วันต่อมา
//ไทน์//
ผมเดินมาเคาะห้องของอีเจ้ไม่นานประตูห้องก็เปิดออกแต่คนที่เปิดคือไอ้เวล ลุงเวย์เลยเรียกผมเข้ามานั่งทานข้าวด้วยกัน บรรยากาศบนโต๊ะพบคนไม่กล้าสบตาผมหนึ่งคน ผมเลยแกล้งเอาผักของผมไปใส่ไว้ในจานอีเจ้ สายตาเหมือนคนจะร้องไห้ก็ถูกส่งมาทันที
“ไทน์พี่กินไปสองชิ้นแล้วนะ” น้ำเสียงที่ดูสิ้นหวังทำให้ทุกคนพากันหัวเราะ เพราะตอนเด็กๆอีเจ้มันต้องยอมกินผักของน้อง ๆ เพื่อปกปิดความผิดที่น้องไม่กินผัก และการเป็นหัวหน้าแก๊งคือต้องกินผักได้เท่านั้น
“จะได้โตเร็วๆไง” ผมตอบกลับพร้อมกับยักคิ้วให้ หันมาดูอีกคนก็กำลังดูชุดแต่งรถ ไอ้นี่ดูท่าไม่สนใจอะไรแล้วล่ะ
มหาวิทยาลัยเอกชน
ช่วงพักกลางวันผมก็ยังทำหน้าที่เหมือนเดิม วันนี้อีเจ้มีความอยากกินส้มตำผมเลยมาสั่งให้จากนั้นก็ไปนั่งรอพอทุกอย่างมาผมก็รีบตักให้อีเจ้ที่มองอาหารมื้อนี้ตาเป็นมัน
“เจ้ช่วงนี้ผมเรียนหนักมากเลย”
“สู้ๆนะ เออเรื่องเมื่อวาน...” ฉันจะทำยังไงดีนะ เมื่อวานคุมตัวเองไม่ได้น่าอายชะมัด ไทน์มันก็เหมือนน้องชายที่ฉันเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
“เจ้....ไว้เย็นนี้เราไปดูหนังกันไหมผมเครียดๆอะ” ผมต้องรีบบ่ายเบี่ยงยังไม่อยากฟังคำปฏิเสธตอนนี้ อย่างน้อยต้องหาจังหวะและโอกาสดีๆก่อนสิ
“อืม เอาสิพี่ก็อยากไปดูหนังเหมือนกัน”
ห้างสรรพสินค้า
ผมเดินคู่มากับอีเจ้ที่จุดขายตั๋วจากนั้นก็ปล่อยให้เธอเลือกตามใจชอบเลย แต่ผมก็ไม่ลืมที่จะควักเงินจ่ายให้นะอย่างน้อยก็จะได้รู้ว่าผมเนี่ยเปย์ได้เหมือนกัน เงินจากการแอบทำงานให้เพื่อนไว้เปย์หญิงดีกว่าเอาเงินที่คุณยายโอนให้มาเปย์ เมื่อถึงเวลาผมก็หยิบถังป๊อปคอร์นและจูงมืออีเจ้เข้ามาในโรงหนัง เหมือนคนข้างๆจะลืมตัวเพราะมือของผมถูกกระชับไว้เหมือนกัน
ระหว่างที่หนังกำลังฉาย ผมสังเกตุคนข้างๆที่ยุกยิกไม่หยุดจนผมต้องกระซิบถามเบาๆแต่คนข้างๆกับทำท่าสยิวใส่ผม
“เป็นอะไรเจ้”
“อยากขอโทษเรื่องเมื่อคืน โกรธพี่ไหม” ปลาวาฬตัดสินใจถามไปตรงๆเพราะเธอรู้ตัวดีกว่าเธอนั้นมีอารมณ์กับรสชาติจูบของน้องชายต่างสายเลือดจริงๆ
“ไม่โกรธ....แต่เหมือนรู้สึก” รู้สึกยิ่งรักกว่าเดิมอ่า เข้าใจไหม
“รู้สึกอะไรเหรอ” ปลาวาฬหันมาถามน้องชายแต่ดันมีคนมานั่งข้างๆทั้งสองเลยไม่พูดอะไรกันต่อ หนังฉายมาจนถึงครึ่งเรื่อง ฉากบนจอคือฉากอิโรติกแม้จะไม่ได้นานมากแต่มันก็ทำให้ทั้งสองนึกถึงรสจูบของเมื่อวาน
ความวาบหวามมันเลยค่อยๆก่อตัวจนไทน์ต้องเขย่าขาตัวเองเบาๆ ปลาวาฬเองก็เกร็งเท้าไปหมด
เมื่อหนังจบลงทั้งสองก็รีบจูงมือกันออกมา พอออกมาข้างนอกต่างคนต่างหน้าแดงเพราะความสยิวที่มันก่อตัวอยู่ในร่างกาย มือของไทน์ยังจับมือของปลาวาฬไว้แน่นจนทั้งสองมาถึงที่รถ ไทน์ก็รีบอาสาเป็นคนขับรถให้
“ไทน์ที่บอกว่ารู้สึก ไทน์รู้สึกอะไรเหรอ” ปลาวาฬถามน้องชายต่างสายเลือดแต่แววตาของเธอกับไปโฟกัสที่มือตัวเอง
“ถ้าบอกไปจะโกรธไทน์ไหมล่ะ” ผมหยั่งเชิงไปก่อนเพราะอยากรู้ว่าพี่สาวต่างสายเลือดของผมจะเป็นยังไง
“โกรธเรื่องอะไรล่ะ พูดมาก่อนสิว่ารู้สึกอะไร”
“ไทน์....ชอบเจ้อะ ชอบมานานแล้วนานมากๆแล้วด้วย แต่ไทน์กลัวว่าถ้าบอกเจ้ไปแล้วเจ้จะโกรธไม่อยากเจอหน้าไทน์อีก” ผมมองหน้าพี่สาวต่างสายเลือดที่มองหน้าผม แววตาที่ทำให้ผมไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเธอคิดอะไรมันทำให้หัวใจของผมเต้นด้วยความกลัว
“ไม่ได้โกรธแต่แค่ทำตัวไม่ถูก เมื่อคืนเกือบเกินเลยแหนะ พี่เองก็กลัวว่าไทน์จะคิดมาก” ตึกตัก ตึกตัก โอ้ยหัวใจทรยศแกจะมาเต้นแรงเอาอะไรตอนนี้
“แล้วไทน์จีบเจ้ได้ไหมอะ อยากพัฒนาความสัมพันธ์มากกว่านี้นะ”
“บ้า! มาขอทำไมโตๆแล้วปะ”
จิกเข้าไป ผมมองดูคนตัวเล็กที่กำลังจิกมือตัวเองผมเลยต้องเอื้อมมือไปดึงมือเล็กๆมาจับเอาไว้
“จิกไทน์นี่ จิกตัวเองเดี๋ยวก็เจ็บหรอก”
ปลาวาฬถึงกับหน้าแดงไปเลย เธอไม่ได้จิกไทน์แต่ก็ไม่ได้ดึงมือกลับกลายเป็นว่าทั้งสองจับมือกันจนมาถึงคอนโด
“ไทน์แน่ใจนะว่าจะจีบพี่ พี่ไม่เคยมีแฟนพี่กลัว” ปลาวาฬเกิดอาการประหม่าจนเห็นได้ชัด เธอไม่ใช่เด็กๆที่ไม่รู้ประสา แต่เธอแอบหวั่นใจเพราะน้องชายต่างสายเลือดพึ่งขึ้นปี1 เธอกลัวว่าเธอจะแก่เกินไป
“แน่ใจดิ ไทน์ชัดเจนนะชอบก็บอกชอบ จีบก็บอกจีบแต่ไทน์บอกไว้ก่อน ไทน์ขี้หึง ขี้หวง”
“มากปะ” ปลาวาฬยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ๆทำให้ไทน์หันไปมองดวงตาที่เป็นประกาย ริมฝีปากอวบอิ่มจนน่าจูบ
“มากดิ โคตรหวงเลยไม่อยากให้เจ้อยู่ใกล้ใครเลย....” ผมกระซิบเบาๆที่ข้างหูทำให้คนตัวเล็กต้องหดคอลง
“พอๆๆ ไทน์อะเดี๋ยวใจแตกกันพอดีวันนี้พี่จะอ่านหนังสือถ้าหิวอะไรก็โทรมานะเดี๋ยวจะทำให้กิน”
“ครับ....น่ารักจัง” ผมขโมยจูบคนตัวเล็กไปหนึ่งทีจากนั้นก็รีบลงจากรถด้วยกัน มาถึงห้องก็ต่างแยกย้ายกันไปจัดการตัวเอง อาการที่ทำให้ผมยิ้มไม่หยุดคงไม่พ้นสายตาของพ่อผมที่มองมา พ่อผมเนี่ยเอาไปเก็บไว้ตรงไหนได้บ้าง
“ยิ้มอะไรนักหนาคบกันแล้วเหรอ” แทนคุณถามลูกชายที่กำลังนั่งยิ้ม มองตู้เย็นก็ยิ้ม มองหนังสือก็ยิ้ม ยิ้มแบบนี้ต้องรักษานะบ้าแน่
“พ่อผมบอกไปแล้วว่าผมชอบเขา เขาเองก็ดูเหมือนจะชอบผมด้วยอ่า” หนังสือที่มือถูกไทน์หยิบขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเพื่อบังอาการเขินอาย
“อืม ถ้าเขาไม่ชอบเขาจะจูบกับแกหรือไงล่ะไอ้ลูกคนนี้”