Chapter 5
ทาสหัวใจซาตาน (1)
"เงินก้อนนี้คือน้ำพักน้ำแรงของพ่อแม่ แล้วก็ของพี่ที่เก็บสะสมไว้ตอนทำงานพาร์ทไทม์ ใช้จ่ายอย่างประหยัดนะมาร์ก"
เงินจำนวนห้าหมื่นที่เพิ่งกดออกมาจากตู้เอทีเอ็มถูกยื่นมาตรงหน้าภาสกร น้องชายของม่านไหมที่กำลังศึกษาอยู่ปีหนึ่ง เป็นเงินค่าเทอมและค่ากินค่าอยู่ ซึ่งม่านไหมจะเป็นคนรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการส่งน้องชายเรียนไปจนกว่าจะจบมหาวิทยาลัย เงินที่ทางบ้านส่งมาให้ หล่อนต้องบริหารควบคุมไม่ให้น้องชายใช้จ่ายมือเติบ ซึ่งภาสกรก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เขารู้ว่าทุกคนลำบาก ชายหนุ่มจึงเจียมตัวใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น
"ถ้ามาร์กเรียนจบเมื่อไหร่ มาร์กจะเลี้ยงพี่ไหมแล้วก็พ่อแม่ให้สุขสบาย ไม่ต้องกลัวนะพี่ไหม มาร์กจะใช้เงินก้อนนี้อย่างประหยัดที่สุด...ถ้าได้งานพิเศษทำเมื่อไหร่ ก็คงจะพอช่วยแบ่งเบาภาระไปได้อีกทาง"
"ไม่ต้องกลัวพี่จะอดหรอก เลี้ยงตัวเองให้รอดก็พอ"
ภายใต้รอยยิ้มจางๆ ภาสกรจับได้ถึงความเศร้าในแววตาของพี่สาว...เขานึกไปถึงเรื่องที่พี่สาวอุ้มบุญให้คุณอา ไปอาศัยกินอยู่บ้านคนอื่นนั้นสุขสบายหรือลำบากใจ เขาอยากรู้ความเป็นไปในส่วนนี้ เพราะต่อให้สนิทกันมากแค่ไหน เตชินทร์ก็ได้ชื่อว่าคือคนอื่นอยู่ดี
"ว่าแต่...ไปอยู่บ้านอาเต สบายดีใช่มั้ย"
คำถามแทงใจดำ ทำให้ม่านไหมรีบหลบตา กระอึกกระอักออกมาเพราะนึกไปถึงความจริงที่แสนจะปวดใจ
"อะ เอ่อ...สะ สบายดี ก็เลี้ยงน้องอยู่บ้าน อาเตก็ไปทำงาน พี่ก็...ก็กะว่าถ้าน้องโตพอช่วยเหลือตัวเองได้ ก็คงจะต้องไปหางานทำ"
"จริงๆ ทำไมไม่ลองพูดกับอาเต ให้เขาหาพี่เลี้ยงมาช่วย พี่ไหมจะได้ไปทำงานเสียที"
คนฟังแค่นยิ้มปร่าแปร่ง เรื่องทุกข์ใจหล่อนไม่อยากให้ใครรู้ จึงรีบตัดบทก่อนที่น้ำตาจะรื้นออกมา
"เอาเถอะ เรื่องนี้เอาไว้พี่จัดการเอง หน้าที่ของมาร์กคือเรียนให้จบก็พอ"
ภาสกรนิ่งเงียบไม่ออกความเห็น ชายหนุ่มรู้ดีว่าพี่สาวนั้นรักลูกที่เกิดจากการอุ้มบุญจนไม่ยอมก้าวออกมาจากตรงนั้น ที่พูดก็เพราะไม่อยากให้เอาชีวิตไปทิ้งโดยเสียเวลาไปอย่างไม่ได้อะไร อนาคตของเธอควรจะไปได้ไกลกว่านี้ เรียนมาเพื่อก้าวไปสู่ชีวิตที่ดีกว่าเดิม ไม่ใช่เรียนมาเพื่ออยู่บ้านคอยเป็นคนเลี้ยงลูกให้ใคร
หลังแยกกันกับน้องชาย...ภายในรถแท็กซี่ที่กำลังมุ่งหน้าพาม่านไหมไปส่งจุดหมาย สมุดฝากครรภ์ถูกหยิบขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง หลักฐานยืนยันว่าหล่อนตั้งครรภ์ได้สี่สัปดาห์ เขากำลังสร้างชีวิตและเลือดเนื้ออยู่ในกาย นั่นคือสิ่งที่ทำให้หล่อนตัดสินใจเก็บเอาไว้ ทว่า...เมื่อใจประหวัดไปถึงคนใจร้ายที่พยายามผลักไสให้หล่อนไปไกลตา ซ้ำยังจะพรากดวงใจไปจากอก เพียงเท่านี้ก็รู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในหัวอกจนอยากร้องไห้ ไม่ได้อยากอยู่เพื่อให้เขารับผิดชอบลูกในท้องเลยสักนิด แต่ต้องทำหน้าด้านหน้าทนอยู่เพราะไม่อาจตัดใจจากลูกสาวคนโตได้ หล่อนเชื่อฝังใจ...ตรีประดับคือลูกสาวของตนที่เกิดกับเขา แม้จะไม่ใช่เป็นการได้มาเพราะความสัมพันธ์ทางกายก็ตาม
ภายในห้องนอนของม่านไหม เตชินทร์เดินเข้ามาหาเสื้อผ้าสำหรับเด็ก วันนี้วันหยุดเขาทำหน้าที่เลี้ยงลูกด้วยตัวเอง ส่วนม่านไหมบอกเขาว่ามีธุระกับน้องชายขอออกไปข้างนอกแล้วจะรีบกลับมา...ภายในตู้เสื้อผ้าที่ฝังกลมกลืนอยู่กับผนัง ชายหนุ่มมองหาเสื้อผ้าแบบที่ใส่สบาย หล่อนพับและเรียงกันไว้อย่างเป็นระเบียบส่งกลิ่นหอมฟุ้ง ในจังหวะที่กำลังจะเลื่อนประตูให้ปิดเมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว...ชั้นสำหรับวางของที่อยู่เหนือศีรษะเขาไปไม่มาก อะไรบางอย่างที่วางอยู่บนนั้น มันปะปนอยู่กับข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของเธอ คล้ายมีเรื่องแวบมาสะกิดใจ ชายหนุ่มเอื้อมมือขึ้นไปเพื่อหยิบมาเปิดดู
'นี่เธอ...ยังเก็บเอาไว้อยู่เหรอ’
นั่นคือความคิดที่แวบเข้ามายามจับจ้องมองไปยังแหวนทองคำขาวฝังเพชรเม็ดกำลังเหมาะที่ถูกเก็บอยู่ในกล่อง...หล่อนยังคงเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี เขาลืมไปเสียสนิทเพราะไม่เคยเห็นหล่อนสวมใส่มันเลยตั้งแต่เป็นเจ้าของครอบครองแหวนวงนี้...ของขวัญชิ้นใหญ่ราคาแพง ในตอนนั้น...ไม่รู้มีอะไรดลใจให้เขาเดินเข้าร้านเครื่องประดับ ซื้อมันมาให้คนที่แฟนก็ไม่ใช่ ในตอนนั้นเขายังไม่รู้ใจตัวเองด้วยซ้ำไป ตกลงคิดอย่างไรกับคนที่มีอายุห่างกันครบรอบพอดี...เพียงเท่านั้น เรื่องราวในอดีตก็หวนคืน
"ไหม นอนหรือยัง ทำอะไรอยู่ ออกมาที่หน้าระเบียงสิครับ"
การที่เตชินทร์โทร.มาตอนเกือบเที่ยงคืน ในวันเกิดของตนที่แสนเงียบเหงากำลังจะผ่านพ้นไป หล่อนไม่ได้ฉลองกับใครเนื่องจากคุณอาไปสัมมนาที่ต่างจังหวัดกับบริษัท...ในความงุนงงว่าเขากำลังหลอกอำกันหรือไม่ ม่านไหมยอมเชื่อเดินออกไปข้างนอก เมื่อมองลงไปก็เห็นคนที่โทร.มายืนโบกมืออยู่ข้างล่างท่ามกลางแสงไฟสลัว ในมือของเขาถืออะไรบางอย่างเอาไว้ นั่นทำให้หล่อนถึงกับยืนนิ่งอย่างไม่เชื่อสายตา
"แฮปปี้เบิร์ดเดย์ไหม"
"อาเต...มุทะลุเป็นบ้า"
การที่เขาตะโกนขึ้นมาแบบนั้น หล่อนถึงกับหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเอ่อมาคลอขังรอบขอบตาตั้งแต่ตอนไหน การที่หล่อนเอาแต่ยืนงงทำอะไรไม่ถูก เขาก็ตะโกนเรียกอีกครั้ง
"ลงมาเร็วๆ สิครับ จะเที่ยงคืนแล้ว เดี๋ยวไม่ทันเวลานะ"
เพียงเท่านั้น หล่อนก็วิ่งลงไปข้างล่างโดยไม่ใช้ลิฟท์...ตรงโต๊ะม้านั่งใต้หอพัก เทียนวันเกิดถูกปักลงไปบนนั้นสิบแปดเล่ม ในขณะที่ม่านไหมมีอายุครบสิบเจ็ดปีเต็ม ตามความเชื่อต่อๆ กันมาว่าให้ปักเทียนเกินอายุจริงเพื่อความเป็นมงคล
"ไม่เป็นไรนะไหม ถึงมุกจะไม่อยู่ ปาล์มก็ไปเที่ยวกับเพื่อน เรามาฉลองวันเกิดของเธอกันสองคนก็ได้"
ชายหนุ่มปลอบใจคนที่นั่งทำหน้าเศร้า เขาจุดเทียนไปพร้อมกัน ยามเปลวไฟสว่างไสวบนก้อนเค้ก แววตาสองคู่สบประสานคล้ายต้องการอ่านความรู้สึกนึกคิดใต้ก้นบึ้ง ก่อนที่จะชวนกันร้องเพลงวันเกิดสนุกสนานกันอยู่สองคน เมื่อเพลงจบลง เตชินทร์ก็หยิบเค้กขึ้นมาเขายื่นมาตรงหน้าเจ้าของวันเกิดเพื่อให้หล่อนเป่าเทียน
"จากเด็กกะโปโลในวันนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเราจะรู้จักกันจนผ่านมาถึงแปดปีแล้ว เห็นการเปลี่ยนแปลงของเธอที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ปีนี้ก็โตขึ้นมาอีกปีแล้วนะไหม กับ...ในอีกหนึ่งช่วงวัยของชีวิตในรั้วมหาลัยฯที่กำลังจะมาถึง...อาก็หวังว่าเธอจะเป็นเด็กดีไม่เกเรให้พ่อแม่ต้องเสียใจ แล้วก็...ขอให้ชีวิตของเธอมีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา"
"ไหมดีใจนะคะที่ได้รู้จักกับอาเต...คนที่...คอยช่วยเหลือไหมกับอามุก ในยามที่เดือดร้อนต้องการใครสักคน...แล้ววันนี้ ก็ยังอุตส่าห์ขับรถมาฉลองวันเกิดให้ไหมทั้งที่ดึกมากแล้ว ขอบคุณนะคะ ขอบคุณจริงๆ ไหมจะไม่ลืมในสิ่งที่อาเตทำให้ในวันนี้เลย"
การที่หล่อนทำหน้าคล้ายจะร้องไห้ ชายหนุ่มจึงรีบแทรกขึ้นมา "ไม่ร้องสิครับ รีบเป่าเทียนสิ คนถือร้อนจนมือจะสุกอยู่แล้ว"
เสียงหัวเราะดังประสาน ม่านไหมยื่นหน้าเข้าไปเป่าเทียนจนมันดับหมดทุกเล่ม เตชินทร์วางเค้กลงบนโต๊ะ เขาจัดแจงตัดเค้กด้วยตนเอง มีจานกระดาษแล้วช้อนพลาสติกเตรียมมาพร้อมสรรพ เขาจงใจตักชิ้นที่เลือกตัดให้ม่านไหมโดยเฉพาะ เป็นไวท์ช็อกรูปดอกไม้สวยงาม และบังคับให้หล่อนกินมันจนหมดเพราะนั่นคือส่วนที่อร่อยที่สุด โดยเขาเลือกอีกชิ้นมาเป็นส่วนของตัวเองท่ามกลางความเงียบงันยามดึกสงัดไร้ซึ่งคนเดินเพ่นพ่าน สองคนนั่งทานเค้กด้วยกันภายใต้บรรยากาศแสบอบอุ่น ม่านไหมค่อยๆ ละเลียดทานทีละน้อยไม่รีบเร่ง ชิ้นเค้กที่ถูกตักทานมาถึงตรงกลาง อะไรบางอย่างที่สัมผัสเข้ากับช้อนพลาสติก ทำให้แววตาสงสัยยกจานเค้กขึ้นมาดู
หล่อนเห็นอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในเนื้อเค้ก เมื่อลองหยิบมันออกมาดู...แววตาสื่อถึงความแปลกใจก็เหลือบมองสบตาคนที่นั่งยิ้มรออยู่แล้ว
"อาเต...คืออะไรคะ...ไหมงงไปหมดแล้ว"
"ของขวัญวันเกิดไงครับ"
"แหวนวงนี้...อาเต...ซื้อให้ไหมเหรอคะ"
"อืม...ก็...นึกไม่ออกว่าผู้หญิงชอบอะไร พอดีเดินผ่านร้านเครื่องประดับ ก็เลยลองแวะเข้าไปเดินเล่นเสียเลย"
"แล้วก็ทำแบบไม่เหมือนชาวบ้านอีกแล้ว ถ้าไหมไม่เห็นแล้วกินเข้าไป จะทำยังไงล่ะที่นี้"
"ก็กลัวเธอจะกินเข้าไปแทบแย่ แต่ถ้าขนาดเคี้ยวแล้วไม่เจอ ก็ไม่รู้จะว่าไงล่ะ"
ชายหนุ่มหัวเราะตบท้าย สักพักแววตาของม่านไหมก็สื่อถึงความไม่สบายใจ
"ที่จริงอาเตไม่น่า..."
เสียงต้องสะดุดเมื่อปลายนิ้วแกร่งยื่นมาแตะบนกลีบปากนุ่มเนียน หล่อนหลุบตาหนีแววตาแปลกๆ ที่จับจ้อง ตกลงเขาคิดเช่นไร...นั่นคือคำถามในใจของคนที่แอบรักผู้ชายตรงหน้ามาเนิ่นนาน...รัก...ที่เปลี่ยนจากรักแบบบริสุทธิ์ใจในวัยเด็ก เมื่อโตขึ้น รักนั้นจึงเปลี่ยนเป็นรักในแบบชายหนุ่มหญิงสาว แต่หล่อนจำต้องเก็บงำซ่อนรักนี้เอาไว้ เพียงเพื่อความสุขของคนที่ได้ชื่อว่ามีพระคุณกับตนอย่างเช่นคุณอา
"ลองใส่ดูสิไหมว่าพอดีหรือเปล่า แต่อาคิดว่านิ้วของเธอคงเท่าๆ กับพนักงานขาย"
หลังจากทำความสะอาดเนื้อเค้กออกไป ชายหนุ่มก็คว้ามือนุ่มไปกุมเอาไว้ แหวนทองคำขาวประดับเพชรถูกสวมเข้ามาที่นิ้วนางข้างซ้าย ม่านไหมหลุบตาหลบพร้อมใบหน้าที่ร้อนผ่าว รีบชักมือหนีออกมาจากการถูกกอบกุม
"เอ่อ...ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว อาเตรีบกลับไปนอนเถอะนะคะ กว่าจะขับรถกลับไปถึงบ้านอีก"
ม่านไหมรีบตัดบทเพราะไม่อยากอยู่กับเขานานให้ต้องหวั่นไหวไปมากกว่านี้ ต้องเตือนตัวเองเอาไว้ อย่าคิดอะไรกับเขามากกว่าคนรู้จัก เขาไม่ใช่คนที่สมควรจะรัก เพราะอะไรนั้นหล่อนรู้ดี
"งานเลี้ยงเปิดตัวบริษัทของอา ไหมต้องไปให้ได้นะ ห้ามอ้างว่าติดธุระไม่สะดวก เพราะอาจะจองห้องพักที่โรงแรมไว้ให้ มันคือวันสำคัญ คือความสำเร็จที่อาอยากให้คนพิเศษเท่านั้นไปร่วมแสดงความยินดีด้วยกัน"
"ค่ะ แล้วไหมจะลากอามุกไปให้ได้นะคะ"
ชายหนุ่มยิ้มแต่ไม่พูดอะไร...ม่านไหมเดินตามไปส่งอีกฝ่ายที่รถ รอยยิ้มยังคงไม่จางหายไปจากใบหน้า เขาคือคนที่ทำให้หล่อนยิ้มได้ในยามที่กำลังตกอยู่ในความเศร้า คือคนที่เห็นหน้าเขาเสมอในยามไม่มีใคร คือผู้ชายคนแรกที่ทำให้ได้รู้จักกับความรักว่าเป็นเช่นไร แม้จะเป็นได้แค่รักที่ซ่อนเอาไว้จนลึกสุดใจก็ตาม…
เตชินทร์ดึงตัวเองขึ้นมาจากห้วงความทรงจำที่ตามหลอกหลอน...แหวนถูกเก็บไว้ที่เดิมเพื่อไม่ให้หล่อนรู้ว่ามีคนแอบหยิบมาดู พร้อมกันนั้น ความเชื่อบางอย่างก็ประเดประดังเข้ามาสุมใจที่กำลังอ่อนแอ