันหมากมาขอเธอ"
"ไหมจะไม่พูดอะไรที่ฆ่าตัวเองหรอกค่ะอาเต ไปทำงานหาเงินไว้เลี้ยงลูกมากกว่ามานั่งสนใจไหมเถอะค่ะ ส่วนไหมก็จะทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้ดีที่สุด...จนกว่า...เขาเติบโตพอที่จะไม่ต้องการไหมอีกต่อไป"
หล่อนทิ้งท้ายแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาตอบโต้อะไรอีก...หมายความว่ายังไงในถ้อยคำนั้น คนหัวร้อนยืนครุ่นคิดท้าวแขนอยู่กับหลังคารถ มองตามแผ่นหลังคนที่เดินห่างไปเรื่อยๆ...ทำไมเขาจึงรู้สึกใจสั่นแปลกๆ กับถ้อยคำกำกวม ถามตัวเองพร้อมกับการเปิดประตูรถเพื่อเข้าไปนั่งข้างใน...เปอร์โยRCZ สีเทาเข้มที่ขัดเคลือบสีจนเงาวับแล่นปราดออกไปจากโรงรถ หน้าที่ความรับผิดชอบที่เขาไม่อาจหลบเลี่ยง ผู้กุมบังเ**ยนบริษัทรับเขียนแบบเครื่องจักรในกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม คือบริษัทที่ก่อร่างสร้างขึ้นมากับมือ เริ่มจากศูนย์จนค่อยๆ เติบโตขึ้นมาได้อย่างมั่นคง
++++++
ภายใต้ร่มเงาหลังคาโรงรถ ภูริชดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตูลงไป ชายหนุ่มเปิดประตูตรงเบาะหลังเพื่อหยิบขนมหลายอย่างที่เขาซื้อมาฝากม่านไหม คบกันมานานจนรู้ใจกันดี หล่อนชอบพวกขนมไทยที่รสชาติหวานมัน วันนี้แวะมาหาเขาจึงถือโอกาสหอบหิ้วมาจนเต็มไม้เต็มมือ
เพียงเหยียบย่างเข้ามาด้านในบ้านก็เจอกับลูกสาวแม่บ้านเป็นด่านแรก ชายหนุ่มคลี่ยิ้มให้ตามมารยาท อีกฝ่ายรู้ทันว่าหลานชายเจ้านายนั้นมาหาใคร ความสัมพันธ์ที่คนภายนอกเห็นนั้นแสนคลุมเครือ แฟนก็ไม่ใช่ คนรู้ใจก็ไม่เชิง เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันแต่ฝ่ายชายนั้นแวะเวียนมาหาถี่เหลือเกิน
ข้างบ้านที่ลมเย็นๆ พัดโชยเอื่อย เสียงคุยกันเบาๆ ดังแว่วเมื่อยามทารกน้อยกำลังหลับสนิท ภูริชยันกายลุกนั่งหลังจากที่เขาช่วยกล่อมหนูน้อยด้วยการตบก้นเบาๆ จนผล็อยหลับ...แววตาสองคู่สบประสาน เมื่อต่างฝ่ายต่างมีเรื่องอัดอั้นที่เก็บงำเอาไว้ในใจ
"คิดจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่...จะอยู่ไปแบบนี้เหรอไหม..."
"ไม่...ไม่ได้คิดถึงอนาคตเลยตอนนี้ คิดอยู่อย่างเดียวคือสงสารน้องม่านมุก ที่ต้อง...ขาดแม่..." เสียงท้ายประโยคนั้นแสนเบาหวิว แม้กระทั่งภูริชเองก็ใจหายไปพร้อมกัน
"ไม่ใช่ว่าสงสารพ่อน้องม่านมุกนะ ไหมก็เลย...เอาอนาคตตัวเองมาจมปลักอยู่กับที่นี่"
"อนาคต...งั้นเหรอ ไหมคิดว่าอนาคตตัวเองมันจบสิ้นไปแล้วล่ะปาล์ม"
คนฟังเหลือบมองใบหน้าที่ไร้ซึ่งความสดใสเช่นวันวาน เขาขยับกายเข้าไปใกล้อีกนิด ถือวิสาสะคว้ามือนุ่มมากุมเอาไว้แล้วบีบเบาๆ เพื่อสร้างกำลังใจ ให้หล่อนได้รู้ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ก็จะเห็นเขาอยู่เคียงข้างเสมอทั้งในยามสุขและทุกข์ทน
"ทำไม...ถึงคิดแบบนั้นล่ะ อนาคตของไหมยังสดใส ถ้าเรา...เราจะร่วมสร้างอนาคตไปด้วยกัน"
หญิงสาวชักมือออกจากการถูกกอบกุม รู้สึกตะขิดตะขวงใจกับการให้ภูริชถูกตัว...ความลับที่เขายังไม่ล่วงรู้ สัมพันธ์รักลึกซึ้งกับคุณอาแท้ๆ ของเขาคือความเจ็บปวดที่แท้จริง เส้นทางรักที่เขาชวนเดินไปด้วยกัน วันนี้หล่อนไม่อาจเดินไปพร้อมๆ เขาได้อีกแล้ว
"ขอโทษนะปาล์มถ้าหากไหมต้องพูดมันออกมา แต่...เราคงไปด้วยกันไม่ได้...เพราะ..."
"เพราะอะไร ทำไมถึงไม่เปิดใจลองคบกันแบบจริงจังเสียที"
ม่านไหมหลุบตามองร่างเล็กที่กำลังนอนหลับตาพริ้มเคลิ้มฝัน ภูริชมองตามสายตานั้น เขาสังเกตได้ถึงแววตาคู่สวยที่สลดลง
"ปาล์มก็เห็น...ไหมมีลูกแล้ว จะรับได้เหรอกับผู้หญิงที่ผ่านการมีลูกมาแล้ว"
"แต่นั่นก็เป็นเพราะวิธีทางการแพทย์...ไม่ได้ไปนอนกับใครมาจนท้องเสียเมื่อไหร่ ไหมกำลังหลอกตัวเองอยู่รู้ตัวมั้ย น้องม่านมุกเป็นลูกของอาเตกับอามุก ไม่ใช่ลูกของไหม ก็แค่...ให้เขาอาศัยร่างกายเพื่อสร้างชีวิตขึ้นมาเท่านั้น เมื่อคลอดออกมาทุกอย่างก็จบ ให้อาเตรับผิดชอบเลี้ยงดูกันต่อไป"
"นั่นแหละปาล์ม มันคือความเจ็บปวดที่คนไม่เผชิญจะไม่มีวันเข้าใจ ความผูกพันและความรักที่เราห้ามมันไม่ได้ ไหมทำใจไม่ได้ถ้าต้องไปจากตรงนี้ ไปโดยไม่มีน้องไปด้วย"
"ไหม..."
ภูริชถึงกับนิ่งอึ้งเมื่อความในใจหลั่งไหลพรั่งพรู...เขาเพิ่งรู้ว่าหล่อนกำลังสร้างสายใยรักจนผูกติด มาถึงวันนี้เขาชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า หล่อนรักชีวิตที่ก่อเกิดในกาย หรือรักคนที่สร้างชีวิตนั้นขึ้นมาแล้วนำมาฝากท้องหล่อนเอาไว้กันแน่
ทว่าหยาดน้ำตาที่คลอขังพร้อมใบหน้าที่แดงเห่อจากการข่มกลั้นความอ่อนแอ ทำให้ความอาทรแทรกซึมเข้ามาในหัวใจแกร่ง...ร่างเล็กถูกรั้งเข้าหา เพียงอ้อมแขนอบอุ่นโอบรั้งปลอบโยน ทำนบน้ำตาจากความอัดอั้นตันใจก็พังทลายลงมา ม่านไหมนั่งสะอื้นอยู่ในวงแขนกว้าง เมื่อนึกไปถึงความจริงที่ไม่กล้าปริปากบอกใคร
'ร้ายจริงๆ นะไหม เธอคิดจะคั่วทั้งอาทั้งหลานเลยหรือไง หึ ถ้าวันนี้บ้านไม่แตกก็ให้มันรู้ไป’
ลดาภาเห็นแล้วกับภาพนั้น...เพื่อเอาไว้สนับสนุนคำพูดตัวภาพถ่ายจึงถูกบันทึกเอาไว้ในโทรศัพท์ หล่อนจะนำไปให้เตชินทร์ดูให้เห็นกับตา ให้เขาได้รู้ว่าลับหลังม่านไหมทำตัวเช่นไร หล่อนก็อยากจะรู้เหมือนกัน ถ้าเขาเห็นภาพนั้นแล้วจะทำเช่นไรต่อไป…