ตอนที่ 1 แนะนำตัวละคร / บทนำ
ทินกร ( กร ) อายุ 36 ปี
เจ้าชู้ ปากแข็ง ขี้หวง ดื้อรั้น ( เย็นชา เฉพาะคนที่ไม่สนิท )
เจ้าของสนามแข่งรถชื่อดังในประเทศไทย รับตำแหน่งรองประธานบริษัท M.D กรุป ส่งออก และนำเข้าสินค้าทุกชนิด ในประเทศและต่างประเทศ ( เป็นมาเฟียทำธุรกิจสีเทากับเหล่าเพื่อน )
พิรดา ( สมาย ) อายุ 23 ปี นักศึกษาปี 4
นักศึกษาฝึกงาน ยิ้มง่าย ร่าเริง น่ารัก ขี้น้อยใจ คิดจะทำอะไรต้องทำให้ได้
( ไม่ยอมแพ้ใครโดยเฉพาะ ทินกร เกลียดผู้ชายเจ้าชู้ )
-------------------
บริษัท M.D กรุป
เอี๊ยดดดด!!!
รถสปอร์ตสุดหรูสีดำรุ่นบูกัตติลา วัวตูร์ นัวร์ ขับเข้ามาจอดบริเวณหน้า บริษัทส่งออกและนำเข้าสินค้าที่ใหญ่สุดของประเทศไทยอย่างกะทันหัน จนเสียงล้อเสียดสีกับพื้นถนนดังสนั่น บ่งบอกว่าคนขับจงใจเหยียบเบรกทันทีเมื่อถึงจุดหมาย ทำให้ผู้คนละแวกนั้นต่างพากันหันมามองด้วยความสนใจและแปลกใจในเวลาเดียวกัน
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของสาว ๆ แถวนั้นมากที่สุด คงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากชายหนุ่มที่พึ่งก้าวขาลงจากรถสปอร์ตสุดหรูอย่างมาดแมน รูปร่างสูงโปร่งสวมเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำทับนอกเสื้อยืดสีขาว ไปจนถึงท่อนล่างที่สวมใส่กางเกงยีนราคาแพง ผมเผ้าถูกเซตขึ้นเป็นอย่างดี โครงหน้าอันหล่อเหลามีแว่นดำหรูปกปิดดวงตาคมกริบ ช่างดูดีราวกับเทพบุรุษหลุดออกมาจากโลกนวนิยาย
สาว ๆ บริเวณนั้นต่างพากันกรี๊ดกร๊าดซุบซิบกันสนุกปากด้วยความตกตะลึงกับความหล่อสมาร์ท สายตาคู่สวยหลายคู่จ้องมองชายหนุ่มหวานเยิ้มราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันดีอย่างไงอย่างงั้น “ผู้ชายคนนั้นหล่อมากอะแก “
“ใช่โคตรหล่อ โคตรเท่เลยล่ะ นี่ขนาดยกหมัดกำลังจะต่อยยามนะ ยังหล่อดูดีไม่มีที่ติ เพอร์เฟคสุด ๆ “
“นั่นสิแก แบบนี้แหละแบดบอยสุด ๆ กรี๊ดดดปลื้มมม “
“…”
……
“กูมีสิทธิ์จะจอดตรงไหนก็ได้ มึงไม่ต้องมาสั่งกู! “มาเฟียหนุ่มตวาดเสียงแข็งกร้าว เลือดในกายพลุ่งพล่านเต็มไปด้วยไฟโทสะ มือหนากระชากคอเสื้อยาม ส่วนมืออีกข้างกำหมัดง้างขึ้นเตรียมพร้อมต่อย เนื่องจากถูกยามเข้ามาสั่งและขัดขวางไม่ให้เข้าไปในบริษัท หากไม่ย้ายรถออกตรงที่ห้ามจอด
“แต่คุณจะจอดตรงนี้ไม่ได้นะครับ มันไม่ใช่ที่จอด “ยามพยายามพูดจาดีด้วยท่าทางที่หวั่นเกรง ไม่ก้าวร้าวเหมือนชายหนุ่มตรงหน้า
“แต่กูจะจอดตรงนี้! “ทินกรกัดฟันแน่นเค้นเสียงพูดจนเห็นเป็นสันกรามเด่นชัด พร้อมกับออกแรงง้างหมัดไปด้านหลังหวังตะบันหน้าไอ้ยามเรื่องมาก ทว่าในวินาทีที่หมัดแกร่งกำลังจะถึงใบหน้าของชายวัยรุ่นตรงหน้าเป็นต้องหยุดชะงัก…
“อย่าครับคุณทินกรยามคนนี้พึ่งเข้ามาใหม่ ยังไม่รู้ว่าใครเป็นใครหรอกครับ “เสียงทุ้มของเลขาผู้เป็นพ่อดังขึ้นห้ามปราบเสียก่อน ชายอายุห้าสิบต้น ๆ รีบวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหาลูกประธานบริษัท
“..” ทินกรขบกรามดังกรอด ๆ พลางเหลือบมองเลขาผู้เป็นพ่อแวบหนึ่ง ก่อนจะกลับมาจ้องยามตรงหน้าที่ยกมือไหว้ขอความกรุณาด้วยสีหน้าหวาดกลัว มือหนาจึงปล่อยออกจากคอเสื้อ และ เดินท่าทางขึงขังเข้าบริษัททันที โดยไม่สนใจสายตาของใครหลายคู่ที่มองมา
“นั่นคุณทินกรลูกเจ้าของบริษัทจำไว้ให้ดีล่ะ กลับไปทำงานได้แล้ว “สมหมายถอนหายใจออกมาอย่าง โล่งอก แล้วจึงเอ่ยปากบอกยามคนใหม่ หากตนไม่ลงมาสั่งงานคงเข้ามาห้ามลูกชายประธานไว้ไม่ทัน
“ครับ ๆ “ยามคนใหม่พยักหน้ารับอย่างตื่นตระหนกตกใจ ก่อนจะรีบวิ่งกลับไปทำงานด้วยสีหน้าหวั่นวิตก
“…”
แกร๊ก ~
“จะเข้ามาทำไมแกไม่เคาะประตูก่อน “ชายสูงวัยเอ่ยขึ้น เมื่อลูกชายพรวดพราดเข้ามาอย่างไร้มารยาท
“พ่อเรียกผมมามีอะไร? “ทินกรย้อนถามโดยไม่สนใจคำตำหนิของผู้เป็นพ่อ พลางดันลิ้นเข้าหากระพุ้งแก้มอย่างไม่สบอารมณ์ ปกติเขาไม่ได้ใจร้อน หรือ ขี้โมโหสักเท่าไหร่ แต่ทว่าวันนี้กลับรู้สึกหงุดหงิดที่พ่อเรียกตัวเข้าพบด่วน
“ในนี้ไม่มีแดดไม่ต้องใส่แว่นดำ ถอดออกซะ “วิวัฒออกคำสั่งแทนคำตอบ ทำเอาทินกรถึงกับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อย่างเบื่อหน่าย แต่ก็ยอมถอดแว่นดำราคาแพงออกมาคล้องไว้ตรงคอเสื้อยืด
“พ่อมีธุระอะไรก็รีบพูดมา ผมมีงานค้างที่ต้องทำ”
“นั่งก่อนสิ”
ทินกรกลอกตาไปมาพร้อมกับพ่นลมหายใจหนัก ๆ ด้วยความรำคาญ ก่อนจะเดินเข้าไปลากเก้าอี้ตรงหน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นพ่อออกเล็กน้อย แล้วทรุดตัวนั่งพิงหลังกับผนังเก้าอี้ มือหนาสองข้างประสานกันเกยไว้หน้าขาแกร่งอย่างไม่ใส่ใจนัก
“อีกสามเดือนแกต้องเข้ามาทำงานที่บริษัทตามข้อตกลงของฉัน”
“ผมยังไม่พร้อม งานที่สนามแข่งยังมีล้นมือ “เจ้าของใบหน้าหล่อปฏิเสธเสียงทุ้มเข้ม แววตาสีดำยังเปล่งกายดุดันอย่างเปิดเผย
“อายุจะขึ้นเลขสี่แล้ว แกยังบอกไม่พร้อมอีกเหรอ อายุเท่าแกน่ะ..สมควรมีเมียมีลูกเป็นตัวเป็นตนเหมือนพวกเพื่อนของแกได้แล้ว แต่นี่อะไรฉันยังเห็นแกมั่วกับผู้หญิงไปวัน ๆ ไม่จริงจังกับใครสักที”
“แค่นี้ใช่ไหมที่พ่อจะพูดกับผม ผมจะได้กลับ “ทินกรถามผู้เป็นพ่อทันทีที่จบประโยคน่ารำคาญ ใบหน้าคมคายเรียบเฉยยากจะคาดเดา
“ยังไงแกก็ต้องเข้ามาเรียนรู้งานที่บริษัท เตรียมตัวรับตำแหน่งประธานต่อจากฉัน ในเมื่อฉันยอมให้แกทำในสิ่งที่แกอยากทำแล้ว ถึงเวลาที่แกจะต้องยอมทำตามข้อตกลงของฉันที่แกรับปากไว้ “วิวัฒเอ่ยทวงสัญญาจากลูกชายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ประโยคที่กล่าวมาเอ็นเอียงไปทางบังคับเสียมากกว่า
ทินกรดันตัวลุกขึ้นเต็มความสูงโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาหลังจบประโยคของวิวัฒ ก่อนจะหมุนตัวหันหลัง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าเสียงทุ้มอ่อนจากคนเป็นพ่อดังขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งโทนเสียงต่างจากเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง “อีกสองวันแม่แกจะกลับมาจากเชียงใหม่ ช่วยกลับบ้านไปหาแม่แกด้วยแล้วกัน ฉันขี้เกียจฟังเมียฉันบ่นคิดถึงแก”
“..” มาเฟียหนุ่มชำเลืยงหางตามองผู้เป็นพ่อเท่านั้น ก่อนจะก้าวเดินฉับ ๆ ไปข้างหน้า มือหนาเปิดประตูออกไปทันที โดยมีสายตาของวิวัฒมองตามหลังไปจนลับตา พร้อมกับส่ายหน้าไปมาเหนื่อยใจกับลูกชายหัวดื้อเพียงคนเดียว
“..”
…..
มหาวิทยาลัยฮอลแลนด์
“วันนี้มาถึงก่อนพวกกูสองคนเลยนะอียิ้ม “บาสตี้ชายไม่แท้เอ่ยทักเพื่อนสาวด้วยน้ำเสียงประชดแกมหยอกล้อ ขณะเดินเข้ามาหย่อนตัวนั่งบนโต๊ะหินอ่อน ใต้ต้นไม้ใหญ่หน้าตึกบริหารพร้อมกับสาวิกา ซึ่งพิรดานั่งเล่นโทรศัพท์รออยู่ก่อนนานหลายนาที
พิรดาปั้นหน้าบึ้งตึงเหลือบตามองบนอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะใส่อารมณ์เบื่อหน่ายในน้ำเสียง “แน่นอนยะ!...แต่เมื่อไหร่แกจะเรียกฉันว่าสมายด์แทนยิ้มสักที มันดูเชยมาก ชื่อฉันออกจะทันสมัย”
“ฉันว่าแกควรจะชินได้แล้วนะสมายด์ ที่อีบาสตี้มันเรียกว่ายิ้มน่ะ “สาวิกาเอ่ยออกมาอย่างเหนื่อยใจ เพราะเธอเองก็ชินไปแล้วกับสรรพนามที่เพื่อนเก้งเรียกเพื่อนสาว แต่พิรดานี่สิไม่ชินสักทีเจอกันทีไรเป็นต้องถกเถียงกันเรื่องชื่อกันตลอดตั้งแต่ปี 1
“ถูกอีแพท “บาสตี้ตอบอย่างเห็นด้วย พลางเลิกหน้าอารมณ์ดีขึ้นให้สมายด์ที่นั่งฝั่งตรงข้าม พิรดาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พร้อมกับจิ๊ปากใส่เพื่อนเก้งอย่างไม่สบอารมณ์
“เอ่อ..สมายด์เย็นนี้ไปดูแข่งรถด้วยกันนะ “สาวิกาเอ่ยชวนด้วยสีหน้าที่ตั้งใจ จ้องมองใบหน้าเพื่อนสาวเชิงขอร้อง
“คงไปด้วยไม่ได้อ่ะแก พรุ่งนี้ฉันต้องเข้าไปส่งเอกสารรายงานตัวที่บริษัท M.D น่ะสิ กลัวว่าจะตื่นสาย”
“ไม่ต้องกลัวเรื่องตื่นสายหรอกสมายด์ ไปแค่แป๊บเดียวเอง ฉันอยากไปจริง ๆ นะ พี่โรมไม่ให้ฉันไปด้วยถ้าไม่มีเพื่อนไป “สาวิกาทำหน้าเศร้าหมอง พร้อมกับกะพริบตาปริบ ๆ ขอความเห็นใจจากเพื่อนสาว
“แกก็ให้อีบาสไปด้วยสิ”
“โนค่ะ กูมีนัดผู้ “บาสตี้ยกนิ้วชี้ขึ้นมาส่ายไปมาปฏิเสธอย่างมีจริตจะกร้าน
“นะ ๆ สมายด์ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยไม่เกิน 3 ทุ่มกลับแน่นอน ฉันสัญญา “สาวิกาเร้า ๆ ให้เพื่อนสาวยอมใจอ่อน พลางยกนิ้วก้อยชูขึ้นทำสัญญาลักษณ์ พร้อมกับแสดงสีหน้าออดอ้อนสุดฤทธิ์ ทำเอาเพื่อนสาวอย่าง พิรดาถึงกับหนักใจ
“มึงก็ยอมไปกับมันเถอะอียิ้ม เห็นหน้ามันตอนนี้กูอยากจะถีบหน้ามันซะจริง ๆ รำคาญลูกตา! “บาสตี้ช่วยพูดอีกแรงด้วยความรำคาญกับท่าทางเว้าวอนน่าหมั่นไส้ของสาวิกา พร้อมกับยกเท้าขึ้นมาประกอบอย่างเอาจริงเอาจัง
“อีเก้งป่าเถื่อน! “สาวิกาหันไปแหวใส่บาสตี้ แต่เพื่อนเก้งของเธอกับไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ สาวิกาเลยแยกเขี้ยวใส่ด้วยความเจ็บใจ ก่อนจะหันกลับมาพูดวิงวอนขอร้องกับพิรดาอีกครั้ง “นะ..แกไปกับฉันหน่อยนะ..นะ”
“…โอเค..โอเคไปด้วยก็ได้ แต่ว่าไม่เกิน 3 ทุ่มจริง ๆ นะ เพราะถ้าเกิน แล้วพรุ่งนี้ฉันตื่นสายไปส่งเอกสารรายงานตัวไม่ทันโดนพ่อด่ายับแน่ “พิรดาทำสีหน้าจริงจังในคำพูดของตัวเอง
“แน่ใจค่ะ ไม่เกินแน่นอน “สาวิกายืนยันเสียงหนักแน่นพลางยกกำปั้นย้ำ ๆ ทำท่าประกอบเพื่อเพิ่มความชัดเจน
“อือ..โอเค”
“ขอบคุณจ้ะเพื่อนรัก “สาวิกายื่นมือไปบีบแก้มป่องราวกับลูกซาลาเปาของเพื่อนสาวอย่างรู้สึกมันเขี้ยว
“พอแล้วยัยแพท “พิรดาดึงมือเพื่อนสาวออกพร้อมกับย่นหน้าอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“ก็แก้มแกน่าหยิกอ่ะ”
“ว่าแต่ทำไมพ่อมึงถึงบังคับให้มึงไปฝึกงานที่บริษัท M.D ล่ะ ทั้งที่พ่อมึงก็มีบริษัทนิ “บาสตี้ถามพลางหยิบขนมในซองที่ถือเข้าปาก
“ไม่รู้เหมือนกัน พ่อบอกแค่ว่าไปรายงานตัวเมื่อไหร่ก็จะรู้เอง อีกอย่างฉันก็กลัวถูกยืดรถกับคอนโดเลยยอมตกลง”
“ง่ายจริงนะมึง”
พิรดาเพียงแค่ไหวไหล่เมินเฉยต่อคำพูดประชดประชันของเพื่อนเก้ง มือเรียวเล็กพลางเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เล่นไปเรื่อยเปื่อย ระหว่างรอเวลาเข้าปฐมนิเทศเพื่อเตรียมพร้อมออกฝึกงาน