บทที่ 6/1

1388 คำ
บทที่ 6/1  เช้าวันถัดมาเฉินหลิงเว่ยให้ฉินอู่ซ่งขับรถม้าออกจากเรือนตั้งแต่เช้า วันนี้ไป๋มู่หลันรับปากว่าจะเดินเท้ามาที่บ้านนางเพื่อกราบไหว้เทวนารี ทว่าระยะทางจากตัวเมืองมาถึงบ้านนางนั้นร่วม 50 ลี้ หากนางเดินเท้ามาจริงๆ คงใช้เวลาแทบทั้งวันเลยทีเดียว อย่างไรเสีย 25 กิโลเมตรก็ออกจะมากไปหน่อยสำหรับวันแรก “หลิงเว่ยเจ้าจะให้ข้าไปรอรับคุณหนูไป๋ที่ไหน” “ชานเมือง” ระยะทางจากตัวเมืองมาจนถึงชานเมืองประมาณ 10 ลี้ นับว่าไม่มากไม่น้อยจนเกินไป ……………………………………………… ไป๋มู่หลันออกจากร้านสกุลไป๋ตั้งแต่ยามเหม่า (เวลา 05.00 น. จนถึง 06.59 น.) โดยมอบหน้าที่ดูแลร้านให้เสี่ยวซี สาวใช้ตัวน้อยมีสีหน้ายุ่งยากใจ ปกติเรื่องการดูแลร้านค้านั้นเป็นหน้าที่ของนางอยู่แล้วดังนั้นเรื่องนี้นางไม่ได้กังวล แต่คุณหนูของนางปกติมักอยู่ในเรือนเดินทางไกลสุดก็เพียงตลาดกลางเมืองซึ่งไปกลับก็เพียง 4 ลี้ แต่หมู่บ้านเถาอี้อยู่ไกลออกไปถึง 50 ลี้ คุณหนูของนางจะเดินไหวได้อย่างไร “เสี่ยวซีเจ้าไม่ต้องกังวล ข้าเอาอาซานไปด้วย หากข้าเดินไม่ไหวก็จะให้เขาแบกไป” เสี่ยวซีพลันใบหน้าซีดเซียว อาซานนั้นแม้เป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์แต่คุณหนูของนางเป็นสตรีที่มีน้ำมีนวลยิ่ง ให้อาซานแข็งแรงขนาดไหนก็คงแบกนางไม่ไหว “ข้าไปก่อนนะ” ไป๋มู่หลันวิ่งออกจากเรือนด้วยใบหน้ามุ่งมั่น แววตาหวานเปล่งประกายด้วยความมั่นใจ ก็แค่ 50 ลี้ เสี่ยวซีเจ้าวิตกกังวลมากไปแล้ว ……………………………………………… “อาซาน! จะถึงหรือยัง” อาซานบ่าวชายประจำตระกูลไป๋ใบหน้าซีดเซียว ก่อนหน้านี้คุณหนูของเขาเอ่ยปากด้วยความมั่นใจหนักหนาว่าหนทางเพียง50 ลี้ย่อมไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ทว่าหลังจากออกเดินทางได้เพียง 6 ลี้ ขาของคุณหนูก็คล้ายสิ้นแรง นางทรุดลงไปนั่งกับพื้นถนนโดยไม่สนใจว่าผ้าไหมราคาแพงที่สวมใส่อยู่จะเปื้อนดิน อีกทั้งยังดีดสองขาไปมาจนใบหน้ามอมแมมคล้ายขอทานน้อยไม่มีผิด “คุณหนูเราพึ่งเดินมาได้ 6 ลี้” “6 ลี้! เจ้าพูดเล่นใช่หรือไม่ ข้าเดินมาครึ่งชั่วยามแล้วจะพึ่งผ่านมาแค่ 6ลี้ได้อย่างไร” “คุณหนูข้าหาได้ล้อท่านเล่นไม่ นี่เรายังไม่ออกจากเมืองเลยขอรับ” ไป๋มู่ซานมองไปรอบๆ ตัว อาคารบ้านเรือนเหล่านี้ล้วนชัดเจนว่านางยังเดินทางไม่พ้นเขตเมืองจริงๆ ทว่าเดินทางเพียง 6 ลี้นางก็เหนื่อยจนจะขาดใจ เช่นนั้นกว่าจะเดินไปจนถึงหมู่บ้านเถาอี้นางไม่สิ้นใจไปก่อนหรือไร เทวนารี ข้ามุ่งมั่นเพียงนี้แล้วท่านเมตตาข้าหน่อยเถิด “คุณหนู ให้ข้าไปหารถม้าดีหรือไม่” “ดีๆ! รีบไปเลย” อาซานก้มรับคำสั่งก่อนเร่งสาวเท้าไปตามคำสั่ง เพียงแต่เขาเดินยังไม่ถึงห้าก้าวเสียงของคุณหนูไป๋ก็ดังขึ้น “ไม่ได้! ไม่ได้ ข้าจะนั่งรถม้าไปไม่ได้” ไป๋มู่หลันเบิกตากว้างยามนึกได้ว่าเฉินหลิงเว่ยบอกให้นางเดินเท้าไปเท่านั้น เมื่อตั้งสติได้นางก็สูดลมหายใจเข้าจนสุดก่อนค่อยๆ ยันตัวเองลุกขึ้น อาซานเร่งเข้ามารับร่างที่โคลงเคลงคล้ายจะล้มลงของคุณหนู ก่อนจับแขนนุ่มนิ่มของนางขึ้นพาดบ่ากว้างด้วยคามห่วงใย ทว่ายามที่นางทิ้งน้ำหนักตัวมาที่เขา สองขาของเขาก็พลันสั่นไหวคล้ายจะล้มลง “คุณหนูบ่าวว่าเรานั่งรถม้าไปดีหรือไม่” “ไม่ได้ๆ ข้าต้องเดินเอง ไป!ข้ายังเดินไหว” อาซานแทบอยากจะร้องไห้ คุณหนูของเขาปกติเป็นคนว่าง่าย ทว่ายามที่ยึดมั่นในสิ่งใดแล้วกลับไม่ยอมเคยแพ้ก้าวเดียวก็ไม่ยินยอมถอย เพียงแต่คุณหนูท่านเดินไหวแต่บ่าวเดินไม่ไหว ……………………………………………… “หลิงเว่ย คุณหนูไป๋มาถึงแล้ว” ริมฝีปากบางของเฉินหลิงเว่ยยกยิ้ม นางวางพู่กันที่กำลังจดบัญชีลง ก่อนค่อยๆก้าวลงจากรถม้า ไป๋มู่หลันคล้ายชีวิตได้พบเทพธิดายามเห็นว่าเบื้องหน้ามีรถม้า และผู้เป็นเจ้าของคือเฉินหลิงเว่ย เพียงแต่ยามคิดถึงเรื่องที่เฉินหลิงเว่ยเคยบอกว่านางต้องเดินเท้าพิสูจน์ความจริงใจของตนสองเท้าก็พลันชะงัก “ขึ้นมา!” “ไม่ได้ เจ้าบอกข้าเองว่าจะต้องเดินเท้าไป หากข้าขึ้นรถม้าเทวนารีอาจจะไม่พอใจ ไม่เป็นไรข้าจะเดินต่อ ข้าเดินไหว” “เช่นนั้นข้าจะไปรอเจ้าที่เรือน” “อ่า... เดี๋ยวก่อนเว่ยเอ๋อร์!” ไป๋มู่หลันที่เดิมคล้ายจะสิ้นเรี่ยวแรงยามเห็นสหายเดินขึ้นรถม้าก็พลันมีเรี่ยวแรงขึ้นมา สองเท้าเล้กก้าวอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็กระโดดขึ้นรถม้าไป อาซานมองตามคุณหนูของเขาด้วยแววตาตื่นตะลึง คุณหนูก่อนหน้าท่านแกล้งไร้เรี่ยวแรงหลอกให้บ่าวเช่นข้าประคองมาด้วยความยากลำบากใช่หรือไม่ “ไม่เดินต่อแล้วหรือ” “เทวนารี เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำตระกูลเจ้า วันนี้เจ้าเป็นคนมาขัดขวางการพิสูจน์ความตั้งใจของข้า เช่นนั้นพระนางย่อมไม่โกรธข้า” หึ! เฉินหลิงเว่ยเอ่ยแค่เสียงในลำคอ หันไปหยิบสมุดบัญชีที่นางลงบันทึกไปก่อนหน้าขึ้นมาตรวจทานอีกรอบ ไป๋มู่หลันลอบมองบัญชีของสหายเพียงแต่เพราะความเหนื่อยล้าไม่นานนักก็เผลอหลับไป เฉินหลิงเว่ยรอบมองสหายที่หลับจนหัวคลอนไปมาแล้วยิ้มขบขัน ประคองนางนอนลงก่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำลายที่มุมปากของคนหลับ ……………………………………………… กลิ่นหอมของอาหารลอยมาตามลมทำให้ไป๋มู่หลันลืมตาตื่น ก่อนก้าวลงจากรถม้าเดินเข้าไปในเรือนของสหาย ทว่ายามเมื่อเปิดประตูรั้วเข้าไปเสียงแพะกับไก่ก็ร้องลั่นคล้ายกำลังต้อนรับนาง “เจ้าตื่นได้เวลาพอดี มากินข้าวเช้าเถิด” เฉินหลิงเว่ยที่กำลังจะไปปลุกสหายเอยบอกไป๋มู่หลันก่อนเดินนำนางเข้าเรือน ไป๋มู่หลันมองสำรวจรอบตัวก่อนเดินตามสหายเข้าไปในเรือนหลังเล็ก เพราะเฉินหลิงเว่ยย้ายวัสดุสำหรับทำสบู่ไปไว้ที่เรือนหลังใหม่พื้นที่ในเรือนจึงไม่คับแคบมากนัก ทว่าหากเทียบกับร้านสกุลไป๋ที่นี่ยังเล็กกว่าห้องครัวของนางเสียอีก “นี่บ้านเจ้าหรือ” เฉินหลิงเว่ยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ไป๋มู่หลันมองสหายของตนด้วยแววตาชื่นชม ก่อนหน้านี้นางรู้ว่าเฉินหลิงเว่ยเป็นเพียงคนปลูกผัก แต่กิริยาท่าทางตลอดจนความสามารถของสหายผู้นี้ล้วนไม่ธรรมดา ดังนั้นนางจึงคิดว่าแม้สหายผู้นี้จะเป็นเพียงคนปลูกผัก แต่พื้นฐานทางบ้านคงไม่ธรรมดา ไม่คิดว่าแท้จริงแล้วสหายผู้นี้จะเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาจริงๆ “บ้านข้าคับแคบ หากเจ้าไม่สะดวกข้าจะให้อู่ซ่งไปส่งเจ้ากลับดีหรือไม่” เฉินหลิงเว่ยเอ่ยจบฝ่ามือเล็กของสหายก็ตีเข้าที่ตนแขนของนาง “เจ้าต้อนรับสหายเช่นนี้หรือ” เฉินหลิงเว่ยมองไหล่ของตนที่ถูกอีกฝ่ายตีด้วยแววตาสงสัย ทว่ายามสบแววตาไม่พอใจของสหายในใจของนางก็บังเกิดความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา “ช่างน่าโมโหนักข้าเดินทางมานับสิบลี้น้ำสักอึกก็ไม่ให้ข้ากิน แล้วยังเอ่ยปากไล่ข้ากลับอีก” “หากเจ้าจ่ายให้ข้า 1 ตำลึงเงิน น้ำชาและอาหารบนโต๊ะนี้ล้วนเป็นของเจ้า” “เฉินหลิงเว่ย! ข้าเป็นสหายเจ้านะ” เฉินหลิงเว่ยมองท่าทางตื่นตกใจของสหายแล้วพลันขบขัน ไม่นานนักเสียงหัวเราะสดใสก็ดังออกมาจากเรือนเล็ก ซูลี่ผิงและฉินอู่ซ่งที่กำลังช่วยกันขนสบู่ขึ้นรถม้าหันสบตากันด้วยความงุนงง ก่อนหน้าไม่ใช่ว่าทั้งสองถกเถียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมืออยู่หรือไร ………………………………………………
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม